Responsive image

Monday, 12 May 2025

หน้าแรก > ECONOMY- FINANCE / เศรษฐกิจ - การเงิน


ธ.ก.ส. จับมือเคทีซี เปิดช่องทางร้านค้าน้องหอมจังรับชำระค่าสินค้าและบริการ ด้วย QR Code ผ่านทาง Alipay

Fri 09/10/2563


ธ.ก.ส. จับมือเคทีซี หนุนสร้างโอกาสทางการตลาดให้ผู้ประกอบการภาคเกษตร โดยเปิดช่องทางรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วย QR Code กับร้านค้าน้องหอมจังของ ธ.ก.ส. ผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของอาลีเพย์ (Alipay) ครอบคลุมทั้งร้านค้าชุมชนสร้างไทย ที่พัก โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกร้านกาแฟ ร้านค้าปลีก ชุมชนท่องเที่ยว รถเช่า รถโดยสารและรถทัวร์ นำร่อง 500 ร้านค้าทั่วประเทศ เริ่ม 1 พฤศจิกายนนี้

เมื่อวันที่  2 ตุลาคม 2563 ณ โถงชั้น 2 ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ได้มีพิธีลงนามในสัญญาความร่วมมือทางธุรกิจ “โครงการให้บริการร้านค้ารับชำระ QR Code และe-Commerce” ระหว่างนายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. และนายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เพื่อขยายการให้บริการรับชำระค่าสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการ วิสาหกิจชุมชนด้านการเกษตร ที่เป็นสมาชิกร้านค้าน้องหอมจังของ ธ.ก.ส. ด้วย QR Code ผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Wallet) ของ Alipay  

นายอภิรมย์ สุขประเสริฐ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. กล่าวว่า “ธ.ก.ส. มุ่งสู่นโยบายการให้บริการทางการเงินแบบครบวงจร โดยเล็งเห็นถึงความสำคัญในการขยายโอกาสทางการตลาดให้กับกลุ่มผู้ประกอบการ สหกรณ์ และวิสาหกิจชุมชน ภาคการเกษตร เพื่อสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าในการใช้บริการทางอิเล็กทรอนิกส์ได้อย่างกว้างขวางมากขึ้น สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลที่มุ่งสู่สังคมไร้เงินสด (Cashless Society) ธ.ก.ส. จึงได้ร่วมมือกับเคทีซี ซึ่งเป็นผู้ให้บริการรับชำระด้วย Alipay มากว่า 5 ปี และมียอดรับชำระสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของประเทศไทย เพื่อเปิดช่องทางรับชำระค่าสินค้าและบริการให้แก่ผู้ประกอบการภาคการเกษตรที่เป็นสมาชิกร้านน้องหอมจังของ ธ.ก.ส. ด้วย QR Code ผ่านกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (E-Wallet) ของ Alipay เช่น ร้านค้าชุมชนสร้างไทย ที่พัก โฮมสเตย์ ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึก ร้านกาแฟ ร้านค้าปลีก ชุมชนท่องเที่ยว รถเช่า รถโดยสาร รถทัวร์และร้านค้าของผู้เข้าร่วมประกวดตามโครงการ New Gen Hug บ้านเกิด ของ ธ.ก.ส. โดยธนาคารแห่งประเทศไทยอนุญาตให้ ธ.ก.ส. ให้บริการ QR Code ของ Alipay แล้ว จึงกำหนดเปิดให้บริการรับชำระผ่าน QR Code ของ Alipay ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2563 เป็นต้นไป นำร่อง 500 ร้านค้าทั่วประเทศ”

“การผนึกกำลังกันครั้งนี้ จะช่วยเสริมความเข้มแข็งให้แก่เศรษฐกิจฐานราก ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของคนในชุมชน สร้างความเข้าใจถึงการปรับตัวของร้านค้าเพื่อเตรียมความพร้อมในการขายสินค้า และบริการให้กับกลุ่มนักท่องเที่ยวโดยเฉพาะชาวจีนที่จะเดินทางมาท่องเที่ยวเมืองไทยหากมีนโยบายการเปิดประเทศให้กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติของรัฐบาล ด้วยการให้บริการรับชำระผ่าน Alipay ซึ่งทั้งสะดวกและปลอดภัย ที่สำคัญไม่ต้องพกเงินสด นอกจากนี้ ยังมีโปรโมชัน และงบส่งเสริมการขายให้กับร้านค้าที่สมัครเป็นสมาชิก อีกทั้งลูกค้าผู้ใช้บริการ Alipay App ยังได้รับสิทธิพิเศษต่าง ๆ จากการใช้จ่ายผ่าน Alipay App อีกด้วย โดยในปัจจุบัน ธ.ก.ส. มีร้านค้าน้องหอมจัง จำนวน 185,364 ร้านค้า แบ่งเป็นเกษตรกรจำนวน 184,452  ร้านค้า และนิติบุคคลจำนวน 912 ร้านค้า ทั้งนี้ ในช่วงต้นปี 2564 ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง ธ.ก.ส. กับเคทีซียังมีแผนจะเปิดให้บริการรับชำระผ่าน QR Code ของบัตรเครดิตวีซ่าและมาสเตอร์การ์ดอีกด้วย   ซึ่งปัจจุบัน ธ.ก.ส. อยู่ระหว่างการขออนุญาตธนาคารแห่งประเทศไทยเพื่อให้บริการรับชำระผ่าน QR Code ของบัตรเครดิต วีซ่าและมาสเตอร์การ์ดต่อไป”     

  

นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” กล่าวว่า “แนวโน้มการชำระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิตในรูปแบบของ QR Code มีการเติบโตต่อเนื่อง ตามกระแสของสังคมไร้เงินสดที่ต้องการความสะดวกรวดเร็วและปลอดภัย อีกทั้งยังช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าผู้ใช้งาน  ซึ่งการจะเป็นแบบนี้ได้ต้องยอมรับว่าส่วนหนึ่งเป็นผลจากการที่ร้านค้าต่าง ๆ มีระบบชำระเงินที่มีมาตรฐานสากลและได้รับการยอมรับจากทั่วโลก ซึ่งเคทีซีเองเป็นหนึ่งในผู้ที่ให้บริการทั้งบัตรเครดิตสำหรับผู้บริโภค และให้บริการระบบชำระเงินรูปแบบต่างๆ สำหรับร้านค้าสมาชิกในคราวเดียวกัน โดยในปี 2559 ได้เริ่มให้บริการรับชำระด้วยอาลีเพย์ ผู้ให้บริการจ่ายเงินออนไลน์ยอดนิยมของประเทศจีน ภายใต้บริษัท    Ant Group เพื่อรองรับชาวจีนที่อาศัยในไทยและกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนที่เข้ามาในไทย โดยเมื่อสิ้นปี 2562 ที่ผ่านมาเคทีซีมียอดรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยอาลีเพย์ประมาณ 15,600 ล้านบาท” 

“สำหรับความร่วมมือระหว่างเคทีซีกับธ.ก.ส. ครั้งนี้ เคทีซีจะใช้เทคโนโลยี QR Code Payment ในการเปิดช่องทางรับชำระค่าสินค้าและบริการผ่านพร้อมเพย์ (PromptPay) และ eWallet ของอาลีเพย์ (Alipay) ผนวกเข้ากับแอปพลิเคชัน “ร้านน้องหอมจัง” ของ ธ.ก.ส. เพื่อช่วยส่งเสริมการประกอบกิจการฐานราก และขับเคลื่อนชุมชนให้เข้มแข็ง อีกทั้งช่วยอำนวยความสะดวกและลดต้นทุนในการติดตั้งอุปกรณ์รับชำระให้กับร้านค้าต่าง ๆ ของธ.ก.ส. เกือบ 2 แสนร้านค้า ทั่วประเทศ ซึ่งมีฐานลูกค้าเป็นคนไทยและนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศที่ใช้สมาร์ทโฟนเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินชีวิตประจำวัน รวมถึงทำธุรกรรมชำระค่าสินค้าและบริการ โดยร้านค้าสมาชิก “น้องหอมจัง” ของธ.ก.ส. ที่เข้าร่วมโครงการ จะได้รับความมั่นใจจากระบบรักษาความปลอดภัยในการทำธุรกรรมรับชำระตามมาตรฐานของวีซ่าและมาสเตอร์การ์ด นอกจากนี้ เคทีซียังพร้อมให้บริการเชื่อมต่อระบบชำระเงินออนไลน์ “เพย์เมนท์ เกทเวย์” (Payment Gateway) สำหรับการรับชำระบนเว็บไซต์ของร้านค้าในโครงการ รวมทั้งเปิดช่องทางการจำหน่ายสินค้าบนเว็บไซต์สำหรับธุรกิจอีคอมเมิร์ซ “KTC UShop” เพื่อร่วมสนับสนุนผลิตภัณฑ์ของกลุ่มวิสาหกิจชุมชน New Gen Hug บ้านเกิด อาทิ ร้าน Coco Valley Resort จังหวัดน่าน ร้านตานี (TANEE) ของชุมชนช่างสกุลบายศรี จังหวัดราชบุรี และร้าน The FIGnature จังหวัดชลบุรี ซึ่งอยู่ภายใต้เครือข่ายร้านค้าน้องหอมจังของธ.ก.ส. อีกด้วย”

“อย่างไรก็ตาม แม้ว่าการรับชำระด้วยอาลีเพย์อาจจะได้รับผลกระทบอยู่บ้างจากสถานการณ์โควิด-19 ในปัจจุบัน แต่ยังคงมีการทำรายการชำระค่าสินค้าและบริการเข้ามาจากชาวจีนที่อาศัยตามหัวเมืองหลักในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง เราเชื่อว่าหากมาตรการเปิดประเทศให้ชาวต่างชาติเดินทางเข้ามาในประเทศได้ตามปกติ โครงการความร่วมมือนี้จะเป็นการเตรียมความพร้อมด้านระบบการชำระเงินที่เข้มแข็งตามมาตรฐานสากล ให้กับร้านค้าในการขายสินค้าและบริการได้อย่างคล่องตัวและสร้างรายได้จากยอดขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ”

สำหรับร้านค้าที่สนใจร่วมโครงการรับชำระร้านค้าน้องหอมจังสามารถติดต่อได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือทาง Call Center โทร. 02-555-0555

 


Tags : ธ.ก.ส. เคทีซี อภิรมย์ สุขประเสริฐ ระเฑียร ศรีมงคล ธ.ก.ส. จับมือเคทีซี เปิดช่องทางร้านค้าน้องหอมจังรับชำระค่าสินค้าด้วย QR Code


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

  ตามที่รัฐบาลโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบหมายให้สถาบันการเงินเข้าช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะ กลุ่มผู้ปกครองที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรหลานในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ทั้งค่าชุดเครื่องแบบนักเรียน หนังสือ อุปกรณ์การเรียน และอื่น ๆ ด้วยการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบ เพื่อเสริมสภาพคล่อง ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ และส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนไทยได้เข้าถึงการศึกษาอย่างต่อเนื่อง นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกมาตรการ “สินเชื่อธนาคารประชาชนต้อนรับเปิดเทอม” ที่ผ่อนเกณฑ์อนุมัติให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และเป็นการเดินหน้าภารกิจเชิงสังคมในการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม สำหรับผู้ปกครองที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนในการเตรียมความพร้อมแก่บุตรหลานในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่เพียง 0.60% ต่อเดือน วงเงินกู้ตามความจำเป็นสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาทต่อราย ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 1 ปี (12 งวด) ผ่อนชำระประมาณ 894 บาทต่อเดือน (รวมเงินต้นและดอกเบี้ย) ทั้งนี้ สำหรับผู้มีอาชีพ รายได้ และที่อยู่อาศัยแน่นอน สามารถยื่นขอสินเชื่อโดยไม่ต้องมีหลักประกัน ผ่านแอปพลิเคชัน MyMo หรือติดต่อธนาคารออมสินสาขาเพื่อขอคำแนะนำในการสมัครสินเชื่อ ได้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม – 31 กรกฎาคม 2568  

08 May 2025

...

SME D Bank ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ดูแลกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีสิทธิ์กว่า 17,200 ราย อย่างใกล้ชิด พาเข้าร่วมแล้ว ณ วันที่ 23 เม.ย. 68 กว่า 7,200 ราย หรือคิดเป็นกว่า 40% จากลูกหนี้ทั้งหมดที่มีสิทธิ์ ประกาศข่าวดี ขยายระยะเวลาสมัครลงทะเบียนสมัครถึงวันที่ 30 มิ.ย. 68 นี้ เพื่อรับประโยชน์ช่วยลดภาระ สร้างโอกาสกลับมาเริ่มต้นธุรกิจอีกครั้ง นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า จากที่รัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย มีนโยบายแก้หนี้ให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่ง SME D Bank ขานรับนโยบายเข้าร่วมโครงการ ด้วยการเปิดให้ลูกหนี้ของธนาคารที่เข้าเกณฑ์จำนวนกว่า  17,200 ราย มูลหนี้ประมาณ  16,800  ล้านบาท   ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่านเว็บไซต์ของธนาคาร (www.smebank.co.th)   รวมถึง ทำงานเชิงรุกด้วยการส่งจดหมายแนะนำโครงการไปถึงลูกหนี้ทุกรายที่มีสิทธิ์ ควบคู่กับให้ทีมงานธนาคารติดต่อลูกหนี้ทุกรายที่มีสิทธิ์ เพื่อให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด แนะนำถึงประโยชน์ของการเข้าร่วมโครงการ อีกทั้งเปิด Call Center สายพิเศษ รองรับให้บริการในโครงการนี้โดยเฉพาะผ่านเลขหมาย 1357 กด 99 ทั้งนี้  นับตั้งแต่เปิดลงทะเบียนเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 จนถึงวันที่ 23 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา มีลูกหนี้ลงทะเบียนเข้าโครงการแล้วกว่า 7,200 ราย หรือคิดเป็นกว่า 40% ของลูกหนี้ทั้งหมดของธนาคารที่มีสิทธิ์ ผ่านเกณฑ์โครงการกว่า 4,650 ราย  แยกตามประเภทอุตสาหกรรม  ภาคการค้า ประมาณ 38% ภาคบริการ ประมาณ 34% และภาคการผลิต ประมาณ 28%  โดยเป็นสัดส่วนกลุ่มธุรกิจที่ผ่านมาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” และทำสัญญาแล้ว จำนวนกว่า 2,900 ราย มูลหนี้กว่า 3,800 ล้านบาท   สำหรับกลุ่มที่ลงทะเบียนแบ่งเป็นกลุ่ม Lower SE (รายได้เกิน 1.8 ถึง 15  ล้านบาทต่อปี) จำนวน 58%  กลุ่ม Micro (รายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี)  จำนวน 24%  กลุ่ม Upper SE (รายได้เกิน 15 ถึง 100  ล้านบาทต่อปี) จำนวน  16% และกลุ่ม ME (รายได้เกิน  100  ล้านบาทต่อปี) จำนวน 2%  เมื่อรวมกลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นรายเล็กกับรายย่อย ( Lower SE , Micro ) จำนวนรวมถึงกว่า 82% สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบการรายเล็กของไทยมีศักยภาพเปราะบาง ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด  นอกจากนั้น ธนาคารยังช่วยเหลือด้านการพัฒนา เน้นการเพิ่มรายได้ขยายตลาด เช่น เชิญร่วมโครงการ  “SME D Market”  ซึ่งธนาคารจัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน เปิดโอกาสให้มาออกบูธจำหน่ายสินค้า  ณ  สำนักงานใหญ่ SME D Bank โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เชิญร่วมกิจกรรมคาราวานสินค้า สร้างโอกาสทางการตลาด และจับคู่ธุรกิจ  นอกจากนั้น เชิญร่วมโครงการไลฟ์คอมเมิร์ซ เวิร์คช้อปการทำตลาดยุคดิจิทัล พร้อมโอกาสเพิ่มรายได้ด้วยการให้คนดังบนโลกออนไลน์ช่วยบอกต่อ เป็นต้น   ทั้งนี้ จากที่โครงการดังกล่าว ได้ขยายเวลาลงทะเบียนออกไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน  2568  นับเป็นโอกาสดีที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงประโยชน์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือลดค่างวดชำระ  3 ปี  เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่อง โดยปีแรกชำระเพียง 50% เท่านั้น    โดยค่างวดที่ชำระนำไปตัดเงินต้นทั้งหมด อีกทั้ง ไม่เก็บดอกเบี้ย  3 ปี  เมื่อทำตามเงื่อนไข และหากชำระค่างวดมากกว่าขั้นต่ำ ตัดเงินต้นเพิ่ม ปิดหนี้จบได้อย่างรวดเร็ว   จึงขอเชิญชวนลูกหนี้ทุกรายที่มีสิทธิ์ รีบแจ้งความประสงค์ เพื่อรับผลประโยชน์ในการช่วยเหลือ  ลดภาระหนี้ และสร้างโอกาสให้กลับมาเริ่มต้นดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง  สามารถแจ้งความประสงค์ผ่านเว็บไซต์ของธนาคาร (www.smebank.co.th)   หรือเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (www.bot.or.th/khunsoo) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357 กด 99   

05 May 2025

...

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์การเงินการคลังของไทย ในงาน MOF Journey: 150 ปี เส้นทางการคลังไทย ในโอกาสครบรอบ 150 ปี กระทรวงการคลัง โดยจัดโปรโมชันเงินฝากเพื่อส่งเสริมการออมสำหรับงานนี้เท่านั้น เริ่มต้นด้วยเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 150 วัน อัตราดอกเบี้ยแบบ Step up เฉลี่ย 2.55% ต่อปี หรือเทียบเท่าเงินฝากประจำ 3.00% ต่อปี จองสิทธิ์ภายในงาน จำนวนจำกัด วันละ 150 สิทธิ์ และ 1 คนต่อ 1 สิทธิ์ และพลาดไม่ได้กับแคมเปญแห่งปี “ออมร้อย ชิงร้อยล้าน” ฝากสลากออมสินพิเศษ 1 ปี ลุ้นรับรางวัลพิเศษมูลค่ารวม 100 ล้านบาท แบ่งเป็น รางวัลพิเศษ มูลค่า 1 ล้านบาท งวดวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 จำนวน 30 รางวัล และรางวัลพิเศษ มูลค่า 70 ล้านบาท งวดวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 เพียง 1 รางวัลเท่านั้น สำหรับผู้ฝากสลากตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 15 กรกฎาคม 2568 หรือเลือกฝากสลากออมสินพิเศษ / สลากดิจิทัล แบบ 2 ปี พร้อมรับของที่ระลึก นอกจากนี้ยังมี เงินฝาก Smart Junior เพื่อเด็กและเยาวชนที่มีอายุ 7 – 23 ปีบริบูรณ์ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.50% ต่อปี และได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 2.10% ต่อปี เมื่อมียอดเงินฝากคงเหลือเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนอย่างต่อเนื่อง โดย 24 เดือนแรก รับดอกเบี้ยพิเศษเพิ่มขึ้น 0.10% ทุก 2 เดือน สูงสุดไม่เกิน 1.60% ต่อปี และรับดอกเบี้ยโบนัสเพิ่มขึ้น 0.50% ใน 6 เดือนสุดท้าย ระยะเวลาฝากรวม 30 เดือน เปิดบัญชีขั้นต่ำ 1 บาท และเปิดบัญชีเงินฝาก 100 บาทขึ้นไป รับกระปุกออมสินคอลเลกชันพิเศษ GSB Love Earth ภายในบูธยังมีกิจกรรมพิเศษและรับกระปุกออมสิน รวมถึงการแนะนำการลงทะเบียนสินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส นวัตกรรมสินเชื่อสำหรับคนที่ไม่เคยกู้แบงก์ได้มาก่อนอีกด้วย   งานครบรอบ 150 ปี วันสถาปนากระทรวงการคลัง จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “อดีต–ปัจจุบัน-อนาคต” เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้เรียนรู้ถึงวิวัฒนาการด้านการคลังของไทยที่มีบทบาทในการพัฒนาประเทศตั้งแต่อดีตสู่ภารกิจการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มั่งคงและยั่งยืนในอนาคต ภายในงานยังเป็นการร่วมแสดงพลังความสามัคคี การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อการบริการประชาชนและการแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมของหน่วยงานในสังกัด จึงขอเชิญชวนร่วมสัมผัสนวัตกรรมและบริการทางการเงินที่น่าสนใจ ทั้งจากบูธธนาคารออมสิน และหน่วยงานต่าง ๆ ในระหว่างวันที่ 1 - 3 พฤษภาคม 2568 ณ Hall 3 – 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  

30 Apr 2025

...

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ก้าวสู่ผู้นำด้านความโปร่งใสและจริยธรรมทางธุรกิจ โดยได้รับการเลื่อนสถานะเป็น CAC Change Agent จากองค์กรแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) ซึ่งเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม โปร่งใส ปกป้องผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเผยแพร่ไปยังคู่ค้าให้มีห่วงโซ่อุปทานที่ใสสะอาด กรุงเทพประกันชีวิต เชื่อมั่นในพลังความใส่ใจและมุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืน โดยเข้าร่วมเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านการคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) เป็นระยะเวลากว่า 3 ปี ความสำเร็จครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อองค์กรรวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจ โดยกรุงเทพประกันชีวิตจะยังคงมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านความโปร่งใสและจริยธรรมทางธุรกิจต่อไป

30 Apr 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner