Responsive image

Wednesday, 06 Aug 2025

หน้าแรก > INSURANCE / ประกันภัย - ประกันชีวิต


กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต เปิดตัว “ไอลิงค์” แบบประกันไฮบริด ความคุ้มครองที่เหนือกว่า ลงตัวกับชีวิตทุกสไตล์

Sun 11/07/2564


บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ผู้นำธุรกิจประกันชีวิตและสุขภาพ เปิดตัวแบบประกัน “ไอลิงค์” (iLink) แบบประกันไฮบริด (ประกันชีวิตควบการลงทุน หรือ ยูนิตลิงค์) ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ง่าย ครบ จบในกรมธรรม์เดียว ไม่ว่าจะเป็นการวางแผนหลังเกษียณ การวางแผนด้านสุขภาพระยะยาว การวางแผนการศึกษาบุตร หรือ เพื่อส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย และเป้าหมายหลักของบริษัทฯ ในการมีลูกค้ามาเป็นที่หนึ่ง พร้อมอยู่เคียงข้างทุกความเชื่อมั่น ดูแลกันตลอดไป

คุณภควิภา เจริญตรา ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ฝ่ายลูกค้า บริษัท กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “ในปัจจุบันผู้คนมีความตื่นตัวเรื่องการดูแลตนเอง ครอบครัว และการเตรียมความพร้อมทางการเงิน เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดฝัน รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประกันชีวิตควบการลงทุนมากขึ้น โดยเห็นได้จากภาพรวมของธุรกิจประกันชีวิตใน 4 เดือนแรกของปีนี้ ซึ่งผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ได้รับความนิยม และมีการเติบโตสูง คือ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (Investment Linked Product) โดยเบี้ยประกันภัยรับปีแรก ใน 4 เดือนแรกของปี 2564 เติบโตสูงถึงร้อยละ 130* (เทียบกับการเติบโตใน 4 เดือนแรก ของปี 2563) ทั้งนี้เบี้ยประกันภัยรับปีแรกของกรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ก็มีอัตราการเติบโตสูงเช่นเดียวกันโดยเพิ่มขึ้นเกือบร้อยละ 200  ซึ่งสอดรับกับแผนการขยายตัวของบริษัทฯ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์หลักที่มุ่งเน้นการประกันที่ให้ความคุ้มครอง การประกันสุขภาพ และการเพิ่มความมั่งคั่งจากการลงทุน โดยแบบประกัน “ไอลิงค์” (iLink) เป็น แบบประกันไฮบริด ที่ให้ความคุ้มครองที่โดดเด่นและแตกต่างจากประกันชีวิตควบการลงทุนทั่วไปในตลาด ทั้งด้านความคุ้มครอง และผลตอบแทน** ซึ่งแบบประกัน “ไอลิงค์” (iLink) เป็นแบบประกันที่มีความยืดหยุ่น ลูกค้าสามารถเลือก หรือปรับเปลี่ยนความคุ้มครองได้ตามไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ รวมทั้งยังมีส่วนของการลงทุนที่เข้ามา เพิ่มผลประโยชน์ของกรมธรรม์ให้เติบโตตามสินทรัพย์ หรือเงินลงทุนที่ลูกค้าได้เลือกลงทุนไป”

 “แบบประกัน “ไอลิงค์” (iLink) ถูกออกแบบมา เพื่อช่วยวางแผนการเงินระยะยาวที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับเปลี่ยนไปได้ตามจังหวะและสถานการณ์ต่าง ๆ ตลอดช่วงชีวิต และมีจุดเด่น อาทิ

•จำนวนเงินเอาประกันภัยสูงสุด 280 เท่า***

•ให้ผลประโยชน์สูงสุด 3 ต่อ สำหรับกรณีเสียชีวิต ต่อที่ 1 : มูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุน (มูลค่าของหน่วยลงทุนที่บริษัทฯดำเนินการขายหลังได้รับเอกสารครบถ้วน) ต่อที่ 2 : จำนวนเงินเอาประกัน และ ต่อที่ 3 : เงินพิเศษ 5% ของมูลค่ารับซื้อคืนหน่วยลงทุนของเบี้ยประกันภัยหลักเพื่อความคุ้มครอง

•สามารถแนบสัญญาเพิ่มเติมคุ้มครองโรคร้ายแรง (CriticalLink UDR) ที่ให้ความคุ้มครองสูงสุด 200% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย และคุ้มครองยาวๆ ถึงอายุ 85 ปี

•สามารถแนบสัญญาเพิ่มเติมความคุ้มครองทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง (TPDLink UDR) คุ้มครองยาวๆ ถึงอายุ 80 ปี

นอกจากแบบประกัน “ไอลิงค์” (iLink) จะมุ่งเน้นการให้ความคุ้มครองชีวิตที่สูงและหลากหลาย ช่วยลดความเสี่ยงจากการสูญเสียทางการเงินต่างๆ โดยไม่จำกัดแค่กรณีการสูญเสียชีวิตเพียงอย่างเดียว ยังรวมถึงความคุ้มครองที่ลูกค้าสามารถเลือกเพิ่มเติมได้ จากสัญญาเพิ่มเติมแบบชำระค่าการประกันภัยโดยการขายคืนหน่วยลงทุน (Unit Deducting Rider) หรือที่เรียกกันว่าสัญญาเพิ่มเติมแบบ UDR ที่มีทั้งความคุ้มครองโรคร้ายแรง (CriticalLink UDR) และความคุ้มครองทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง (TPDLink UDR) มาช่วยเสริมให้แบบประกัน ไอลิงค์ (iLink) มีความคุ้มครองที่ลงตัว ตอบโจทย์ทุกความต้องการ ทุกไลฟ์สไตล์ พร้อมทั้งสามารถเพิ่มเบี้ยประกันภัยเพื่อการลงทุนเพิ่มเติมพิเศษได้ตั้งแต่วันแรกที่ทำประกัน เพื่อช่วยในการวางแผนและการบริหารทางการเงินอย่างยั่งยืน

สำหรับลูกค้าที่สนใจ “แบบประกัน “ไอลิงค์” (iLink) สามารถซื้อผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้แล้ววันนี้ ที่ตัวแทนของบริษัทฯ สำนักงานตัวแทนทั่วประเทศ และที่ธนาคารกรุงไทย ทุกสาขา หรือ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมที่ ศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร. 1159 ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง หรือ https://www.krungthai-axa.co.th/th/ilink-udr     

Link VDO: https://youtu.be/1788eXtg-Pc


Tags : กรุงไทย-แอกซ่า ประกันชีวิต ภควิภา เจริญตรา แบบประกัน “ไอลิงค์” (iLink)


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

SME D Bank ห่วงใยประชาชน และเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม สอดคล้องนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และ ธปท. ได้แก่ พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย  สูงสุด 12 เดือน ควบคู่เติมทุนฉุกเฉิน เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูกิจการ  ครอบคลุมพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สระแก้ว จันทบุรี และตราด นอกจากนั้น เปิดสายด่วน 1357 รับแจ้งขอความช่วยเหลือทันท่วงที พร้อมเปิดรับบริจาคสิ่งของนำไปมอบให้แก่ผู้ประสบภัยและทหารหาญ    นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ  ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์ความไม่สงบจากเหตุปะทะตามแนวพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน รวมถึง การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทั้งทางตรงและทางอ้อม SME D Bank มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม หลังจากมีมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนเบื้องต้นไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ต้องการให้สถาบันการของรัฐเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา   สำหรับมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมดังกล่าว  ครอบคลุมความช่วยเหลือในพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สระแก้ว จันทบุรี และตราด มุ่งเน้นช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ลดภาระทางการเงิน สามารถประคับประคองธุรกิจ  ก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ด้วยดี และฟื้นฟูกิจการได้โดยเร็ววัน  ได้แก่  มาตรการ “พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย” สำหรับลูกค้าธนาคารที่ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อม   ด้วยการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย สำหรับกลุ่มเงินกู้ยืมแบบมีระยะเวลา (Term loan) สูงสุดไม่เกิน 12 เดือน สัญญาเบิกเงินทุนหมุนเวียนประเภทตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) และสินเชื่อแฟคตอริ่ง ขยายระยะเวลาชำระตั๋วสัญญาใช้เงินออกไปอีกสูงสุด 180 วัน และสามารถพักชำระดอกเบี้ยได้   มาตรการ “เติมทุนฉุกเฉิน เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูกิจการ” สำหรับลูกค้าเดิมได้รับผลกระทบทางตรง เพื่อให้มีวงเงินกู้ฉุกเฉิน นำไปฟื้นฟูธุรกิจเฉพาะหน้า วงเงินกู้ 10% ของวงเงินเดิม ขั้นต่ำ 30,000 บาท ถึงสูงสุด 200,000 บาท (บุคคลธรรมดา สูงสุด 100,000 บาท และนิติบุคคล สูงสุด 200,000 บาท)  อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี ระยะเวลากู้ 3 ปี ปลอดชำระเงินต้น 12 เดือน ไม่ต้องมีหลักประกัน ยกเว้นค่าธรรมเนียม ลดกระบวนการนำส่งเอกสารในการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางตรงเป็นการเร่งด่วน อีกทั้ง ธนาคารยังมีสินเชื่อช่วยเหลือเพิ่มเติม สำหรับเสริมสภาพคล่อง  ลงทุน ยกระดับธุรกิจ ภายหลังสถานการณ์คลี่คลาย อัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท ได้แก่ 1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” 2.สินเชื่อ “ปลุกพลัง SME” และ 3.สินเชื่อ “Beyond ติดปีก SME”   นอกจากนั้น SME D Bank  ยังเปิดศูนย์รับแจ้งขอความช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับประชาชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึง สาธารณภัยต่างๆ  ผ่าน Call Center 1357 และเปิดศูนย์รับบริจาคอาหาร ของใช้ ยารักษาโรค หรือสมทบทุน  เพื่อนำไปมอบให้แก่ประชาชน ทหาร และผู้ปฏิบัติหน้าที่ ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมาไปจนถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568 นี้  ณ หน้าสำนักงานใหญ่ SME D Bank อาคาร SME Bank Tower   ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการเข้ารับมาตรการต่าง ๆ สามารถแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของธนาคาร เช่น สาขา SME D Bank ทุกแห่งทั่วประเทศ ,  LINE Official Account : SME Development Bank , เว็บไซต์  www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

03 Aug 2025

...

บอร์ด ธ.ก.ส. มีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือครอบครัวทหาร และ ตชด. วีรบุรุษผู้เสียสละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา ที่บิดา - มารดา หรือคู่สมรสเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. โดยยกหนี้ในส่วนของต้นเงินกู้ทุกสัญญา และยกหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยทั้งจำนวน ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เพื่อให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์ลูกหนี้ และลดภาระให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างมั่นคง นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา อันส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ของเกษตรกรลูกค้าของธนาคาร โดยมีทั้งทหารและประชาชนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ตลอดจนที่อยู่อาศัยรวมถึงพื้นที่ทำกินได้รับความเสียหาย และเพื่อให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์ลูกหนี้  และลดภาระให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างมั่นคง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ กรณีบุตร คู่สมรส ของลูกค้า ธ.ก.ส. ที่เป็นทหาร หรือ ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา โดยธนาคารจะยกหนี้ในส่วนของต้นเงินกู้ทุกสัญญา และยกหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยค้างรับและดอกเบี้ยปรับทั้งจำนวน ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เป็นกรณีพิเศษ ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ขอแสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา คนข้างหลังไม่ต้องกังวล ธ.ก.ส. อยู่เคียงข้างและพร้อมก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555 ตลอด 24 ชั่วโมง  

01 Aug 2025

...

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา รวมถึงเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศที่ยังคงรุนแรงและส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของประชาชนจำนวนมาก ธนาคารออมสินจึงเร่งออกมาตรการ “พักหนี้อัตโนมัติ ไม่คิดดอกเบี้ย” เพื่อช่วยบรรเทาภาระของลูกค้าธนาคารที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งมีอยู่จำนวนกว่า 40,000 บัญชี คิดเป็นเงินต้นกว่า 9,000 ล้านบาท มาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย นาน 3 เดือน – ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น ธนาคารยกให้ ไม่ต้องจ่ายคืน! ครอบคลุมลูกหนี้สินเชื่อทุกกลุ่ม (ยกเว้นบางประเภทตามเงื่อนไข*) โดยมีหลักเกณฑ์สำคัญ คือ พักชำระหนี้อัตโนมัติ ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นเวลา 3 เดือน โดยดอกเบี้ยในช่วงเวลาพักหนี้ธนาคารยกให้ทั้งหมด ลูกหนี้ไม่ต้องชำระภายหลัง และเมื่อพักหนี้ครบกำหนด ลูกหนี้ชำระหนี้ตามเงื่อนไขสัญญาเดิม เป็นลูกหนี้ที่มีภูมิลำเนา ที่อยู่อาศัย หรือสถานที่ประกอบอาชีพในพื้นที่ภัยพิบัติตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ธนาคารจะส่ง SMS หรือจดหมาย ส่งตรงถึงผู้ที่ได้รับสิทธิ์ กรณีไม่ประสงค์เข้าร่วมมาตรการ ลูกหนี้สามารถติดต่อแจ้งสาขาที่สะดวก หรือแจ้งที่ GSB Contact Center โทร. 1115 กรณีลูกหนี้ได้รับ SMS หรือจดหมายจากธนาคาร แต่ไม่ประสงค์เข้าร่วมมาตรการพักหนี้ สามารถชำระหนี้ได้ตามปกติ ธนาคารจะนำเงินงวดไปตัดลดต้นเงินทั้งจำนวน ธนาคารออมสินขอส่งกำลังใจไปยังพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพื่อให้ลูกค้ากลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการฯ ได้ที่เว็บไซต์ www.gsb.or.th *หมายเหตุ : ไม่รวมสินเชื่อบางประเภท เช่น สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่, สินเชื่อชีวิตสุขสันต์, สินเชื่อตามนโยบายรัฐ (PSA) และสินเชื่อสำหรับผู้มีรายได้ประจำ

30 Jul 2025

...

บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TIP ตอกย้ำความแข็งแกร่งทางธุรกิจในระดับสากล ด้วยการได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน (Financial Strength Rating) ที่ระดับ A- (Excellent) จาก AM Best สถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำระดับโลก ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 พร้อมคงมุมมองมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “การได้รับอันดับเครดิตระดับ A- (Excellent) ต่อเนื่องถึง 7 ปี พร้อมคงมุมมองมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงความมั่นคงทางการเงินของบริษัทฯ การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ และการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาล” “ความสำเร็จในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทิพยประกันภัยในการยกระดับมาตรฐานองค์กร พร้อมส่งมอบบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกสถานการณ์ โดยไม่หยุดพัฒนาเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้น คู่ค้า และประชาชนอย่างยั่งยืน” การประเมินอันดับเครดิตของ AM Best พิจารณาจากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของทิพยประกันภัย ทั้งในด้านการรับประกันภัย การลงทุน และการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม แม้เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ซึ่งล้วนตอกย้ำถึงความพร้อมของบริษัทในการดูแลลูกค้าและส่งมอบบริการที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยอันดับเครดิตระดับ A- (Excellent) พร้อมคงมุมมองมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) นี้ ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของทิพยประกันภัยในการยกระดับมาตรฐานองค์กร พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ

30 Jul 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner