Responsive image

Thursday, 03 Jul 2025

หน้าแรก > ECONOMY- FINANCE / เศรษฐกิจ - การเงิน


บทความสัมภาษณ์พิเศษกับ มร.อามิต กอช ผู้อำนวยการ R3 ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก

Tue 20/10/2563


R3 มีภูมิหลังมาอย่างไร ปัจจุบันดำเนินการอะไรไป อย่างไรบ้าง และในประเทศไทยมีกี่โครงการ

บริษัท ซอฟต์แวร์ระดับองค์กรที่บุกเบิกการเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมดิจิทัล ด้วยการนำเสนอเทคโนโลยีบล็อกเชนที่สร้างขึ้นเองโดยเฉพาะสำหรับธุรกิจทุกประเภทในทุกอุตสาหกรรม Corda ได้รับการพัฒนาโดยความร่วมมือกับระบบนิเวศของสถาบันต่างๆ มากกว่า 350 แห่ง ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มบล็อกเชนระดับองค์กรของ R3 ที่กำลังจะมาเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมทั้งหมดด้วยการปรับเปลี่ยนกระบวนการและระบบต่างๆ ให้เข้าสู่ระบบดิจิทัล ซึ่งบริษัทต่างๆ ต้องพึ่งพาการเชื่อมต่อและทำธุรกรรมระหว่างกันงานของเราในประเทศไทยเริ่มต้นขึ้นในภาคธนาคาร ซึ่งเราทำงานอย่างใกล้ชิดกับธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดจนสถาบันการเงินชั้นนำอื่นๆ เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารกสิกรไทย ธนาคารกรุงไทย และธนาคารไทยพาณิชย์ เพื่อจัดการกับปัญหาเร่งด่วนที่สุดในด้านการเงิน การค้า ห่วงโซ่อุปทาน และการชำระเงินแบบ B2B ยกตัวอย่างเช่น งานที่เกี่ยวข้องในด้านซัพพลายเชน เราเข้าใจว่ากระบวนการจัดหา เพื่อจ่ายซัพพลายเชนในปัจจุบัน มีแนวโน้มที่จะเป็นกระบวนการที่ล่าช้า และไม่มีประสิทธิภาพ เนื่องจากการพึ่งพาเอกสารที่เป็นกระดาษ อาจทำให้เกิดข้อผิดพลาดได้มากขึ้น ความไร้ประสิทธิภาพเหล่านี้ ยังส่งผลให้ธุรกิจต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามมา

การทำงานของเราที่ร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ ทำให้เกิดโซลูชันบล็อกเชนแบบครบวงจรเป็นรายแรกของโลก สำหรับการจัดหา จัดการจ่ายที่เรียกว่า B2P ซึ่งขับเคลื่อนโดยผลิตภัณฑ์ Corda ผลิตภัณฑ์เรือธงของ R3 โซลูชันนี้ยังได้รับการนำมาใช้โดยเครือซิเมนต์ไทย ซึ่งเป็นบริษัท ปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างที่ใหญ่และเก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงกลุ่มบริษัทขนาดใหญ่อื่น ๆ ของไทย

ด้วยการใช้ประโยชน์จากบล็อกเชน B2P สามารถช่วยลดเวลาที่ใช้ในกระบวนการจัดซื้อได้เป็นอย่างมาก และสามารถลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องได้ถึงกว่า 70% เมื่อเร็ว ๆ นี้ โซลูชัน B2P ได้ถูกนำไปใช้ในระบบนิเวศซัพพลายเออร์ของเครือซิเมนต์ไทย โดยคาดว่าซัพพลายเออร์มากกว่า 2,400 ราย จะได้รับประโยชน์จากโซลูชันนี้ภายในสิ้นปี 2563

นอกเหนือจากเครือซิเมนต์ไทยแล้ว R3 ยังมีประวัติประสบความสำเร็จในการทำงานร่วมกับองค์กรอื่น ๆ ในไทยอีก เช่น J Ventures ซึ่งเข้าร่วมเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ในปี 2561 โดยมี Corda เป็นเทคโนโลยีพื้นฐานของบริษัท

ทิศทางธุรกิจและกลยุทธ์ของ R3 ในประเทศไทยเป็นอย่างไร

กลยุทธ์ที่ครอบคลุมของเราในประเทศไทยและภูมิภาค คือการเป็นซอฟต์แวร์ Distributed Ledger Technology (DLT) และที่ปรึกษาทางด้านความคิดสำหรับ ISV สถาบันการเงิน บริษัท ซัพพลายเชน และโลจิสติกส์ รวมถึงบริษัทในทุกขนาด รวมถึงรัฐบาล

เราช่วยให้องค์กรมีโซลูชันบล็อกเชนที่จำเป็นในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างพื้นฐานแบบดิจิทัล จัดการขั้นตอนการทำงานที่ไม่มีประสิทธิภาพ ปรับปรุงระบบในหลายฝ่าย และจัดหาแพลตฟอร์มสำหรับการจัดการสินทรัพย์ดิจิทัล

ด้วยการเปิดตัวโครงการ Thailand 4.0 R3 เล็งเห็นว่าประเทศไทยกำลังก้าวไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางด้านดิจิทัลอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากมีเป้าหมายที่จะสร้างตัวเองให้เป็นศูนย์กลางในด้านนวัตกรรมดิจิทัลในระดับภูมิภาค

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการเติบโตอย่างโดดเด่นในด้านเทคโนโลยี เนื่องจากสตาร์ทอัพและธุรกิจต่างๆเปิดกว้างมากขึ้นในการยอมรับเอาเทคโนโลยีใหม่ ๆ เข้ามาใช้ เช่น เทคโนโลยีบล็อกเชน สถาบันการเงินแบบดั้งเดิม เช่น ธนาคารกรุงเทพ ธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งเป็นพันธมิตรกับ R3 ได้พลิกโฉมธุรกิจของพวกเขาไปอย่างสิ้นเชิง โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการค้าและตลาดทุน

ในขณะที่เรายังคงร่วมดำเนินงานร่วมกับ บริษัทต่างๆ ในเส้นทางเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่ดิจิทัล เราจะมุ่งเน้นไปที่การทำงานร่วมกับพันธมิตรในการพัฒนา Corda เพื่อค้นหาวิธีใหม่ ๆ ในการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีบล็อกเชนในอุตสาหกรรมของตน

ในฐานะหัวหน้า APAC ของ R3 คุณสามารถแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเติบโตของอุตสาหกรรมเทคโนโลยีบล็อกเชนได้หรือไม่ และมีผลต่อธุรกิจโดยรวมอย่างไร

ปัจจุบันประเทศไทยแซงหน้าคู่แข่งในภูมิภาคนี้ และกำลังปูทางไปสู่การเป็นศูนย์กลางนวัตกรรมดิจิทัลของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้ในประเทศไทยในช่วงต้น ได้รับความนิยมอย่างล้นหลามโดยรัฐบาลไทย สถาบันการเงินแบบดั้งเดิม และกลุ่มบริษัทที่ดำเนินการเพื่อผสานรวมเทคโนโลยีบล็อกเชนเข้ากับธุรกิจของตน

แม้แต่ในภูมิภาค อินเดีย สิงคโปร์ ออสเตรเลีย ญี่ปุ่น และฮ่องกง ต่างก็กลายเป็นศูนย์กลางของนวัตกรรมบล็อกเชนและความก้าวหน้า ในขณะที่ "สภาวะปกติใหม่" เรียกร้องให้ธุรกิจต้องเปลี่ยนรูปแบบไปสู่ดิจิทัล เพื่อให้สามารถอยู่รอดต่อไปได้ Blockchain จะมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้ธุรกิจประหยัดค่าใช้จ่าย คล่องตัว และมีประสิทธิภาพ โดยไม่ต้องสูญเสียความเป็นส่วนตัว หรือความปลอดภัย Blockchain จะช่วยให้ผู้นำในอุตสาหกรรมในอนาคต สามารถตัดสินใจได้ดีขึ้น สามารถทำงานร่วมกันข้ามพรมแดนและตอบสนองต่อปรากฎการณ์หงส์ดำ (Black Swan event) บริหารความเสี่ยงได้อย่างรวดเร็ว

หน่วยงานกำกับดูแลในประเทศไทย สิงคโปร์ และฮ่องกง จะยังคงเดินหน้าสำรวจการใช้ blockchain, DLT และ tokenisation ในแวดวงทางการเงิน ในขณะที่เรามองไปถึงอนาคตอันใกล้ R3 คาดว่าจะเป็นหัวหอกในการวิจัยและพัฒนา CBDC ภายในภูมิภาค และมีส่วนร่วมในโครงการความร่วมมือต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นกับหน่วยงานกำกับดูแลใน APAC

โดยประวัติผลงานส่วนตัวของ มร.อามิต กอช มีประสบการณ์มากกว่า 18 ปี ในด้านกลยุทธ์และการดำเนินงานการพัฒนาธุรกิจและการออกแบบโซลูชันเชิงพาณิชย์ในการชำระเงินดิจิทัลและบริการไอทีสำหรับองค์กร ปัจจุบัน มร.อามิต กอช เป็นหัวหน้าประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกที่ R3 และรับผิดชอบกลยุทธ์ชั้นนำของ R3 ในภูมิภาครวมถึงกลยุทธ์การเข้าสู่ตลาดกลยุทธ์การกำหนดราคาและกลยุทธ์การขาย / หุ้นส่วน

นอกจากนี้ยังเป็นผู้นำการเติบโตและผลการดำเนินงานของธุรกิจในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ก่อนที่จะเข้าร่วมกับ R3 เคยดำรงตำแหน่งอาวุโสด้านการพัฒนาธุรกิจและการดำเนินงานที่ Visa PayPal และ Hewlett Packard

Covid19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจของคุณหรือไม่ ในทางบวกหรือทางลบอย่างไร

ปัจจุบันการแปลงไปสู่ระบบดิจิทัลมีความสำคัญมากขึ้นสำหรับทุกองค์กร เนื่องจากจะช่วยให้มั่นใจได้ถึงความอยู่รอดและความต่อเนื่องของธุรกิจ ในขณะที่พวกเขาต้องก้าวเข้าสู่ภาวะปกติหรือ new normal ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดเราได้เห็นความต้องการระบบคอร์ด้าในประเทศไทยและทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกมากขึ้น เนื่องจากบริษัทต่างๆ พยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลผ่านการนำระบบบล็อกเชนมาใช้

ก่อนที่จะเกิดการแพร่ระบาดองค์กรต่างๆ อาจนำเทคโนโลยีบล็อกเชนมาใช้อย่างช้าๆ เนื่องจากการปรับปรุงระบบเดิมอาจเป็นกระบวนการที่น่าเบื่อ เสียค่าใช้จ่ายและเสียเวลามาก เนื่องจาก Corda ได้รับการออกแบบโดยธุรกิจสำหรับธุรกิจเราจึงเข้าใจการในความพยายามที่จะนำความสามารถในการทำงานร่วมกันกับระบบเดิมและสร้าง Corda บนแพลตฟอร์มที่ใช้กันทั่วไป เช่น Java เพื่อให้สามารถรวมเข้ากับระบบที่ธุรกิจใช้อยู่แล้วเป็นไปได้อย่างง่ายดาย

R3 เชื่อว่าอุปสรรคในการเข้าสู่ระบบบล็อกเชนมีน้อยมาก ยิ่งไปกว่านั้นความผันผวนทางเศรษฐกิจในปัจจุบันเป็นเหตุผลที่เรามุ่งเน้นไปที่ต้นทุนการรวมระบบที่ลดลง ความยืดหยุ่นของระบบ และการปรับใช้ที่ง่ายขึ้นในโซลูชันทั้งหมดของเรา สถานการณ์ COVID 19 ได้กระตุ้นให้เกิดความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงภายในสำหรับหลาย ๆ องค์กร และเราได้เห็นบริษัทอีกจำนวนมากขึ้น ที่มีส่วนร่วมในการพิจารณาและปรับปรุงกระบวนการภายในใหม่

เมื่อมองไปในอนาคตเทคโนโลยีบล็อกเชน จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในฐานะเครื่องมือพื้นฐานที่จะช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลในเกือบทุกธุรกิจและอุตสาหกรรม บล็อกเชนมีความสามารถในการสร้างโลกที่เชื่อมต่อถึงกันแบบดิจิทัลที่คล่องตัว ปลอดภัย ยืดหยุ่น และโปร่งใส ช่วยให้องค์กรต่างๆ สามารถต้านทานการตกต่ำของธุรกิจ ที่ไม่สามารถคาดเดาได้ ในวันนี้ พรุ่งนี้ และหลังจากนั้นด้วย


Tags : มร.อามิต กอช ผู้อำนวยการ R3 ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก R3


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

  ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank  ร่วมงาน “มหกรรมการเงินหาดใหญ่” ครั้งที่ 15 (MONEY EXPO 2025 HATYAI) ระหว่างวันที่ 4-6 กรกฎาคม 2568 ณ บูธ F3 หาดใหญ่ฮอลล์ ชั้น 5 เซ็นทรัล หาดใหญ่ จ.สงขลา ยกขบวนผลิตภัณฑ์สินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทุกความต้องการผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไฮไลท์ คือ สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท ครอบคลุมทุกกลุ่มและทุกความต้องการเอสเอ็มอีไทย ควบคู่บริการพัฒนาธุรกิจ ผ่านแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” (dx.smebank.co.th)   ช่วยเสริมศักยภาพกิจการ ครบถ้วนในจุดเดียว ห้ามพลาด! พิเศษเฉพาะภายในงาน เมื่อยื่นขอสินเชื่อ และได้รับอนุมัติทุกวงเงิน รับโปรโมชันเสริมอีก 2 ต่อ ได้แก่ ต่อที่ 1 : ลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์สินเชื่อ (Front End Fee) สูงสุด 0.25% และต่อที่ 2 : รับบัตรกำนัล มูลค่า 500 บาท พร้อมเล่นเกม ลุ้นรับของที่ระลึกมากมาย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

03 Jul 2025

...

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารประสบความสำเร็จได้รับรางวัลระดับเอเชีย Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2025 สาขา Social Empowerment จาก MyMo Secure Plus นวัตกรรมความปลอดภัยบน Mobile Banking ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์ให้ลูกค้า บูรณาการร่วมกับ แคมเปญเตือนภัยมิจฉาชีพ เพื่อสื่อสารสร้างการรับรู้และเสริมภูมิคุ้มกันภัยทางการเงิน พร้อมกันนี้ ธนาคารออมสินยังได้รับรางวัลเกียรติคุณ Silver Emblem of Sustainability ในฐานะองค์กรที่มีความโดดเด่นและมุ่งมั่นในการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติจนได้รับรางวัล AREA มาแล้ว 5 ปี จาก Enterprise Asia องค์กรพัฒนาเอกชนชั้นนำที่ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการที่มีความรับผิดชอบในเอเชีย เพื่อเชิดชูและให้เกียรติองค์กรธุรกิจที่มีการดำเนินงานตามแนวทาง ESG และเป็นต้นแบบองค์กรชั้นนำในภูมิภาคเอเชียที่ขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ     ธนาคารออมสินถือเป็นธนาคารแรกที่พัฒนาโหมดปลอดมิจฉาชีพ ภายใต้ชื่อ MyMo Secure Plus เพื่อช่วยดูแลเงินฝากขั้นสูงสุดให้กับลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มที่ไม่รู้เท่าทันมิจฉาชีพที่เปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงตลอดเวลา ออกแบบโดยเน้นการทำธุรกรรมทางการเงินแบบจำกัดเฉพาะรายการที่จำเป็น อาทิ การโอนเงินไปยังบัญชีตนเองภายในธนาคารและต่างธนาคารที่ลงทะเบียนไว้ และการจำกัดวงเงินในการทำธุรกรรมต่อวัน ทั้งนี้ ธนาคารออมสินไม่เพียงพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นธนาคารแรกที่ดำเนินกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ (IMC) ผ่าน แคมเปญเตือนภัยมิจฉาชีพ ดำเนินการอย่างเข้มข้นผ่านช่องทางการสื่อสารที่ครบวงจร ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ สื่อนอกบ้าน หรืออินฟลูเอนเซอร์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางและครอบคลุมมากที่สุด เนื่องจากธนาคารตระหนักดีถึงความสูญเสียของประชาชนและวิกฤตของอาชญากรรมออนไลน์ที่นับวันจะทวีความรุนแรงจนกลายเป็นภัยคุกคามระดับประเทศ จึงเป็นความพยายามของธนาคารในการที่จะกระตุ้นเตือนให้ประชาชนรู้เท่าทันกลลวงและไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพทางการเงิน     รางวัลเกียรติคุณ Silver Emblem of Sustainability และ Social Empowerment ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงบทบาทของธนาคารออมสินในฐานะ Social Bank ที่ไม่เพียงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับการให้บริการลูกค้าเท่านั้น แต่ยังขับเคลื่อนการสร้าง Social Impact เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนช่วยบรรเทาปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ธนาคารยังคงยึดมั่นในหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบตามแนวทาง ESG เพื่อก้าวสู่เป้าหมายความยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม ตลอดจนเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว  

01 Jul 2025

...

นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร บันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ สถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 MCOT HD เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568  

29 Jun 2025

...

  บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมออกบูทในงานมหกรรมจำหน่ายรถยนต์ครบวงจร FAST Auto Show Thailand 2025   ระหว่างวันที่ 2 – 6 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ฮอลล์ EH 102 - 103  ในงานนี้ บริษัทฯ ได้จัดเต็มโปรโมชันสุดพิเศษ โดยมอบส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัยสูงสุด 23% สำหรับผู้ที่ซื้อกรมธรรม์ใหม่ภายในงาน โดยมีทีมงานรับประกันภัยพร้อมบริการให้คำปรึกษา และคำแนะนำเกี่ยวกับแผนประกันภัยที่เหมาะสมกับความคุ้มครองที่หลากหลาย โดยนอกจากประกันภัยรถยนต์แล้วยังมีประกันอัคคีภัย ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันภัยการเดินทาง ประกันภัยสุขภาพ ประกันภัยโรคมะเร็ง และประกันภัยอื่นๆ ที่ให้ความคุ้มครองรองรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า นอกจากนี้ ยังสามารถผ่อนชำระเบี้ยประกันภัย ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน หรือ 10 เดือนผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ พร้อมรับของที่ระลึกที่เตรียมไว้สำหรับงานนี้โดยเฉพาะ  พบกับกรุงเทพประกันภัยได้ที่บูท B11 ณ ศูนย์ประชุมนิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา ฮอลล์ EH 102 - 103 ในวันที่ 2 - 6 กรกฎาคม 2568    

29 Jun 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner