Responsive image

Saturday, 12 Jul 2025

หน้าแรก > BUSINESS-MARKETING-SME /ธุรกิจ-การตลาด-ขายตรง-เอสเอ็มอี


เอสซีจี แถลงผลประกอบการไตรมาส 3/2563 แข็งแกร่ง อานิสงค์ตลาดเคมีภัณฑ์ฟื้นตัว ธุรกิจแพคเกจจิ้งเติบโต

Wed 04/11/2563


เอสซีจีเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ของปี 2563 มีกำไรมากกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน ร้อยละ 57 จากการฟื้นตัวของตลาดเคมีภัณฑ์โลก และการเพิ่มสัดส่วนสินค้า HVA โมเดลธุรกิจแพคเกจจิ้งที่แข็งแกร่ง และการทรานฟอร์มธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างให้ตอบสนองความต้องการของลูกค้า มั่นใจมาถูกทาง แม้ต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 เดินหน้าพัฒนานวัตกรรมสินค้า HVA โซลูชัน และบริการครบวงจร รอโอกาสตลาดฟื้นตัว และสร้างการเติบโตระยะยาว

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ในไตรมาสที่ 3 ประจำปี 2563 มีรายได้จากการขาย 100,938 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน และมีกำไรสำหรับงวด 9,741 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน จากผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ดีขึ้น ตามความต้องการสินค้าที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นในประเทศจีนและภูมิภาคเอเชีย และธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รายได้จากการขายลดลงร้อยละ 9 ในขณะที่กำไรสำหรับงวดเพิ่มขึ้นอย่างเด่นชัดถึงร้อยละ 57 จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของธุรกิจเคมิคอลส์  นวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services - HVA) ตลอดจนการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2563 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 302,689 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่ลดลง ตามราคาน้ำมันที่ลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวด 26,096 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และธุรกิจแพคเกจจิ้ง ทั้งนี้ ภาพรวมของธุรกิจมีการปรับตัวอย่างรวดเร็ว นำเทคโนโลยีมาใช้ตลอด Supply Chain แบบครบวงจร เอสซีจีมีการปรับกลยุทธ์นวัตกรรมสินค้าและบริการ HVA โดยได้ยกระดับเกณฑ์การพิจารณาให้เข้มข้นขึ้น เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันในตลาดโลก เน้นการปรับตัวให้ทันต่อความต้องการของลูกค้าที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เพื่อสร้างผลกำไรให้สูงขึ้น ภายใต้เกณฑ์ใหม่ เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการ HVA ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2563 อยู่ที่ 93,593 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 31 ของยอดขายรวม

นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ใน 9 เดือนแรกของปี 2563 ทั้งสิ้น 128,937 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 43 ของยอดขายรวม ลดลงเล็กน้อยจากช่วงเดียวกันของปีก่อน สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 กันยายน 2563 มีมูลค่า 723,147 ล้านบาท โดยร้อยละ 38 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน

ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2563 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้

ธุรกิจเคมิคอลส์ ในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 มีรายได้จากการขาย 37,748 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 14 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ปรับตัวลง แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 5,488 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 80 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาวัตถุดิบที่ลดลง และเพิ่มขึ้นร้อยละ 20 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วม และส่วนต่างราคา PVC-EDC/C2 ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับมีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2563 ธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้จากการขาย 110,835 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 19 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวลดลง โดยมีกำไรสำหรับงวด 11,830 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมลดลงธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 มีรายได้จากการขาย 42,685 ล้านบาท ลดลงร้อยละ6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการของตลาดยังคงลดลงจากมาตรการปิดเมือง แต่คงที่เมื่อเทียบไตรมาสก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,894 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 176 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ขณะที่ลดลงร้อยละ 3 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากปัจจัยตามฤดูกาล

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2563 ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีรายได้จากการขาย 131,436 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากความต้องการของตลาดที่ยังคงลดลงจากมาตรการปิดเมือง โดยมีกำไรสำหรับงวด 6,616 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 59 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องและต้นทุนพลังงานที่ลดลง ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 มีรายได้จากการขาย 23,287 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโรคระบาด COVID-19 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 8 จากไตรมาสก่อน จากปริมาณความต้องการสินค้าอุปโภคบริโภคที่ยังเติบโต ปริมาณการส่งออกที่เพิ่มขี้น และการเริ่มฟื้นตัวของสินค้าคงทนในกลุ่มเครื่องใช้ไฟฟ้าและยานยนต์ โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,335 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และลดลงร้อยละ 30 จากไตรมาสก่อน จากการผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนในสกุลรูเปียห์ อินโดนีเซีย ส่งผลให้เกิดขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนทางบัญชี (หลังหักภาษีและส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม) 111 ล้านบาท

สำหรับผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2563 ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีรายได้จากการขาย 69,190 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 5 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องของความต้องการใช้สินค้าจำเป็นในชีวิตประจำวัน และการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะจากการซื้อกิจการกระดาษบรรจุภัณฑ์ในประเทศอินโดนีเซีย และบรรจุภัณฑ์จากวัสดุสมรรถนะสูงและพอลิเมอร์ในประเทศไทย โดยมีกำไรสำหรับงวด 4,971 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 22 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายรุ่งโรจน์ กล่าวว่า ผลประกอบการในไตรมาสที่ 3 และ 9 เดือนแรกของปี 2563 เติบโตเป็นที่น่าพอใจ ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในไตรมาสที่ผ่านมา ตลาดเคมีภัณฑ์โลกปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะสินค้า HVA ในกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร ยานยนต์ และสินค้าคงทน ด้านธุรกิจแพคเกจจิ้งมีการปรับโมเดลธุรกิจ มุ่งเสนอโซลูชันครบวงจร จึงเติบโตอย่างมีคุณภาพ รวมถึงความสามารถในการปรับตัวทางธุรกิจ  (Business Transformation) ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดที่เปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ด้วยการพัฒนาสินค้าและบริการ พร้อมโซลูชันครบวงจร ช่องทางค้าปลีกในรูปแบบ Active Omni-Channel นวัตกรรมสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม สินค้าตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) นอกจากนี้ เอสซีจียังมีการเตรียมพร้อมอยู่เสมอ เพื่อหาโอกาสทางธุรกิจ รอการฟื้นตัวของตลาด เพื่อสร้างการเติบโตในระยะยาว วิกฤตโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง เอสซีจีได้ร่วมช่วยเหลือสังคมมาโดยตลอด โดยล่าสุดเป็นผู้ประสานความร่วมมือระหว่างรัฐบาลไทยกับมหาวิทยาลัยอ็อกซฟอร์ด และแอสตร้าเซนเนก้า ในการผลิตวัคซีนวิจัยป้องกันโควิด-19 เพื่อให้คนไทยได้ใช้วัคซีนเป็นกลุ่มแรก ๆ ในช่วงครึ่งแรกของปีหน้า ซึ่งจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นและฟื้นเศรษฐกิจไทย โดยมูลนิธิเอสซีจีได้ร่วมสนับสนุนทุนวิจัยพัฒนาวัคซีนในประเทศ 100 ล้านบาท ตลอดจนยังคงร่วมมือกับเครือข่ายดูแลความปลอดภัยของแพทย์และประชาชน ด้วยการกระจายอุปกรณ์ทางการแพทย์ป้องกันเชื้อโควิด-19 อาทิ ห้องตรวจหาเชื้อ แคปซูลเคลื่อนย้ายผู้ป่วย ให้แก่โรงพยาบาลและหน่วยงานเกือบ 1,000 แห่งทั่วประเทศเพื่อสู้วิกฤตเศรษฐกิจ เอสซีจีได้ส่งเสริมพัฒนาอาชีพที่เป็นที่ต้องการของตลาด ด้วยการจัดอบรมช่างก่อสร้างมืออาชีพ โดยสถาบัน PROBUILD รวมถึงพัฒนาอาชีพการเกษตรครบวงจร เพื่อสร้างรายได้มั่นคงให้แก่เกษตรกร โดยสยามคูโบต้า อีกทั้งส่งเสริมเยาวชนให้มีทักษะด้านดิจิทัลและเทคโนโลยี โดยมูลนิธิเอสซีจี”

สำหรับธุรกิจเคมิคอลส์ ฟื้นตัวดีขึ้นหลังสถานการณ์โควิด-19 เริ่มคลี่คลาย เป็นผลมาจากกลุ่มอุตสาหกรรมเกษตร ยานยนต์ และสินค้าคงทนกลับมาดีขึ้นในไตรมาสที่ 3 โดยธุรกิจเร่งพัฒนาสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูงให้มีสัดส่วนที่สูงขึ้น เพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่ฟื้นตัว ตลอดจนเร่งพัฒนาออกแบบสินค้าให้ตอบโจทย์เศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น เม็ดพลาสติกสำหรับบรรจุภัณฑ์ Flexible Packaging ที่ทำจากเม็ดพลาสติกชนิดเดียว (Mono-material) เม็ดพลาสติกคุณภาพสูงที่ใช้ในการเพิ่มคุณภาพของพลาสติกรีไซเคิล และเม็ดพลาสติกรีไซเคิล (Post-Consumer Recycled Resin) คุณภาพสูง เป็นต้น เพื่อส่งเสริมการรีไซเคิลและตอบโจทย์เจ้าของแบรนด์สินค้า ขณะที่ยังคงความสามารถในการบริหารจัดการธุรกิจที่ยืดหยุ่น เพื่อตอบสนองความต้องการของตลาด ควบคู่กับดำเนินการบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจ ด้วยมาตรการที่เข้มแข็ง ส่งผลให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ ในส่วนของโครงการ MOC Debottleneck มีความคืบหน้าตามแผนร้อยละ 97 ซึ่งจะมีกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้น 350,000 ตันต่อปี และโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนาม มีความคืบหน้าตามแผน โดยดำเนินโครงการไปแล้วกว่าร้อยละ 55

ส่วนธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ยังสามารถสร้างรายได้และเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยสินค้าและบริการ พร้อมโซลูชันครบวงจร (End-to-End Service Solution) ที่ยังคงเติบโต เช่น CPAC Construction Solution ที่ร่วมกับเครือข่าย นำเทคโนโลยีล้ำสมัย ผนวกกับสินค้าคุณภาพสูงและความเชี่ยวชาญของเอสซีจี มาให้บริการงานก่อสร้างครบวงจรที่ตรงความต้องการลูกค้า อาทิ การเทคอนกรีตฐานรากแบบต่อเนื่องในโครงการ One Bangkok ด้วยปริมาณคอนกรีต 27,300 ลูกบาศก์เมตร ซึ่งเป็นสถิติการเทคอนกรีตฐานรากต่อเนื่องสูงที่สุดในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้  และการดำเนินธุรกิจ Lifetime Solution ที่ให้บริการซ่อมแซมอาคารและกลุ่มงานโครงสร้างขนาดใหญ่แบบครบวงจร พร้อมยกระดับความสามารถในการแข่งขันและขยายบริการไปยังภูมิภาคอาเซียน เป็นต้น ขณะที่ SCG Solar Roof Solutions ระบบหลังคาโซลาร์จากเอสซีจี มียอดขายเติบโต 4 เท่าเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะช่วยประหยัดค่าไฟให้กับเจ้าของบ้านได้สูงสุดถึงร้อยละ 60 ธุรกิจยังเดินหน้าพัฒนาช่องทางค้าปลีกในรูปแบบ Active Omni-Channel ที่เชื่อมต่อช่องทางออนไลน์ SCGHOME.com กับเครือข่ายร้านค้าปลีกรูปแบบแฟรนไชส์ของ SCG HOME 17 แห่งทั่วประเทศ เพื่ออำนวยความสะดวกให้แก่ลูกค้าที่ต้องการปรับปรุงบ้านด้วยสินค้าพร้อมการบริการติดตั้ง ล่าสุดได้ร่วมมือกับบุญถาวร เพื่อเสริมศักยภาพการให้บริการในสินค้ากลุ่มตกแต่ง การปรับปรุงบ้าน การบริหาร Supply Chain และการขยายธุรกิจไปในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงร่วมกับเครือข่ายผู้แทนจำหน่ายที่มีความเข้าใจตลาดในแต่ละพื้นที่ เพื่อให้สามารถขยายส่วนแบ่งทางการตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจค้าปลีกและการจัดจำหน่ายมียอดขายเติบโตขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน   

นอกจากนี้ ธุรกิจยังมุ่งขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน ด้วยการรับซื้อวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร เช่น ฟางข้าว ใบอ้อย ซังข้าวโพด ฯลฯ มาบีบอัดและนำมาใช้เป็นเชื้อเพลิงทดแทนในการผลิตปูนซีเมนต์ ช่วยลดปัญหาฝุ่น PM2.5 การปล่อยก๊าซเรือนกระจก การนำเข้าเชื้อเพลิงฟอสซิลจากต่างประเทศ และเพิ่มรายได้ให้เกษตรกร ในส่วนของโรงงานปูนซีเมนต์ Mawlamyine Cement Limited (MCL) ที่เมียนมา ได้หยุดการผลิตปูนซีเมนต์ชั่วคราว เนื่องจากอยู่ระหว่างการเจรจาเพื่อยุติข้อพิพาทกับหุ้นส่วนท้องถิ่นเกี่ยวกับการจัดหาวัตถุดิบ ซึ่งแทบจะไม่มีผลกระทบต่อสถานะทางเงินและการดำเนินธุรกิจของเอสซีจี

ขณะที่ ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ยังคงแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2563 SCGP ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ด้วยราคาเสนอขายสุดท้ายหุ้น IPO ที่ 35.00 บาทต่อหุ้น นับเป็นก้าวสำคัญของ SCGP ที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจจากการมีฐานะการเงินที่เข้มแข็งขึ้น เพื่อรองรับแผนงานการขยายธุรกิจต่อไปในอนาคต ขณะเดียวกัน กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเข้าซื้อ Bien Hoa Packaging Joint Stock Company หรือ SOVI ในเวียดนาม คาดว่าการทำธุรกรรมจะแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้  ซึ่งจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งและสร้างความสามารถในการแข่งขันให้ธุรกิจครอบคลุมทั้งภูมิภาคอาเซียน  รวมถึงตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างครบวงจร นอกจากนี้ ธุรกิจก็มุ่งพัฒนาบรรจุภัณฑ์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน เช่น บรรจุภัณฑ์แบบอ่อนตัว OptiSorb-X ที่ช่วยคงคุณภาพของสินค้า และยืดอายุการเก็บสินค้าให้ยาวนานขึ้น

ทั้งนี้ เอสซีจี และพันธมิตรได้ร่วมกันจัดงาน งาน SD Symposium 2020 Circular Economy: Action for Sustainable Future เพื่อขับเคลื่อนหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์และคุ้มค่าสูงสุดใน 4 ด้าน 1.) ใช้น้ำหมุนเวียน 2.) เทคโนโลยีเพิ่มผลผลิตการเกษตร 3.) การจัดการขยะ และ 4.) อุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งจะมีการนำเสนอแนวทางปฏิบัติที่เป็นรูปธรรมในวันจันทร์ที่ 9 พฤศจิกายน 2563 เวลา 13.30-15.30 น. ในรูปแบบ Online Symposium ที่ www.sdsymposium2020.com


Tags : เอสซีจี ผลประกอบการไตรมาส3/2563 รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

  นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เห็นชอบให้ธนาคารออมสินจัดทำมาตรการแก้ไขหนี้รายย่อยในโครงการของรัฐบาลที่ออกมาช่วยประชาชนในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของ COVID-19 เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อรายย่อยไม่มีหลักประกัน ที่มีสถานะหนี้เสีย (NPLs) จำนวนรวมกว่า 500,000 บัญชี ให้สามารถหลุดพ้นจากประวัติหนี้เสีย โดยธนาคารจะดำเนินการทันทีเพื่อที่ในอนาคตลูกหนี้จะมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้เร็วขึ้นเมื่อมีความจำเป็น โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ดำเนินการปิดบัญชีหนี้ ตัดหนี้สูญ และไม่ติดตามหนี้ ของลูกหนี้ NPLs จำนวนกว่า 200,000 บัญชี ในโครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐที่ได้รับงบประมาณชดเชยแล้ว ระยะที่ 2 ธนาคารจะทยอยดำเนินการปิดบัญชีหนี้แก่ลูกหนี้ NPLs โครงการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 จำนวนกว่า 300,000 บัญชี ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2568 ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยสำหรับมาตรการปลดหนี้สินเชื่อตามโครงการของรัฐบาลที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้แล้วเป็นจำนวนกว่า 1.3 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้รวมกว่า 11,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้รายย่อย และช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางให้สามารถประคับประคองสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวให้เดินต่อได้ มุ่งเน้นดำเนินการเพียงครั้งเดียวเพื่อไม่ให้ลูกหนี้ต้องเสียวินัยทางการเงิน และยังสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้อีกในอนาคต  

07 Jul 2025

...

    สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้ปรับปรุงแนวทางการคำนวณสำรองเบี้ยประกันภัยสำหรับสัญญาประกันภัยระยะสั้น พร้อมทั้งทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนด้านความเสี่ยง เพื่อยกระดับความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันภัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยมุ่งเน้นการพิจารณาข้อมูลในระดับประเภทการรับประกันภัยแทนการพิจารณาภาพรวมทั้งบริษัท เพื่อให้การประเมินภาระผูกพันและการจัดสรรเงินกองทุนมีความละเอียด แม่นยำ และสอดคล้องกับลักษณะความเสี่ยงที่แท้จริงยิ่งขึ้น โดยระหว่างวันที่ 6-21 มีนาคม 2568 สำนักงาน คปภ. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจและผู้เกี่ยวข้อง และจัดการประชุมชี้แจงไปเมื่อวันที่ 10-11 มีนาคม 2568 รวมทั้งได้จัดการประชุมกลุ่มย่อยเชิงเทคนิค (Focus Group) เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 เพื่อรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ทั้งนี้ ในการประชุมฯ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงประกาศที่เกี่ยวข้องกับสำรองเบี้ยประกันภัย ได้แก่ 1. ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการส่งรายงานประจำปีการคำนวณความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย 2. ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการส่งรายงานประจำปีการคำนวณความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันชีวิต และ 3. ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดประเภทและชนิดของเงินกองทุน รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการคำนวณเงินกองทุนของบริษัทประกันวินาศภัย สำหรับหลักการที่ได้มีการปรับปรุง คือ ปรับปรุงวิธีการคำนวณสำรองเบี้ยประกันภัย และเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงจากสำรองเบี้ยประกันภัย จากเดิม พิจารณาที่ระดับผลรวมทั้งหมดของสัญญาประกันภัยระยะสั้น เปลี่ยนเป็น พิจารณาที่ระดับประเภทการรับประกันภัย  ซึ่งสำนักงาน คปภ. จะเผยแพร่ประกาศอย่างเป็นทางการในลำดับถัดไป เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตามกำหนดในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ดังนั้น บริษัทประกันภัยและผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรเตรียมความพร้อมในการดำเนินการ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ใหม่ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่วันเริ่มมีผลบังคับใช้

07 Jul 2025

...

  ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank  ร่วมงาน “มหกรรมการเงินหาดใหญ่” ครั้งที่ 15 (MONEY EXPO 2025 HATYAI) ระหว่างวันที่ 4-6 กรกฎาคม 2568 ณ บูธ F3 หาดใหญ่ฮอลล์ ชั้น 5 เซ็นทรัล หาดใหญ่ จ.สงขลา ยกขบวนผลิตภัณฑ์สินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทุกความต้องการผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไฮไลท์ คือ สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท ครอบคลุมทุกกลุ่มและทุกความต้องการเอสเอ็มอีไทย ควบคู่บริการพัฒนาธุรกิจ ผ่านแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” (dx.smebank.co.th)   ช่วยเสริมศักยภาพกิจการ ครบถ้วนในจุดเดียว ห้ามพลาด! พิเศษเฉพาะภายในงาน เมื่อยื่นขอสินเชื่อ และได้รับอนุมัติทุกวงเงิน รับโปรโมชันเสริมอีก 2 ต่อ ได้แก่ ต่อที่ 1 : ลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์สินเชื่อ (Front End Fee) สูงสุด 0.25% และต่อที่ 2 : รับบัตรกำนัล มูลค่า 500 บาท พร้อมเล่นเกม ลุ้นรับของที่ระลึกมากมาย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

03 Jul 2025

...

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารประสบความสำเร็จได้รับรางวัลระดับเอเชีย Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2025 สาขา Social Empowerment จาก MyMo Secure Plus นวัตกรรมความปลอดภัยบน Mobile Banking ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์ให้ลูกค้า บูรณาการร่วมกับ แคมเปญเตือนภัยมิจฉาชีพ เพื่อสื่อสารสร้างการรับรู้และเสริมภูมิคุ้มกันภัยทางการเงิน พร้อมกันนี้ ธนาคารออมสินยังได้รับรางวัลเกียรติคุณ Silver Emblem of Sustainability ในฐานะองค์กรที่มีความโดดเด่นและมุ่งมั่นในการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติจนได้รับรางวัล AREA มาแล้ว 5 ปี จาก Enterprise Asia องค์กรพัฒนาเอกชนชั้นนำที่ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการที่มีความรับผิดชอบในเอเชีย เพื่อเชิดชูและให้เกียรติองค์กรธุรกิจที่มีการดำเนินงานตามแนวทาง ESG และเป็นต้นแบบองค์กรชั้นนำในภูมิภาคเอเชียที่ขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ     ธนาคารออมสินถือเป็นธนาคารแรกที่พัฒนาโหมดปลอดมิจฉาชีพ ภายใต้ชื่อ MyMo Secure Plus เพื่อช่วยดูแลเงินฝากขั้นสูงสุดให้กับลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มที่ไม่รู้เท่าทันมิจฉาชีพที่เปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงตลอดเวลา ออกแบบโดยเน้นการทำธุรกรรมทางการเงินแบบจำกัดเฉพาะรายการที่จำเป็น อาทิ การโอนเงินไปยังบัญชีตนเองภายในธนาคารและต่างธนาคารที่ลงทะเบียนไว้ และการจำกัดวงเงินในการทำธุรกรรมต่อวัน ทั้งนี้ ธนาคารออมสินไม่เพียงพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นธนาคารแรกที่ดำเนินกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ (IMC) ผ่าน แคมเปญเตือนภัยมิจฉาชีพ ดำเนินการอย่างเข้มข้นผ่านช่องทางการสื่อสารที่ครบวงจร ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ สื่อนอกบ้าน หรืออินฟลูเอนเซอร์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางและครอบคลุมมากที่สุด เนื่องจากธนาคารตระหนักดีถึงความสูญเสียของประชาชนและวิกฤตของอาชญากรรมออนไลน์ที่นับวันจะทวีความรุนแรงจนกลายเป็นภัยคุกคามระดับประเทศ จึงเป็นความพยายามของธนาคารในการที่จะกระตุ้นเตือนให้ประชาชนรู้เท่าทันกลลวงและไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพทางการเงิน     รางวัลเกียรติคุณ Silver Emblem of Sustainability และ Social Empowerment ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงบทบาทของธนาคารออมสินในฐานะ Social Bank ที่ไม่เพียงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับการให้บริการลูกค้าเท่านั้น แต่ยังขับเคลื่อนการสร้าง Social Impact เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนช่วยบรรเทาปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ธนาคารยังคงยึดมั่นในหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบตามแนวทาง ESG เพื่อก้าวสู่เป้าหมายความยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม ตลอดจนเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว  

01 Jul 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner