Responsive image

Friday, 15 Aug 2025

หน้าแรก > INSURANCE / ประกันภัย - ประกันชีวิต


เมืองไทยประกันชีวิต ผนึกกำลังธนาคารกสิกรไทย เสิร์ฟ 2 โปรโมชันสุดคุ้ม มอบทางเลือกเพื่อการวางแผนชีวิตอย่างมั่นใจ

Mon 09/06/2568


นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิตร่วมกับธนาคารกสิกรไทย เดินหน้าส่งมอบประสบการณ์ทางการเงินที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์แก่ลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต หรือเบี้ยปีต่ออายุกรมธรรม์ ที่สามารถชำระด้วยบัตรเครดิตได้ เป็นการเพิ่มทางเลือกให้แก่ลูกค้าที่ชำระค่าเบี้ยประกันภัยผ่านบัตรเครดิตกสิกรไทยและบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด มี 2 โปรโมชันให้เลือก ได้แก่

 

โปรโมชันที่ 1  แบ่งจ่าย 0% นาน 6 เดือน พร้อมรับ K Point สูงสุด 50,000 คะแนน*  สำหรับลูกค้าที่ซื้อหรือชำระเบี้ยประกันภัยเมืองไทยประกันชีวิต ผ่านบัตรเครดิตกสิกรไทย สามารถเลือกใช้บริการ แบ่งจ่าย 0% นาน 6 เดือน ผ่าน KBank Smart Pay เมื่อมียอดใช้จ่ายตั้งแต่ 10,000 บาทขึ้นไป/เซลล์สลิป โดยทุก ๆ ยอดใช้จ่าย 10,000 บาท รับ K Point 1,000 คะแนน สูงสุด 20,000 คะแนน/ท่าน/รายการ/วัน  จำกัดการรับ K-Point สูงสุด 50,000 คะแนน ต่อท่านตลอดรายการ   วิธีลงทะเบียน  พิมพ์ ML2 [เว้นวรรค] หมายเลขบัตรเครดิตกสิกรไทย 12 หลักสุดท้าย ส่ง SMS มาที่ 4545888 ก่อนทำรายการ ระยะเวลาโปรโมชัน  21 เมษายน 2568 – 30 มิถุนายน 2568

โปรโมชันที่ 2 “คุ้ม 2 ต่อ” สำหรับผู้ถือบัตรเครดิตธนาคารกสิกรไทย และบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด ลูกค้าที่ชำระค่าเบี้ยประกันภัยของเมืองไทยประกันชีวิต (ยกเว้น Unit Linked) ทั้งเบี้ยประกันภัยใหม่ และเบี้ยประกันภัยปีต่ออายุ ระหว่างวันที่ 1 พฤษภาคม 2568 – 31 กรกฎาคม 2568 รับสิทธิพิเศษ 2 ต่อ ดังนี้

คุ้มต่อที่ 1  รับเครดิตเงินคืนสูงสุด 4,000 บาท*

ยอดชำระเบี้ย 10,000-19,999 บาทต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 60 บาท

ยอดชำระเบี้ย 20,000-49,999 บาทต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 120 บาท

ยอดชำระเบี้ย 50,000-99,999 บาทต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 350 บาท

ยอดชำระเบี้ย 100,000-499,999 บาทต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 800 บาท

ยอดชำระเบี้ย 500,000 บาทขึ้นไปต่อเซลล์สลิป รับเครดิตเงินคืน 4,000 บาท

โดยทุกการใช้จ่าย ยังได้รับคะแนนสะสม K Point และพิเศษยิ่งขึ้น สำหรับผู้ถือบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด รับเครดิตเงินคืนเพิ่มอีก 0.25% จากยอดชำระเบี้ยโดยไม่จำกัดจำนวนเงินคืน ร่วมรายการโดยการลงทะเบียนเพียงครั้งเดียวภายในระยะเวลารายการ : พิมพ์ INS [เว้นวรรค] ตามด้วยหมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย ส่งมาที่ 4545888

 

คุ้มต่อที่ 2  แลกคะแนน K Point เท่ายอดใช้จ่าย รับเครดิตเงินคืน 10%** หรือแลกทุก 1,000 คะแนน เพื่อรับเครดิตเงินคืน 100 บาท  โดยต้องแลกคะแนนไม่น้อยกว่ายอดชำระเบี้ยประกันเพื่อรับเครดิตเงินคืน 10% (จำกัดการแลกสูงสุด 500,000  คะแนน/ท่าน ตลอดรายการ)  ลงทะเบียนทุกครั้งที่ต้องการแลก พิมพ์ KIR  [เว้นวรรค] หมายเลขบัตรเครดิต 12 หลักสุดท้าย [เว้นวรรค] จำนวนยอดใช้จ่ายที่ต้องการแลก (ไม่ใส่จุดทศนิยม) ส่งมาที่ 4545888

โดยทั้ง 2 โปรโมชันนี้ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทั้งในด้านการบริหารค่าใช้จ่ายและการสะสมคะแนนเพื่อแลกรับความคุ้มค่าสำหรับผู้ที่สนใจสมัครบัตรเมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ดสามารถศึกษา เงื่อนไขเพิ่มเติมได้ที่  เว็บไซต์เมืองไทยประกันชีวิต www.muangthai.co.th  หรือโทร.1766 ทุกวัน  ตลอด 24 ชั่วโมง หรือ K Contact Center 02-888-8888

 

#เมืองไทยประกันชีวิต #muangthailife #เมืองไทยสไมล์คลับ

หมายเหตุ

1.  เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกสิกรไทย และ บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กำหนด

2.  โปรดตรวจสอบรายละเอียดกรมธรรม์และรายการที่ร่วมรายการก่อนทำรายการ

3.  ใช้เท่าที่จำเป็นและชำระคืนได้เต็มจำนวนตามกำหนด จะได้ไม่เสียดอกเบี้ย 16% ต่อปี  อัตราดอกเบี้ย 0% 6 เดือนเมื่อลูกค้าชำระเต็มจำนวนภายในครบกำหนดชำระ 

 


Tags : เมืองไทยประกันชีวิต สาระ ล่ำซำ ธนาคารกสิกรไทย เมืองไทยสไมล์เครดิตการ์ด เมืองไทยสไมล์คลับ


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมด้วย นายไพศาล หงษ์ทอง รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. ลงพื้นที่เยี่ยมและให้กำลังใจ 2 ครอบครัววีรชนทหารกล้าที่เสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องแผ่นดินไทยจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย – กัมพูชา ได้แก่ นางกฤษณา น้อยโคตร มารดาของ ส.อ. กฤษฎา น้อยโคตร สังกัดกองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 6 กองพลทหารราบที่ 6 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 และ นายจันดา ป้องแก้ว บิดาของ จ.ส.อ. อโณทัย ป้องแก้ว สังกัดกองพันปฏิบัติการพิเศษ กรมรบพิเศษที่ 3 (ฉก.90) หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 โดย ธ.ก.ส. ได้มอบความช่วยเหลือแก่ครอบครัวทหารตามมติที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ที่เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ กรณีบุตร หรือคู่สมรส ของลูกค้า ธ.ก.ส. เป็นทหาร หรือ ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา โดยยกหนี้ในส่วนของต้นเงินกู้ทุกสัญญา และยกหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยทั้งจำนวน ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้ความช่วยเหลือ และลดภาระให้ทั้ง 2 ครอบครัววีรชนทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อภารกิจสำคัญในการปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างมั่นคงต่อไป   ฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดย ผู้จัดการ ธ.ก.ส. ได้กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับทั้ง 2 ครอบครัววีรชนทหารกล้าที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ซึ่งความกล้าหาญเหล่านี้จะถูกจารึกไว้ในความทรงจำของคนไทยตลอดไป โดย ธ.ก.ส. รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสมาให้กำลังใจให้แก่ครอบครัววีรชนผู้เสียสละเพื่อส่งมอบความช่วยเหลือกรณีพิเศษในครั้งนี้ และพร้อมให้การสนับสนุนดูแลในด้านต่าง ๆ ตามภารกิจของธนาคารต่อไป   ในโอกาสนี้ ธ.ก.ส. ยังได้มอบข้าวพร้อมทาน ตราอุ่นอิ่ม ทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้องหอมมะลิ และข้าวไรซ์เบอร์รี ที่สามารถรับประทานได้ทันที สะดวก สะอาด ปลอดภัย พกพาง่าย โดยไม่ต้องอุ่น และสามารถเก็บรักษาได้ในอุณหภูมิห้องนานถึง 18 เดือน ให้แก่กองทัพภาคที่ 2 สำหรับเป็นเครื่องบริโภคให้กับกำลังพลในพื้นที่ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของทหารและเจ้าหน้าที่ ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาอธิปไตยและความสงบสุขให้กับประชาชนและประเทศชาติของชาติในพื้นที่ชายแดน หรือในภารกิจบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชน โดยมี พ.อ. ฐาพล อ้อชัยภูมิ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จังหวัดอำนาจเจริญ (ฝ่ายทหาร) เป็นผู้แทนในการรับมอบ นอกจากนี้ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. ยังได้พบปะพูดคุยกับเกษตรกรลูกค้าของธนาคารในพื้นที่ตำบลลือ อำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ ที่มาเข้าร่วมเป็นสักขีพยานภายในงาน   ธ.ก.ส. ขอเชิญชวนประชาชนผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อ “ข้าวพร้อมทาน ตราอุ่นอิ่ม” จาก สกต. ร้อยเอ็ด เพื่อสนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตโดยตรง และเป็นส่วนหนึ่งในการส่งขวัญและกำลังใจให้กับทหารแนวหน้าในการปฏิบัติหน้าที่ โดยสามารถติดต่อได้ที่ สกต.ร้อยเอ็ด จำกัด โทร. 088 338 2572 ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ขอแสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา ซึ่งในขณะนี้พี่น้องประชาชนในหลายพื้นที่ยังไม่สามารถกลับเข้าที่พักอาศัยหรือใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดย ธ.ก.ส. พร้อมอยู่เคียงข้างเพื่อก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน สอบถามรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือของ ธ.ก.ส. ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555 ตลอด 24 ชั่วโมง  

12 Aug 2025

...

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวในการประชุมผู้บริหารสายงานกิจการสาขา ซึ่งมีผู้บริหารธนาคารทั้งจากส่วนกลาง และสายงานกิจการสาขา กว่า 1,600 คนทั่วประเทศเข้าร่วมงาน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ จ. เชียงใหม่ เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เดินหน้าทำธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ธนาคารเพื่อสังคมต่อเนื่อง มั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2568 ธนาคารจะสามารถสร้าง Social Impact ได้มากขึ้นตามเป้าหมายเป็นเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 17,000 ล้านบาท   สำหรับนวัตกรรมการเงินเพื่อสังคมในช่วงครึ่งปีหลัง เน้นให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกค้ารายย่อย สามารถเข้าถึงแหล่งทุนที่ช่วยประคับประคองธุรกิจ และทำให้มีสภาพคล่องเพียงพอรองรับสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนไม่แน่นอนจากปัจจัยภายในและภายนอก ผ่านการให้สินเชื่อที่มอบเงื่อนไขพิเศษเพื่อผู้ประกอบการ ได้แก่ สินเชื่อ GSB Smooth Biz, GSB D-VERs, GSB D-Home และมาตรการลดดอกเบี้ยสูงสุด 3% ต่อปี แก่ลูกค้าธนาคารที่เป็นผู้ส่งออก และ Supply Chain ของผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรง/ทางอ้อม จากมาตรการภาษี Trump Tariff ซึ่งเร็ว ๆ นี้ ธนาคารเตรียมออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่อลดภาระผู้ประกอบการในเรื่องนี้ พร้อมกับช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจที่สำคัญเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย   นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อช่วยลดภาระรายย่อย ได้แก่ สินเชื่อเคหะรีไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ย 0% 3 เดือน (เฉลี่ย 3 ปีแรก ดอกเบี้ยต่ำสุดที่ 2.85% ต่อปี) สินเชื่อบ้านเติมตังค์ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ต่ำสุด 4.99% ต่อปี และ สินเชื่อบ้านแลกเงิน คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 3.59% ต่อปี (6 เดือนแรก) ตลอดจนการเร่งปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือกลุ่มฐานราก อาทิ สินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน สินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาส สินเชื่อสำหรับผู้ไม่เคยมีประวัติเครดิต สินเชื่อส่งดีมีเติมพลัส สนับสนุนลูกค้าดีให้กู้เพิ่มได้ ซึ่งธนาคารคาดว่าตลอดปี 2568 จะสามารถช่วยเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และเพิ่มสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการ รวมถึงลูกค้ารายย่อย ผ่านการปล่อยสินเชื่อวงเงินรวมกว่า 2 แสนล้านบาท     ส่วนด้านเงินฝาก เน้นส่งเสริมการออมแบบมีระยะเวลาและเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นสลากออมสินพิเศษ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษแบบมีระยะเวลา เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษเพื่อการเกษียณ 10 ปี เงินฝาก Smart Junior เพื่อส่งเสริมการออมในเยาวชน เป็นต้น ตั้งเป้าหมายเม็ดเงินการออมโดยมีเงินฝากเพิ่มสุทธิไม่ต่ำกว่า 65,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 ทั้งนี้ ธนาคารออมสินดำเนินธุรกิจเป็นธนาคารเพื่อสังคม หรือ Social Bank ด้วยบทบาทหลัก 4 ด้าน คือ 1) การเปิดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงิน 2) การแก้ไขปัญหาหนี้ 3) บทบาทการพัฒนาสังคมและชุมชน และ 4) การสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการสร้างสรรค์และขับเคลื่อนงานทั้ง 4 ด้าน โดยอิงแนวคิด Creating Shared Value (CSV) เพื่อให้ธนาคารสามารถทำกำไรทางธุรกิจในระดับที่เหมาะสม ควบคู่กับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ที่นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของธุรกิจและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม    

08 Aug 2025

...

SME D Bank ห่วงใยประชาชน และเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม สอดคล้องนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และ ธปท. ได้แก่ พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย  สูงสุด 12 เดือน ควบคู่เติมทุนฉุกเฉิน เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูกิจการ  ครอบคลุมพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สระแก้ว จันทบุรี และตราด นอกจากนั้น เปิดสายด่วน 1357 รับแจ้งขอความช่วยเหลือทันท่วงที พร้อมเปิดรับบริจาคสิ่งของนำไปมอบให้แก่ผู้ประสบภัยและทหารหาญ    นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ  ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์ความไม่สงบจากเหตุปะทะตามแนวพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน รวมถึง การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทั้งทางตรงและทางอ้อม SME D Bank มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม หลังจากมีมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนเบื้องต้นไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ต้องการให้สถาบันการของรัฐเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา   สำหรับมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมดังกล่าว  ครอบคลุมความช่วยเหลือในพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สระแก้ว จันทบุรี และตราด มุ่งเน้นช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ลดภาระทางการเงิน สามารถประคับประคองธุรกิจ  ก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ด้วยดี และฟื้นฟูกิจการได้โดยเร็ววัน  ได้แก่  มาตรการ “พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย” สำหรับลูกค้าธนาคารที่ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อม   ด้วยการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย สำหรับกลุ่มเงินกู้ยืมแบบมีระยะเวลา (Term loan) สูงสุดไม่เกิน 12 เดือน สัญญาเบิกเงินทุนหมุนเวียนประเภทตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) และสินเชื่อแฟคตอริ่ง ขยายระยะเวลาชำระตั๋วสัญญาใช้เงินออกไปอีกสูงสุด 180 วัน และสามารถพักชำระดอกเบี้ยได้   มาตรการ “เติมทุนฉุกเฉิน เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูกิจการ” สำหรับลูกค้าเดิมได้รับผลกระทบทางตรง เพื่อให้มีวงเงินกู้ฉุกเฉิน นำไปฟื้นฟูธุรกิจเฉพาะหน้า วงเงินกู้ 10% ของวงเงินเดิม ขั้นต่ำ 30,000 บาท ถึงสูงสุด 200,000 บาท (บุคคลธรรมดา สูงสุด 100,000 บาท และนิติบุคคล สูงสุด 200,000 บาท)  อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี ระยะเวลากู้ 3 ปี ปลอดชำระเงินต้น 12 เดือน ไม่ต้องมีหลักประกัน ยกเว้นค่าธรรมเนียม ลดกระบวนการนำส่งเอกสารในการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางตรงเป็นการเร่งด่วน อีกทั้ง ธนาคารยังมีสินเชื่อช่วยเหลือเพิ่มเติม สำหรับเสริมสภาพคล่อง  ลงทุน ยกระดับธุรกิจ ภายหลังสถานการณ์คลี่คลาย อัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท ได้แก่ 1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” 2.สินเชื่อ “ปลุกพลัง SME” และ 3.สินเชื่อ “Beyond ติดปีก SME”   นอกจากนั้น SME D Bank  ยังเปิดศูนย์รับแจ้งขอความช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับประชาชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึง สาธารณภัยต่างๆ  ผ่าน Call Center 1357 และเปิดศูนย์รับบริจาคอาหาร ของใช้ ยารักษาโรค หรือสมทบทุน  เพื่อนำไปมอบให้แก่ประชาชน ทหาร และผู้ปฏิบัติหน้าที่ ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมาไปจนถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568 นี้  ณ หน้าสำนักงานใหญ่ SME D Bank อาคาร SME Bank Tower   ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการเข้ารับมาตรการต่าง ๆ สามารถแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของธนาคาร เช่น สาขา SME D Bank ทุกแห่งทั่วประเทศ ,  LINE Official Account : SME Development Bank , เว็บไซต์  www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

03 Aug 2025

...

บอร์ด ธ.ก.ส. มีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือครอบครัวทหาร และ ตชด. วีรบุรุษผู้เสียสละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา ที่บิดา - มารดา หรือคู่สมรสเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. โดยยกหนี้ในส่วนของต้นเงินกู้ทุกสัญญา และยกหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยทั้งจำนวน ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เพื่อให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์ลูกหนี้ และลดภาระให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างมั่นคง นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา อันส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ของเกษตรกรลูกค้าของธนาคาร โดยมีทั้งทหารและประชาชนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ตลอดจนที่อยู่อาศัยรวมถึงพื้นที่ทำกินได้รับความเสียหาย และเพื่อให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์ลูกหนี้  และลดภาระให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างมั่นคง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ กรณีบุตร คู่สมรส ของลูกค้า ธ.ก.ส. ที่เป็นทหาร หรือ ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา โดยธนาคารจะยกหนี้ในส่วนของต้นเงินกู้ทุกสัญญา และยกหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยค้างรับและดอกเบี้ยปรับทั้งจำนวน ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เป็นกรณีพิเศษ ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ขอแสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา คนข้างหลังไม่ต้องกังวล ธ.ก.ส. อยู่เคียงข้างและพร้อมก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555 ตลอด 24 ชั่วโมง  

01 Aug 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner