Responsive image

Saturday, 13 Sep 2025

หน้าแรก > BUSINESS-MARKETING-SME / ธุรกิจ - การตลาด - เอสเอ็มอี


“เอสซีจี” เผยผลประกอบการปี’63 ยังแข็งแกร่ง แม้เผชิญวิกฤตโควิด-19 เหตุปรับตัวไว ใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีตอบโจทย์ลูกค้า

Tue 02/02/2564


เอสซีจีเผยผลประกอบการปี 2563 กำไรดีกว่าปีก่อน แม้ต้องเผชิญกับวิกฤตโควิด-19 เป็นผลจากความทุ่มเทเสียสละของพนักงานทุกคนที่ปฏิบัติตามมาตรการรับมือ COVID-19 เชิงรุกอย่างเคร่งครัด ควบคู่กับการปรับตัวเร็ว-ถูกทาง ใช้ดิจิทัลเทคโนโลยี สร้างโอกาสใหม่ๆ ในการส่งมอบนวัตกรรมสินค้า-บริการ โซลูชันครบวงจร ท่ามกลางตลาดที่ท้าทาย จึงช่วยให้สามารถดำเนินธุรกิจได้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันได้ช่วยเหลือสังคมโดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการแพร่ระบาดสูง เพื่อให้ก้าวผ่านวิกฤตและเติบโตไปพร้อมกันอย่างยั่งยืน

 

นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า “งบการเงินรวมก่อนตรวจสอบของเอสซีจี ประจำปี 2563 มีรายได้จากการขาย 399,939 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 จากปีก่อน จากราคาและปริมาณขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ลดลง และมีกำไรสำหรับปี 34,144 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 7 จากปีก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในทุกธุรกิจ โดยปี 2563 เอสซีจีมียอดขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA)  126,115 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 32 ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน

สำหรับไตรมาสที่ 4 ปี 2563 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 97,250 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อนจากความต้องการในสินค้าซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างลดลงผลจากปัจจัยตามฤดูกาล และผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 อีกทั้งธุรกิจเคมิคอลส์มีการหยุดซ่อมบำรุงโรงงานมาบตาพุดโอเลฟินส์ (MOC) ในไตรมาสนี้ แม้ว่าการหยุดซ่อมบำรุงนี้ทำได้เสร็จเร็วกว่าแผนที่กำหนดไว้ ทำให้สามารถชดเชยปริมาณขายที่จะลดลงไปได้บางส่วน แต่ก็ยังส่งผลให้ปริมาณขายของธุรกิจเคมิคอลส์ลดลงในไตรมาสนี้ และลดลงร้อยละ 8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากปริมาณขายของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ลดลง ผลจากการหยุดซ่อมบำรุงโรงงาน MOC ประกอบกับรายได้จากการขายของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างลดลง เนื่องจากได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19

เอสซีจีมีกำไรสำหรับงวด 8,048 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากผลการดำเนินงานที่ลดลง ของธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์แพร่ระบาดของ COVID-19  รวมถึงปัญหาฝนตกและน้ำท่วมในภูมิภาค ประกอบกับมีขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ของธุรกิจซีเมนต์ในประเทศเมียนมาและอินโดนีเซีย แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนใหญ่จากผลการดำเนินงานของธุรกิจเคมิคอลส์ที่ดีขึ้น ปัจจัยหลักมาจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง

นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในปี 2563 ทั้งสิ้น 168,719 ล้านบาท โดยคิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 42 ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 41 ในปีก่อน  

สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 มีมูลค่า 749,381 ล้านบาท โดยร้อยละ 38  เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน

ผลการดำเนินงานในปี 2563 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้

ธุรกิจเคมิคอลส์ ในปี 2563 มีรายได้จากการขาย 146,870 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 17 จากปีก่อน จากราคาและปริมาณขายสินค้าที่ลดลง โดยมีกำไรสำหรับปี 17,667 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 14 จากปีก่อน ผลจากส่วนต่างราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2563 ธุรกิจเคมิคอลส์มีรายได้จากการขาย 36,035 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5 จากไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายที่ลดลงจากการหยุดซ่อมบำรุงครั้งใหญ่ของโรงงาน MOC ที่เลื่อนมาจากแผนเดิมในไตรมาส 2 โดยมีกำไรสำหรับงวด 5,837 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นร้อยละ 108 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาวัตถุดิบที่ลดลงและมีกำไรจากการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในปี 2563 มีรายได้จากการขาย 171,720 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 7 จากปีก่อน เนื่องจากผลของสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 และสภาพเศรษฐกิจที่ยังคงมีความท้าทาย โดยมีกำไรสำหรับปี 6,422 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากปีก่อน เป็นผลมาจากการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิตอย่างต่อเนื่องและต้นทุนการผลิตที่ลดลง

ขณะที่ไตรมาสที่ 4 ปี 2563 ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างมีรายได้จากการขาย 40,284 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 6 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และลดลงร้อยละ 11 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัว ซึ่งเป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ระลอกใหม่ ปัญหาฝนตกและน้ำท่วมหนักในประเทศในช่วงเดือนตุลาคม ทำให้ไม่สามารถจัดส่งสินค้าได้ ประกอบกับประเทศเวียดนามและกัมพูชาเผชิญกับฝนตกหนักจากพายุฝนที่รุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อยอดขาย โดยมีขาดทุนสำหรับงวด 194 ล้านบาท สาเหตุหลักจากรับรู้ขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ในประเทศเมียนมาและอินโดนีเซีย เป็นจำนวน 1,316 ล้านบาท และหากไม่รวมรายการขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์ดังกล่าว จะมีกำไรสำหรับงวดเป็นจำนวนเงิน
1,122 ล้านบาท

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ในปี 2563 มีรายได้จากการขาย 92,786 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากปีก่อน มีกำไรสำหรับปี 6,457 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23 จากปีก่อน เนื่องจากการที่บริษัทมีลูกค้าอยู่ในหลากหลายอุตสาหกรรมโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีความจำเป็นในชีวิตประจำวัน อาหารและเครื่องดื่ม สินค้าเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพอนามัยการซื้อสินค้าผ่านระบบอีคอมเมิร์ซ รวมถึงปริมาณการขายสินค้าของบริษัทในกลุ่มดังกล่าวเติบโตขึ้นเช่นกัน จากกลยุทธ์การมอบโซลูชันเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า การออกแบบผลิตภัณฑ์ที่มีความสวยงามและมีนวัตกรรมและการสร้างประโยชน์จากการผนึกพลัง (Synergy) ในประเทศไทยและประเทศอินโดนีเซีย

สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2563 ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีรายได้จากการขาย 23,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 1,486 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สำหรับผลประกอบการไตรมาสที่ 4 ปี 2563 ธุรกิจแพคเกจจิ้งมีรายได้จากการขาย 23,596 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสุทธิสำหรับงวด 1,486 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 11 จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายรุ่งโรจน์กล่าวว่า “ผลประกอบการของปี 2563 ยังแข็งแกร่งท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบาก เป็นผลมาจากความร่วมแรงร่วมใจของพนักงานเอสซีจีทุกคนที่ให้ความสำคัญเรื่องความปลอดภัยและปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 อย่างเข้มงวด เพื่อช่วยให้ธุรกิจดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันก็ปรับเปลี่ยนกลยุทธ์และรูปแบบการทำงานได้รวดเร็ว ทั้งการปรับแผนการดำเนินธุรกิจ ปรับสัดส่วนการขาย พัฒนาช่องทาง Active Omni-Channel ให้สอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้เอสซีจีสามารถส่งมอบนวัตกรรมสินค้า บริการ พร้อมโซลูชันต่าง ๆ
ครบวงจร ตอบโจทย์ตลาดได้อย่างรวดเร็ว โดยพนักงานยังคงปฏิบัติงานตามแนวทาง Hybrid Workplace ที่ส่งเสริมให้สามารถปฏิบัติงานที่บ้าน และใช้ดิจิทัลเทคโนโลยีติดต่อกับคู่ธุรกิจ และให้บริการแก่ลูกค้า ส่วนพนักงานที่อยู่ในสายการผลิต-ซ่อมบำรุง ก็ปฏิบัติตามมาตรการ “ไข่แดง ไข่ขาว” เพื่อไม่ให้สัมผัสกับกลุ่มพนักงานทั่วไป รวมถึงพนักงานที่ปฏิบัติงานในต่างประเทศก็ยังคงปฏิบัติงานเพื่อดูแลการผลิตให้ดำเนินไปได้อย่างต่อเนื่อง ด้านพนักงานที่ต้องติดต่อกับลูกค้าได้ยกระดับมาตรฐานการให้บริการ เพื่อให้ลูกค้ามั่นใจในความปลอดภัย ผมเชื่อมั่นว่า ด้วยแนวปฏิบัตินี้และความมุ่งมั่นของพนักงานทุกคน จะทำให้เอสซีจีก้าวผ่านความไม่แน่นอนในสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่นี้ไปได้อีกครั้ง

ด้านธุรกิจเคมิคอลส์ ยังคงดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ จากการบริหารความต่อเนื่องของธุรกิจด้วยมาตรการที่เข้มแข็ง และการปรับสัดส่วนการขาย โดยเพิ่มการขายเม็ดพลาสติกสำหรับกลุ่มสินค้าที่จำเป็นต่อการอุปโภคบริโภคซึ่งยังคงมีความต้องการสูง เช่น บรรจุภัณฑ์อาหาร-เครื่องดื่ม และการขนส่งอีคอมเมิร์ซ เป็นต้น ตลอดจนเพิ่มการขายไปยังตลาดในประเทศที่ได้รับผลกระทบน้อยจากมาตรการปิดประเทศ โดยธุรกิจได้ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล เช่น การพัฒนา Digital Commerce Platform เชื่อมต่อคำสั่งซื้อของลูกค้าเข้ากับการบริหารจัดการสินค้า เพิ่มความคล่องตัวและลดเวลาการทำงาน โดยลูกค้าสามารถติดตามสถานะคำสั่งซื้อได้ตลอดเวลา

นอกจากนี้ ธุรกิจยังขยายผล-ต่อยอดธุรกิจปลายน้ำและกลุ่มธุรกิจใหม่ เพื่อเพิ่มความแตกต่างด้านผลิตภัณฑ์ และความยืดหยุ่นให้กับธุรกิจ เช่น เร่งพัฒนาโซลูชันด้านเศรษฐกิจหมุนเวียน ทั้งการผลิตเม็ดพลาสติกจากขยะชุมชน (Post-consumer Recycled Resin) และการก่อสร้างโรงงานสาธิตกระบวนการรีไซเคิลทางเคมี (Chemical Recycling) ตลอดจนพัฒนาองค์ความรู้และร่วมมือกับคู่ธุรกิจระดับโลก เพื่อขยายผลการทำ Digital Manufacturing ให้เป็นธุรกิจที่ให้บริการโซลูชันด้านอุตสาหกรรม (Industrial Solutions) ในส่วนของโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนามคืบหน้าตามแผนร้อยละ 66 และโครงการ MOC Debottleneck มีความคืบหน้าตามแผน โดยดำเนินโครงการไปแล้วกว่าร้อยละ 99 ซึ่งจะมีกำลังการผลิตโอเลฟินส์เพิ่มขึ้น 350,000 ตันต่อปี

ส่วนธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ยังคงดำเนินธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ จากการปรับแผนการดำเนินธุรกิจและโมเดลธุรกิจให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความสำคัญด้านสุขอนามัย และเน้นการซื้อสินค้าผ่านทางช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยเร่งลงทุนใน Active Omni-Channel ได้แก่ SCG HOME Online, NocNoc และ Q-Chang ขณะเดียวกันยังคงนำเสนอสินค้าและบริการพร้อมโซลูชันครบวงจร เพื่อมุ่งสู่การเป็นผู้นำตลาดวัสดุก่อสร้างในไทยและภูมิภาคอาเซียน โดยให้บริการครอบคลุมทั้งโซลูชันเพื่อการก่อสร้างและการอยู่อาศัย รวมถึงโซลูชันเพื่อช่วยป้องกันโควิด-19 เช่น Medical Solution by CPAC BIM ที่นำเทคโนโลยี Building Information Modeling มาช่วยวางแผน ออกแบบ และสร้างห้องแยกและควบคุมเชื้อสำหรับใช้ทางการแพทย์ ผสานเทคโนโลยีระบายอากาศความดันลบและความดันบวกมาใช้ ช่วยสร้างความมั่นใจในความปลอดภัย สร้างได้รวดเร็ว และควบคุมงบประมาณได้ โดยดำเนินการแล้วที่โรงพยาบาลสระบุรี และวชิรพยาบาล

นอกจากนี้ ธุรกิจได้นำเสนอนวัตกรรมสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคที่เน้นสุขอนามัยเป็นพิเศษ เช่น สุขภัณฑ์และก๊อกน้ำอัตโนมัติ Smart Touchless ลดการสัมผัส นวัตกรรมกระเบื้อง Hygienic Tile จาก COTTO ที่ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียภายในบ้าน เช่นเดียวกับ สมาร์ทบอร์ด เอสซีจี รุ่นอัลตรา คลีน ที่ใช้เทคโนโลยีที่ช่วยให้ทำความสะอาดได้ง่าย เช็ดฆ่าเชื้อโรคได้ด้วยแอลกอฮอล์ได้บ่อยโดยที่ไม่เสื่อมสภาพ ทนเชื้อราและรังสี UV เหมาะสำหรับทำเป็นผนังในโรงพยาบาล เฮลธ์แคร์ เนอร์สซิ่งโฮม หรือคลินิกทันตกรรม ขณะที่ระบบหลังคาโซลาร์จาก  เอสซีจี ช่วยประหยัดค่าไฟให้กับเจ้าของบ้าน มียอดขายเติบโตขึ้นร้อยละ 182 เมื่อเทียบกับปีก่อน จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ใช้เวลาอยู่บ้านมากขึ้น

ขณะที่ ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ยังคงเติบโตอย่างมีเสถียรภาพ จากการออกแบบโมเดลธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงสร้างความร่วมมือกับผู้ประกอบการในต่างประเทศ เพื่อขยายธุรกิจ โดยมุ่งขยายฐานลูกค้าในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีศักยภาพเติบโตสูง ล่าสุดได้เข้าถือหุ้นใน Bien Hoa Packaging Joint Stock Company (SOVI) ช่วยเสริมความแข็งแกร่งกับธุรกิจบรรจุภัณฑ์ต้นน้ำในประเทศเวียดนาม และการเข้าถือหุ้นใน Go-Pak UK Limited (Go-Pak) ผู้นำในการให้บริการโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์อาหารในสหราชอาณาจักร ยุโรป และอเมริกาเหนือ ที่มีฐานการผลิตอยู่ทางตอนใต้ของเวียดนาม ช่วยเพิ่มศักยภาพการขยายตลาดบรรจุภัณฑ์อาหาร

นอกจากนี้ จากสถานการณ์โควิด-19 ธุรกิจได้ให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อมาตรการการรักษาสุขอนามัยอย่างเข้มงวด เพื่อความปลอดภัยของสินค้า พนักงาน ตลอดจนลูกค้าและคู่ธุรกิจ

ธุรกิจยังพัฒนานวัตกรรมโซลูชันด้านบรรจุภัณฑ์ โดยได้เปิด SCGP-Inspired Solutions Studio เพื่อเพิ่มประสบการณ์ให้แก่ลูกค้าได้สัมผัสกับโซลูชันการออกแบบบรรจุภัณฑ์ต่าง ๆ  พร้อมกับพัฒนาบรรจุภัณฑ์ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน อาทิ R-1 ซึ่งเป็นนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์แบบอ่อนตัว (Flexible Packaging) ผลิตจากฟิล์มประกบหลายชั้น ช่วยปกป้องสินค้าและทนทานแรงกระแทกได้ดี สามารถนำกลับมารีไซเคิลเป็นเม็ดพลาสติกและวัสดุอื่น ๆ ได้อย่างมีคุณภาพ โดยได้ร่วมกับกลุ่มบริษัท ดาว (ประเทศไทย) และข้าวตราฉัตร พัฒนานวัตกรรมถุงข้าวรักษ์โลกที่สามารถนำมา
รีไซเคิลได้ 100%

สำหรับการช่วยเหลือสังคมจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ระลอกใหม่ บริษัท สยามซานิทารีแวร์ อินดัสทรี จำกัด ได้นำห้องน้ำสำเร็จรูป (Bathroom Mobile Unit) นวัตกรรมโซลูชันจากเอสซีจีซึ่งออกแบบและผลิตแบบเบ็ดเสร็จพร้อมใช้งานจากโรงงาน จำนวน 5 ห้อง ไปติดตั้งให้แก่ศูนย์ห่วงใยคนสาคร จังหวัดสมุทรสาคร โดยมูลนิธิเอสซีจีสนับสนุนเพิ่มอีกจำนวน 32 ห้อง เพื่ออำนวยความสะดวกและบรรเทาความเดือดร้อนในระยะเร่งด่วนให้บุคลากรทางการแพทย์ ชาวไทยและชาวเมียนมากว่า 1,600 คน นอกจากนี้ มูลนิธิเอสซีจีได้ช่วยกระจายนวัตกรรมป้องกันโควิด-19 ไปยังพื้นที่ที่ขาดแคลนอุปกรณ์ทางการแพทย์และมีการแพร่ระบาดสูง เช่น ห้องแยกป้องกันเชื้อความดันบวก-ลบแบบเคลื่อนที่ สำหรับปฏิบัติการในห้องฉุกเฉินและห้องไอซียู เครื่อง Thermo Scan สำหรับอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) ฯลฯ รวมถึงทุนช่วยเหลือชาวเมียนมาผ่านจังหวัดสมุทรสาคร รวมมูลค่ากว่า 6,000,000 บาท

อนึ่ง คณะกรรมการบริษัท ได้มีมติให้เสนอที่ประชุมผู้ถือหุ้นเพื่ออนุมัติจ่ายเงินปันผลประจำปี 2563 ในอัตราหุ้นละ 14.0 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 16,800 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 49 ของกำไรสำหรับปีตามงบการเงินรวม ทั้งนี้ บริษัทได้จ่ายเป็นเงินปันผลระหว่างกาลงวดครึ่งปีแรกไปแล้วในอัตราหุ้นละ 5.5 บาท เป็นเงิน 6,600 ล้านบาท เมื่อวันศุกร์ที่ 28 สิงหาคม 2563 และจะจ่ายเงินปันผลงวดสุดท้ายในอัตราหุ้นละ 8.5 บาท รวมเป็นเงินประมาณ 10,200 ล้านบาท

ทั้งนี้ การจ่ายเงินปันผลดังกล่าวให้จ่ายแก่ผู้ถือหุ้นเฉพาะผู้มีสิทธิได้รับเงินปันผลตามข้อบังคับของบริษัท ตามที่ปรากฏรายชื่อ ณ วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันศุกร์ที่ 9 เมษายน 2564 (จะขึ้นเครื่องหมาย XD หรือวันที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผลในวันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน 2564 โดยมีกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันศุกร์ที่ 23 เมษายน 2564 และให้รับเงินปันผลภายใน 10 ปี”


Tags : เอสซีจี รุ่งโรจน์รังสิโยภาส เอสซีจีเผยผลประกอบการปี2563 โควิด-19


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank โดยนายเขมชาติ อภิรัชตานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ  พร้อมผู้บริหาร และพนักงานธนาคาร เป็นตัวแทนเข้ารับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2568  จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภทเปิดใจใกล้ชิดประชาชน ระดับดี จากโครงการ “Smart SME : นวัตกรรมเพื่อผู้ประกอบการ SMEs สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน”  จากการดำเนินงานโดดเด่นตลอดปี 2567 ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มาสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้เข้าถึงบริการ “พัฒนาคู่เติมทุน” ช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ผลักดันธุรกิจเติบโต สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และวางรากฐานสู่ความยั่งยืน  เช่น มีแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank  เติมเต็มความรู้ครบวงจรได้ตลอด 24 ชม.  มีกระบวนการรับฟังเสียง เช่น  VOCs , Chatbot , Social Listening และระบบการจัดการความรู้ (KM Platform) บน Microsoft SharePoint เพื่อจัดเก็บและเผยแพร่องค์ความรู้ภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการเสริมสร้างวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Culture) ให้เกิดขึ้นในทุกระดับขององค์กร ผ่านกิจกรรมส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และการสื่อสารอย่างเป็นระบบ พร้อมขับเคลื่อนองค์กรภายใต้หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) มุ่งเน้นความโปร่งใส การมีส่วนร่วม และความรับผิดชอบ   สำหรับรางวัลเลิศรัฐ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อมอบรางวัลให้กับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่มีความโดดเด่น ในการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการ การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมและการบริหารจัดการภาครัฐเพื่อให้ภาครัฐพัฒนาไปสู่ความทันสมัย สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อระบบราชการและส่งผลให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีและเกิดความเชื่อมั่นในระบบราชการ  โดยปีนี้ (2568) ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ กรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ เป็นประธานในพิธีและมอบรางวัล  อีกทั้ง นายไมตรี อินทุสุต ประธานคณะทำงานเสริมสร้างประสิทธิภาพการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ และผู้ทรงคุณวุฒิในคณะทำงานตรวจประเมินรางวัลเลิศรัฐ  สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นผู้ร่วมมอบรางวัล  จัด ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี    

12 Sep 2025

...

ธ.ก.ส. เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง-นาปี กว่า 4.63 ล้านครัวเรือน ได้แก่ โครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 โครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 กรอบวงเงินรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ รวมสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท โอนเงินรอบแรกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป วงเงินรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท เกษตรกรผู้รับประโยชน์กว่า 2.48 ล้านราย พร้อมจัดมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 ได้แก่ สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี    โดยรัฐบาลชำระดอกเบี้ยแทนเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร พร้อมสนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกอีก 1,500 บาทต่อตัน และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 สถาบันฯ ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลและ ธ.ก.ส. รับชำระดอกเบี้ยแทน ตั้งเป้ารองรับปริมาณข้าวเปลือกรวม 4.5 ล้านตัน นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ ลดค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกข้าว รวมถึงสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพของการผลิตข้าว ธ.ก.ส. พร้อมดำเนินงานตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 และที่ประชุมคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 โดยมี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เป็นประธานในที่ประชุม ได้เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริม การเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 จำนวนรวมกว่า 4.63 ล้านครัวเรือน โดยพร้อมสนับสนุนเงินช่วย/เหลือให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปีการผลิต 2568/69 ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับผู้ปลูกข้าวนาปรัง ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2568 จนถึง 31 ธันวาคม 2568 และสำหรับผู้ปลูกข้าวนาปี ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 19 สิงหาคม 2568 – 30 กันยายน 2569 ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบสถานะโอนเงินและจำนวนเงินที่ได้รับได้ทาง https://govtransfer.baac.or.th หรือ Line Official : @baacfamily   สำหรับการโอนเงินให้เกษตรกร ธ.ก.ส. ได้จัดทำแผนการโอนเงินให้แก่เกษตรกรรอบแรก ตามรายชื่อผู้ที่ขึ้นทะเบียนสำเร็จจากกรมส่งเสริมการเกษตร โดยจะเริ่มโอนเงินครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป กรอบวงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท เกษตรกรผู้รับประโยชน์กว่า 2.48 ล้านราย โดยมีรายละเอียดการโอนเงิน ดังนี้ สำหรับโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 ธ.ก.ส. จะดำเนินการโอนเงินไปยังเกษตรกรทั่วประเทศในวันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2568 จำนวนเกษตรกรผู้ได้รับประโยชน์ จำนวน 769,461 ราย  กรอบวงเงินกว่า 6,280 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 ธ.ก.ส. จะดำเนินการโอนเงินแบ่งเป็น 3 รอบตามภูมิภาค ได้แก่  รอบที่ 1 : วันอังคารที่ 2 กันยายน 2568 เกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 286,831 ราย  กรอบวงเงิน 2,459 ล้านบาท รอบที่ 2 : วันพุธที่ 3 กันยายน 2568 เกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 1,291,298 ราย กรอบวงเงิน 10,586 ล้านบาท และรอบที่ 3 : วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน 2568 เกษตรในภูมิภาคอื่น ๆ ที่เหลือ จำนวน 137,478 ราย กรอบวงเงิน 1,254 ล้านบาท ทั้งนี้ ส่วนที่เหลือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะดำเนินการตรวจสอบและยืนยันการผลิตข้าวจากเกษตรกร และหลังจากได้รับการยืนยัน จะดำเนินการส่งข้อมูลให้กับ ธ.ก.ส. เพื่อดำเนินการโอนเงินช่วยเหลือต่อไป   นอกจากนี้ ธ.ก.ส. พร้อมเติมทุนสนับสนุนผ่านมาตรการรักษาเสถียรภาพข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 กรอบวงเงินรวมกว่า 50,000 ล้านบาท ได้แก่ สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท เพื่อป้องกันผลผลิตข้าวเปลือกล้นตลาด รวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางจนกว่าจะถึงช่วงที่ขายได้ราคาดี โดยรัฐบาลชำระดอกเบี้ยแทนเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เกษตรกรกู้ได้รายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตรและชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งละไม่เกิน 300 ล้านบาท กลุ่มเกษตรกรแห่งละไม่เกิน 20 ล้านบาท และวิสาหกิจชุมชนแห่งละไม่เกิน 5 ล้านบาท เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรไม่ต้องชำระดอกเบี้ย เนื่องจากรัฐบาลรับภาระในการชำระดอกเบี้ยแทน ตั้งเป้าหมายรองรับปริมาณข้าวเปลือกจากท้องตลาด 3 ล้านตัน โดยมีประเภทข้าวเปลือกที่เข้าร่วมโครงการ ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิในเขต 23 จังหวัด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด และภาคเหนือ 3 จังหวัด (เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา)  ข้าวเปลือกหอมมะลินอกเขต 23 จังหวัด ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกปทุมธานีและข้าวเปลือกเหนียว นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกให้อีก 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรเก็บข้าวเองได้รับ 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรฝากข้าวกับสถาบันเกษตรกร เกษตรกรจะได้รับ 500 บาทต่อตัน และสถาบันฯ จะได้รับ 1,000 บาทต่อตัน โดยแจ้งความประสงค์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และทำสัญญาภายใน 28 กุมภาพันธ์ 2569 และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้สถาบันเกษตรกรในการรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกร หรือการนำผลผลิตมาแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อจำหน่ายในตลาด โดยสถาบันฯ ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลและ ธ.ก.ส. รับชำระดอกเบี้ยแทน ระยะเวลาดำเนินโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2569 และจ่ายเงินกู้ภายใน 30 กันยายน 2569 โดยทั้ง 2 โครงการ ตั้งเป้ารองรับปริมาณข้าวเปลือกรวม 4.5 ล้านตัน นอกจากนี้ สำหรับเกษตรกรรายย่อยที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล สามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ได้ตามปกติ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555  

04 Sep 2025

...

เอไอเอ ประเทศไทย เปิดตัววิดีโอโฆษณา “AIA Financial Advisor” ชุดใหม่ล่าสุด มุ่งขับเคลื่อนเป้าหมายในการสร้างคนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหาอาชีพที่ให้อิสระด้านเวลา รายได้ และการเติบโต พร้อมกับการมอบโอกาสและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับอาชีพ “ที่ปรึกษาด้านประกันชีวิต การเงิน และสุขภาพ หรือ AIA Financial Advisor (AIA FA)” ให้แก่คนรุ่นใหม่ ซึ่งปัจจุบันนับเป็นอาชีพที่อยู่ในความสนใจของหลายคน ผ่านวิดีโอโฆษณาทั้ง 4 เวอร์ชั่น ที่สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้คอนเซปท์ “เปลี่ยนความโป๊ะให้เป็นความเป๊ะ” ถ่ายทอดเรื่องราวในมุมมองชีวิตจริงของคนยุคดิจิทัล ที่ชอบแชร์หรือโพสต์ Lifestyle บนโลกโซเชียล และอยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ชีวิตจริงกลับตรงกันข้าม ด้วยความเข้าใจในความต้องการของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง เอไอเอ จึงอยากชวนทุกคนมาสร้างอนาคตที่มั่นคงกับอาชีพ AIA FA เพื่อเปลี่ยนให้ความฝันเป็นความจริง ซึ่งยังเป็นการตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจและวิสัยทัศน์ที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของเอไอเอ ด้วยความพร้อมยกระดับตัวแทนสู่การเป็นที่ปรึกษาด้านประกันชีวิต การเงิน และสุขภาพ (AIA FA) มืออาชีพ เพื่อส่งมอบความคุ้มครองและช่วยคนไทยวางแผนชีวิต สุขภาพ และการเงินให้มั่นคงและมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา “Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น”   นางอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการ AIA FA ไม่ได้เป็นเพียงอาชีพที่ให้รายได้ แต่เป็นอาชีพที่ให้โอกาสในการสร้างชีวิตที่เลือกได้ด้วยตัวเอง ด้วยโครงสร้างผลประโยชน์รายได้ที่ชัดเจน มีแผนรับรองรายได้ 12 เดือน มีโบนัส CAB ทำงาน 5 ปี 5 ล้านบาท* ไม่มีเพดานรายได้ และมีรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น ทำให้สามารถจัดสรรเวลาตัวเองได้ พร้อมกับมีเครื่องมือดิจิทัลเฉพาะของเอไอเอที่รองรับการทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ให้คุณค่าในเรื่องการใช้ชีวิตควบคู่ไปกับอิสระด้านรายได้และความมั่นคงในชีวิต อีกทั้งอาชีพนี้ยังตอบโจทย์ความต้องการคนรุ่นใหม่ที่อยากประสบความสำเร็จเร็ว หรืออยากมีธุรกิจของตัวเอง โดยสามาถเติบโตเป็นผู้บริหารหน่วยได้เร็วตามความสามารถ หรือเป็นเจ้าของสำนักงานตัวแทนซึ่งเปรียบเสมือนการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง” นางอลิสา เสริมถึงความพร้อมในการพัฒนาตัวแทนว่า “เอไอเอ เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาที่ปรึกษามืออาชีพ โดยเริ่มจัดตั้งโครงการ AIA FA ตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรก ๆ ในตลาดประเทศไทย อีกทั้งยังมีการเปิดศูนย์ฝึกอบรม AIA FA Center กว่า 15 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความพร้อมในการรองรับและพัฒนา AIA FA ให้ประสบความสำเร็จในอาชีพ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมมานานกว่า 16 ปีของเอไอเอ โดยมีทั้งหลักสูตรที่ได้รับรองโดยสถาบันชั้นนำระดับโลก หรือการร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในการพัฒนาหลักสูตรพิเศษด้านการเงิน (สำหรับ FA Prime) หลักสูตรฝึกอบรมเหล่านี้จะช่วยพัฒนาและเสริมทักษะให้ AIA FA เป็นที่ปรึกษามืออาชีพ มีความรู้ครอบคลุมทั้งมิติด้านการวางแผนประกันชีวิตและด้านการเงิน ยิ่งไปกว่านั้น เรามีการนำเทคโลยีทันสมัยอย่าง AI เข้ามาใช้ในการคัดกรอง วิเคราะจุดอ่อนจุดแข็ง และพัฒนาศักยภาพตัวแทนด้วยวิธี Role Play เป็นลูกค้าเสมือนเพื่อให้ตัวแทนได้ฝึกสนทนากับลูกค้า ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจและยกระดับตัวแทนคุณภาพที่สามารถส่งมอบความคุ้มครองให้คนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในทุกช่วงชีวิต” สำหรับโครงการ AIA FA เปิดรับคนรุ่นใหม่ที่มี วุฒิปริญญาตรีสาขาใดก็ได้ และมองหาอาชีพที่ให้อิสระในการบริหารจัดการเวลาได้ด้วยตัวเอง สามารถสร้างรายได้แบบไร้เพดาน พร้อมโอกาสเติบโตอย่างมืออาชีพ อีกทั้งยังได้ทำงานพร้อมสร้างสมดุลให้กับชีวิต และมีเวลาสำหรับครอบครัว หรือ Passion ของตัวเอง ที่สำคัญโครงการ AIA FA ยังให้ผลตอบแทนพิเศษกับแคมเปญ “โบนัส 5 ปี 5 ล้าน” เพื่อเป็นเป้าหมายความสำเร็จของผู้เข้าร่วมโครงการฯ โดยเอไอเอ อยากเชิญชวนคนรุ่นใหม่ที่สนใจ รับชมวิดีโอโฆษณาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจได้ผ่านช่องทางออนไลน์ของเอไอเอ ทั้ง Facebook, Instagram, YouTube, TikTok และสื่อประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ หรือคลิกลิงก์ https://youtu.be/Ky66staK19Q ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมหรือสมัครเข้าร่วมโครงการ AIA FA ได้ทางเว็บไซต์ www.aia.co.th/FA

03 Sep 2025

...

  สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 51/2568  ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เรื่อง ให้แก้ไขแบบ ข้อความ ของกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า โดยกำหนดให้ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้งของกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จากเดิม 5 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท เป็น 20 ล้านบาท และปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้ง ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ให้มีจำนวนเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท เพื่อรองรับกรณีเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่ที่มีผู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงบ่อยครั้ง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายไพบูลย์ เปี่ยมเมตตา ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย และประธาน คณะทำงานแนวทางพัฒนาการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่บ่อยครั้ง ส่งผลให้จำนวนเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้งของกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งกำหนดไว้เพียง 5 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท ต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้ง รวมถึงกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ที่ส่วนใหญ่กำหนดวงเงินความคุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย และอนามัยของบุคคลภายนอกไว้ที่ 10 ล้านบาทต่อครั้ง ไม่เพียงพอต่อการชดใช้  ค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อคน ที่กำหนดไว้ 500,000 บาท ดังนั้น สำนักงาน คปภ. โดยสายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย จึงได้นำประเด็นดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะทำงานแนวทางพัฒนาการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้ง  สำหรับการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เป็น 20 ล้านบาท โดยไม่มีการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัย และให้ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำต่อครั้ง สำหรับการประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจ เป็น 20 ล้านบาท โดยให้ใช้อัตราเบี้ยประกันภัยเดิมที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุรายใหญ่ ที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงเกิน 20 รายขึ้นไป มีโอกาสได้รับค่าสินไหมทดแทน  เต็มจำนวนเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อคนที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย โดยสาระสำคัญของคำสั่งนายทะเบียนมี ดังนี้ 1. ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) กำหนดวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้งเป็น 20 ล้านบาท สำหรับทุกประเภทรถ โดยไม่เพิ่มเบี้ยประกันภัย และให้มีผลบังคับใช้ทันทีกับทุกกรมธรรม์ ทั้งกรมธรรม์ที่ยังมีผลคุ้มครองและกรมธรรม์ที่ทำสัญญาใหม่ โดยกำหนดให้  บริษัทประกันวินาศภัยต้องใช้แบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัยให้เป็นไปตามคำสั่งนายทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป 2. ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ กำหนดวงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำต่อครั้งในหมวดความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท สำหรับทุกประเภทรถ โดยให้เริ่มมีผลใช้บังคับกับกรมธรรม์ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป “แม้ว่าเมื่อปี 2563 สำนักงาน คปภ. ได้ปรับเพิ่มจำนวนเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับในส่วนของการคุ้มครองต่อคนจาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท แต่ยังคงวงเงินความรับผิดสูงสุดต่อครั้งไม่เกิน 5 ล้านบาทสำหรับรถยนต์นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง และไม่เกิน 10 ล้านบาทสำหรับรถยนต์นั่งเกิน 7 ที่นั่ง ขณะที่กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจได้มีการปรับเพิ่มจำนวนเงินคุ้มครองขั้นต่ำเป็น 500,000 บาทต่อคน แต่ส่วนใหญ่ยังคงกำหนดวงเงินสูงสุดต่อครั้งไว้ที่ 10 ล้านบาท การออกคำสั่งนายทะเบียนในครั้งนี้ จึงนับเป็นการยกระดับความคุ้มครองให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและเพียงพอต่อการดูแลผู้ประสบภัยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เป็นภาระเพิ่มขึ้นต่อผู้เอาประกันภัย เนื่องจากไม่มีการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัยแต่อย่างใด”  ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย กล่าวในตอนท้าย

31 Aug 2025

Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner