Responsive image

Wednesday, 31 Dec 2025

หน้าแรก > BUSINESS-MARKETING-SME / ธุรกิจ - การตลาด - เอสเอ็มอี


เอสซีจี แถลงผลประกอบการไตรมาส 2 และครึ่งแรกของปี 2564 ยังโตต่อเนื่อง คุมเข้มความปลอดภัยสูงสุด มุ่งปรับตัวเร็ว คว้าโอกาสตลาดโลกฟื้น

Fri 06/08/2564


ผลประกอบการเอสซีจีไตรมาส 2 ปี 2564 มีกำไรเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากไตรมาสก่อน จากปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกส่งผลให้ราคาสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น และการกระจายสินค้าไปยังตลาดทั้งในและต่างประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ ยกระดับมาตรการ “Bubble & Seal” สู้โควิดสายพันธุ์เดลต้า คุมเข้มความปลอดภัยของพนักงาน-กระบวนการผลิตขั้นสูงสุด พร้อมเตรียมการ Hospitel และ Home Isolation ให้พนักงาน เพื่อลดภาระสาธารณสุข ขณะที่ธุรกิจมุ่งปรับตัวเร็วให้ทันตลาดเปลี่ยนแปลง ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล ออนไลน์ จับเทรนด์ปรับปรุงบ้าน พัฒนานวัตกรรมเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง รุกตลาดเศรษฐกิจหมุนเวียน และเร่งเครื่องขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ สร้างการเติบโตระยะยาว พร้อมช่วยเหลือคู่ค้าขยายเวลาชำระเงิน ส่งมอบนวัตกรรมป้องกันโควิด เสริมทัพทีมแพทย์ ช่วยชีวิตผู้ป่วย และหนุน SMEs ชุมชน พัฒนาสินค้า-ขายออนไลน์ เพื่อให้รอดวิกฤตไปด้วยกัน   


นายรุ่งโรจน์ รังสิโยภาส กรรมการผู้จัดการใหญ่ เอสซีจี เปิดเผยว่า “งบการเงินรวมก่อนสอบทานของเอสซีจี ในไตรมาสที่ 2 ประจำปี 2564 มีรายได้จากการขาย 133,555 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 39 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ตามการปรับตัวของราคาน้ำมันโลก และเพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากไตรมาสก่อน จากผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นของทุกกลุ่มธุรกิจ โดยมีปัจจัยหลักมาจากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับมีกำลังการผลิตส่วนเพิ่ม ทำให้ปริมาณขายยังอยู่ในระดับสูง ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากปัญหาเรื่องการขนส่ง โดยมีกำไรสำหรับงวด 17,136 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 83 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุหลักจากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นร้อยละ 15 จากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์เพิ่มขึ้น

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2564 เอสซีจีมีรายได้จากการขาย 255,621 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากราคาขายของสินค้าเคมีภัณฑ์ปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 32,050 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 96 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าเคมีภัณฑ์และส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น

ครึ่งปีแรกของปี 2564 เอสซีจีมีรายได้จากการขายสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่ม (High Value Added Products & Services – HVA) 86,861 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 34 ของรายได้จากการขายรวม ทั้งนี้ ยังมีสัดส่วนของการพัฒนาสินค้าใหม่ (New Products Development – NPD) และ Service Solution เช่น โซลูชันพลังงานแสงอาทิตย์ (Solar Energy Solution) โซลูชันบรรจุภัณฑ์อัจฉริยะ (Smart and Functional Solutions) คิดเป็นร้อยละ 15 และ 5 ของรายได้จากการขายรวม ตามลำดับ

นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการดำเนินธุรกิจในต่างประเทศ รวมการส่งออกจากประเทศไทย ในครึ่งปีแรกของปี 2564 ทั้งสิ้น 112,272 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 44 ของยอดขายรวม เพิ่มขึ้นร้อยละ 30 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 มีมูลค่า 812,051 ล้านบาท โดยร้อยละ 39 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน

ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกของปี 2564 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้

ธุรกิจเคมิคอลส์ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 60,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 75 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาขายสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 10,392 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 128 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างราคาและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2564 ธุรกิจเคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 112,347 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 54 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 19,221 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 203 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 46,416 ล้านบาท  เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากยอดการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอาเซียนและตลาดอื่น ๆ นอกอาเซียนเพิ่มขึ้น ประกอบกับความต้องการสินค้าผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเพิ่มขึ้นตามงานปรับปรุงและซ่อมแซมภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,468  ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 มีขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์เป็นจำนวน 699 ล้านบาท ในขณะที่ลดลงร้อยละ 12 จากไตรมาสก่อน

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2564 ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 92,601 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 5,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 29,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการซื้อสินค้าปรับเพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศ ในขณะที่ภาคการส่งออกของอาเซียนปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคการบริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป และจากการขยายธุรกิจทั้งแบบ M&P (SOVI และ Go-Pak) และการเติบโตจากภายในอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากไตรมาสก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,263 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อน

สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2564 ธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีรายได้จากการขาย 57,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายธุรกิจทั้งแบบ M&P (SOVI และ Go-Pak) และการเติบโตจากภายใน โดยมีกำไรสำหรับงวด 4,398 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน

นายรุ่งโรจน์ กล่าวต่อว่า “สถานการณ์โควิด 19 ทั่วโลกมีความไม่แน่นอนสูงมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่เผชิญกับเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า จนทำให้มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น หลายประเทศจึงบังคับใช้มาตรการคุมเข้มอีกครั้ง เอสซีจี จึงได้ยกระดับความเข้มข้นจากมาตรการ “ไข่แดง ไข่ขาว” ที่แยกพนักงานในสายการผลิตไม่ให้สัมผัสกับกลุ่มพนักงานทั่วไป สู่การทำ “Bubble & Seal” ในโรงงานทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการตรวจเชิงรุกอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมพื้นที่ที่มีความเสี่ยง พร้อมจัดที่พักให้ภายในโรงงาน ควบคู่กับแนะนำให้พนักงานที่มีอาการป่วยกักตัวที่บ้านตามคำแนะนำของแพทย์ (Home Isolation) เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อโควิด 19 อีกทั้งได้จัดเตรียมหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) สำหรับพนักงานที่ป่วย เพื่อให้เข้าถึงการรักษาที่ปลอดภัยอย่างรวดเร็วที่สุด จึงทำให้เอสซีจีสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยังได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจ ทั้งการปรับสัดส่วนการขาย กระจายสินค้าไปยังตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยทั้งในและต่างประเทศ และเน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ อีกทั้ง ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (Merger & Partnership - M&P) รวมถึงการสร้างความร่วมมือใช้นวัตกรรมเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (High Quality Post-Consumer Recycled Resin – PCR) เปลี่ยนขวดบรรจุภัณฑ์พลาสติกใช้แล้วจากครัวเรือนหมุนเวียนกลับมาผลิตเป็นขวดบรรจุภัณฑ์ใหม่ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย นับเป็นการเร่งธุรกิจเข้าสู่เทรนด์เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่เติบโตสูง พร้อมรุกเข้าสู่ธุรกิจระบบอัตโนมัติ (Automation System) เพื่อนำเสนอโซลูชันด้านออโตเมชันแก่ลูกค้า ซึ่งจะช่วยพัฒนาขีดความสามารถและยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่โรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory 4.0) จึงทำให้ผลประกอบการของเอสซีจีในไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกของปี 2564 ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว  

นอกจากนี้ ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท ได้มีมติอนุมัติให้บริษัทเอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด (หรือ “เอสซีจี เคมิคอลส์”) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยที่ SCC ถือหุ้นทั้งหมดเข้าซื้อหุ้นเพิ่มทุนใน PT. Chandra Asri Petrochemical Tbk (หรือ “CAP”) ประเทศอินโดนีเซีย เป็นจำนวนเงิน 434 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (หรือประมาณ 14,260 ล้านบาท) เพื่อรักษาสัดส่วนการถือหุ้นใน CAP ที่ร้อยละ 30.57 โดยจะนำไปลงทุนในโครงการ Petrochemical Complex แห่งที่ 2 (CAP2) ทั้งนี้ บริษัทเล็งเห็นว่าการลงทุนใน CAP เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ เพื่อขยายธุรกิจปิโตรเคมีไปยังประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งเป็นประเทศที่มีตลาดสินค้าปิโตรเคมีที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนและมีอัตราการเติบโตสูง

ขณะเดียวกัน เอสซีจีมีความห่วงใยสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ใช้ประสบการณ์ ความรู้ความเชี่ยวชาญช่วยเหลือสังคมมาอย่างต่อเนื่องในทุกด้าน ทั้งเร่งช่วยเหลือคู่ค้า-คู่ธุรกิจที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ ด้วยการขยายเวลาการชำระเงิน ให้คำปรึกษาเรื่องการนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาบริหารจัดการภายในโรงงาน เพื่อให้ธุรกิจดำเนินงานได้อย่างต่อเนื่อง ร่วมกับคู่ค้าจัดตั้งศูนย์พักคอยสำหรับแยก-กัก-รักษาผู้ป่วยโควิด 19 สนับสนุนเครื่องใช้อุปโภคบริโภคสำหรับช่างภายในแคมป์ก่อสร้างของคู่ค้า รวมทั้งเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยนำสินค้ามาจำหน่ายที่ร้านเอสซีจี โฮม SCGHOME.com และช่องทางของพันธมิตร เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้และช่วยให้รักษาธุรกิจให้คงอยู่ต่อไปได้
 

เอสซีจีได้เร่งพัฒนานวัตกรรมป้องกันโควิด 19 อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่มีการแพร่ระบาดมากขึ้น เกิดวิกฤตขาดแคลนเตียงสนามและห้องไอซียูสำหรับผู้ป่วยหนัก เอสซีจีได้มอบเตียงสนามกระดาษกว่า 60,000 เตียงทั้งในไทยและต่างประเทศ และมอบห้องไอซียูโมดูลาร์ 60 เตียง รวมทั้งห้องผู้ป่วยฉุกเฉินโมดูลาร์ขนาด 10 เตียง เพื่อปกป้องบุคลากรทางการแพทย์ บรรเทาความเดือดร้อนของผู้ป่วย นอกจากนี้ ยังช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อย (SMEs) และชุมชนกว่า 300 ราย ให้สร้างรายได้ พัฒนาอาชีพ แปรรูปสินค้า และเพิ่มช่องทางการขาย ผมขอเชิญชวนทุกท่านช่วยกันสนับสนุนสินค้า SMEs หากพวกเราช่วยเหลือกัน ก็จะนำพาประเทศรอดพ้นวิกฤตครั้งนี้ได้”

ด้านธุรกิจเคมิคอลส์ ยังคงเติบโตและดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่องทั้งในไทยและต่างประเทศ จากการใช้กลยุทธ์การปรับสัดส่วนการผลิตและการขายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ อีกทั้งได้เร่งการเข้าสู่ธุรกิจด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนที่เติบโตสูง ให้สอดคล้องกับการดำเนิน “ธุรกิจปิโตรเคมีเพื่อความยั่งยืน” ตามแนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) ผ่านการนำเสนอสินค้าและบริการที่มีมูลค่าเพิ่มสูง (HVA) และโซลูชันครบวงจรที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมแก่ผู้บริโภค โดยล่าสุด ธุรกิจได้ร่วมพัฒนาและเปลี่ยนขวดบรรจุภัณฑ์ของยูนิลีเวอร์จากพลาสติกชนิด HDPE เป็นพลาสติก HDPE รีไซเคิล (rHDPE) นับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่นำพลาสติกใช้แล้วจากครัวเรือนหมุนเวียนกลับมาผลิตเป็นขวดบรรจุภัณฑ์ใหม่ โดยใช้นวัตกรรมเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (High Quality Post-Consumer Recycled Resin – PCR) ภายใต้แบรนด์ “เอสซีจี กรีน พอลิเมอร์ (SCG Green Polymer™)

ในส่วนของโครงการปิโตรเคมีครบวงจร Long Son Petrochemicals Company Limited (LSP) ที่เวียดนามคืบหน้าตามแผนร้อยละ 83 โดยจะเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ได้ในครึ่งปีแรกของปี 2566

ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ได้รับผลกระทบจากความต้องการของตลาดที่ชะลอตัวลงจากมาตรการปิดเมือง ธุรกิจจึงปรับกลยุทธ์ด้วยการกระจายสินค้าไปยังตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยทั้งในและต่างประเทศ และเน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ SCGHOME.com มากขึ้น อีกทั้งมุ่งนำเสนอสินค้า บริการ และโซลูชัน ที่มีมูลค่าเพิ่ม ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคในการปรับปรุงที่อยู่อาศัย และตอบรับเทรนด์ด้านสุขอนามัยและความใส่ใจสิ่งแวดล้อมที่มีแนวโน้มสูงขึ้น โดยธุรกิจยังคงให้ความสำคัญกับการปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลมาประยุกต์ใช้ในอุตสาหกรรมตามแนวทาง Industry 4.0 เพื่อควบคุมต้นทุน ลดการใช้ทรัพยากร และสร้างการเติบโตในระยะยาว

ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ยังคงดำเนินงานตามแผนสร้างการเติบโตต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การกระจายฐานลูกค้าในอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพิ่มพอร์ตบรรจุภัณฑ์ที่หลากหลาย การวิจัยและพัฒนานวัตกรรม กระบวนการทำงาน และโมเดลธุรกิจ การบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ การขยายกำลังการผลิต และ Merger & Partnership (M&P) อย่างต่อเนื่อง ได้แก่ Duy Tan Plastics Manufacturing Corporation (Duy Tan) เพื่อขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์พลาสติกแบบคงรูปในเวียดนาม และอยู่ระหว่างการเจรจาเข้าลงทุนใน 2 บริษัท ซึ่งคาดว่าจะสำเร็จภายในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ได้แก่ Intan Group เพื่อขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในอินโดนีเซีย และ Deltalab, S.L. ในประเทศสเปน เพื่อเสริมศักยภาพของธุรกิจด้านวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์ ตอบสนองเมกะเทรนด์การดูแลรักษาสุขภาพ

ในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจได้ยกระดับมาตรการ BCM ทั้งบริษัทในไทยและต่างประเทศให้เข้มข้นยิ่งขึ้น ด้วยการบังคับใช้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโรคโควิด 19 ทั้งในกระบวนการจัดหาวัตถุดิบ กระบวนการผลิตและการขนส่ง รวมถึงการปรับแผนธุรกิจให้สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น ปรับปรุงแผนการผลิตและขนส่งสินค้า รวมถึงการบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ เพื่อสามารถส่งมอบบรรจุภัณฑ์ให้แก่ลูกค้าได้ทันต่อความต้องการ

ทั้งนี้ คณะกรรมการบริษัทอนุมัติจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2564 ในอัตรา 8.5 บาทต่อหุ้น เป็นเงิน 10,200 ล้านบาท โดยกำหนดจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลในวันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม 2564 กำหนดผู้ที่ไม่มีสิทธิรับเงินปันผล (XD) ในวันศุกร์ที่ 13 สิงหาคม 2564 และกำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิรับเงินปันผล (Record date) ในวันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม 2564” นายรุ่งโรจน์ กล่าวสรุป

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 


Tags : เอสซีจี SCG โควิด-19 COVID-19 รุ่งโรจน์ รังสิโยภาส ผลประกอบการเอสซีจีปี2564


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา ซึ่งส่งผลให้เกิดความสูญเสียต่อกำลังพลผู้ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของประเทศ ล่าสุด ธนาคารออมสิน ออกชุดมาตรการเฉพาะกิจ ประกาศยกหนี้ปิดบัญชีสินเชื่อเป็นกรณีพิเศษ แก่ทหาร ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และกำลังพลหน่วยอื่น ๆ ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ดังกล่าว ตั้งแต่วันที่ 7 ธันวาคม 2568 เป็นต้นมา โดยการยกหนี้ยังครอบคลุมถึงบัญชีสินเชื่อของทายาท 3 ลำดับ ได้แก่ บิดามารดา คู่สมรส และบุตรโดยชอบด้วยกฎหมาย รวมถึงการมอบเงินช่วยเหลือแก่ครอบครัวกำลังพลที่เสียชีวิต ตลอดจนกำลังพลและพลเรือนที่บาดเจ็บจากการสู้รบ เพื่อเชิดชูเกียรติที่ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเสียสละ และเป็นขวัญกำลังใจแก่ครอบครัวในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้   ด้านความช่วยเหลือสำหรับผู้อพยพที่ต้องได้รับผลกระทบเพราะเข้าพื้นที่ทำมาหากินไม่ได้ เป็นเหตุให้ต้องขาดรายได้ในช่วงเวลานี้ ธนาคารได้ออก มาตรการพักหนี้โดยให้พักชำระเงินต้นและไม่คิดดอกเบี้ย สำหรับลูกหนี้สินเชื่อธนาคารออมสินทุกประเภท* ครอบคลุมสินเชื่อองค์กรชุมชน ที่มีภูมิลำเนา ที่อยู่อาศัย หรือสถานที่ประกอบอาชีพในพื้นที่ภัยพิบัติตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ให้เริ่มพักชำระหนี้งวดแรกหลังจากได้รับอนุมัติ เป็นระยะเวลา 3 งวด/เดือน และไม่ถือเป็นการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ ให้คงชั้นหนี้เดิมก่อนเข้าร่วมมาตรการ โดยธนาคารจะยกดอกเบี้ยให้ทั้งหมด ส่วนเงินต้นที่พักไว้ 3 งวด จะถูกรวมไปชำระในงวดสุดท้าย ทั้งนี้ เมื่อครบกำหนดระยะเวลาให้ลูกหนี้กลับมาชำระเงินงวดตามเงื่อนไขสัญญาเดิม ในกรณีสัญญาครบกำหนดแต่ไม่อาจชำระหนี้เงินต้นส่วนที่พักไว้ได้ ลูกหนี้สามารถติดต่อธนาคารเพื่อขอปรับโครงสร้างหนี้ได้ในภายหลัง โดยผู้ที่ได้รับผลกระทบตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด สามารถแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการได้ที่ธนาคารออมสินทุกสาขา หรือที่ศูนย์พักพิงของจังหวัดซึ่งธนาคารได้จัดทีมงานเข้าไปอำนวยความสะดวกให้ด้วย และทางแอปพลิเคชัน MyMo ภายในวันที่ 31 มกราคม 2569     นอกจากนี้ ธนาคารยังคงสนับสนุนงบประมาณให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่างต่อเนื่องนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ปะทะ ตลอดแนวชายแดนไทย-กัมพูชา โดยการสนับสนุนภารกิจของศูนย์พักพิง ได้แก่ การมอบถุงยังชีพ “ออมสินห่วงใย” รวมถึงเครื่องอุปโภคบริโภคที่จำเป็น และน้ำดื่ม แก่ผู้อพยพ และกำลังพลในพื้นที่จังหวัดสุรินทร์ ศรีสะเกษ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สระแก้ว และจังหวัดตราด รวมมูลค่ากว่า 7.3 ล้านบาท ธนาคารออมสินขอแสดงความห่วงใยและส่งกำลังใจไปยังทหารและตำรวจตระเวนชายแดนที่ยังคงปฏิบัติหน้าที่อย่างเข้มแข็งอยู่ในพื้นที่ ตลอดจนครอบครัวของทหารกล้าผู้เสียสละชีวิตปกป้องอธิปไตยของประเทศ และพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบ โดยมุ่งหวังว่าสถานการณ์จะคลี่คลายและกลับสู่สภาวะปกติในเร็ววัน *หมายเหตุ : มาตรการพักหนี้ไม่รวมสินเชื่อบางประเภท เช่น สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่, สินเชื่อชีวิตสุขสันต์, สินเชื่อสำหรับผู้มีรายได้ประจำ โดยสินเชื่อ Soft loan สินเชื่อองค์กรชุมชน และสินเชื่อตามนโยบายรัฐ (PSA) และเงื่อนไขอื่น ๆ เป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด  

30 Dec 2025

...

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Awards) ประจำปี 2568 ให้แก่ธนาคารออมสิน โดยมีผู้แทนรับมอบรางวัลได้แก่ รศ.ดร. ธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการธนาคารออมสิน พร้อมด้วย นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และผู้บริหาร ซึ่งเป็นปีที่ธนาคารออมสินได้รางวัลในระดับดีเด่นและเกียรติยศ ครบทั้ง 8 ประเภทรางวัลที่ธนาคารได้รับ จัดขึ้นโดยคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลัง ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568     นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ในปี 2568 นี้ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร. ได้พิจารณามอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นแก่ธนาคารออมสิน จำนวน 8 รางวัล ประกอบด้วย 1) รางวัลเกียรติยศรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยม ธนาคารได้รับเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่อง โดยเป็นรางวัลที่มอบให้กับรัฐวิสาหกิจที่มีความโดดเด่นและมีมาตรฐานการดำเนินงานทุก ๆ ด้าน สามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของประชาชน     2) รางวัลเกียรติยศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น ได้รับเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่อง จากการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ และผลักดันการบริหารงานให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี 3) รางวัลเกียรติยศการบริหารจัดการองค์กรดีเด่น ได้รับเป็นปีที่ 7 ต่อเนื่อง จากการรักษามาตรฐาน การบริหารจัดการเพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขัน พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำพาองค์กรเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ   4) รางวัลผู้นำองค์กรดีเด่น ที่มอบให้แก่นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผลงานเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน 5) รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจดิจิทัล จากการสร้างสรรค์และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาองค์กร ในมิติต่าง ๆ พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล 6) รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจยั่งยืน จากการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นระบบ จนเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม     7) รางวัลการดำเนินงานอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น โดยได้รับจากผลงานความสำเร็จของโครงการพัฒนาเชิงพื้นที่แบบองค์รวม (Holistic Area-Based Development) - โครงการลิบงสุขใจ ออมสินพัฒนา อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง 8) รางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น จากโครงการ GEN AI Branch Assistant : ผู้ช่วยสาขาอัจฉริยะ ที่ธนาคารพัฒนาขึ้นโดยการนำ AI มาใช้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริการของสาขา   นับเป็นความภาคภูมิใจและเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของบุคลากรธนาคารออมสินทุกคนในการรักษามาตรฐานการบริหารจัดการองค์กรในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ภายใต้หลักธรรมาภิบาล โปร่งใส และการให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล ควบคู่กับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “ธนาคารเพื่อสังคม” เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกและความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจและสังคมไทยในระยะยาว    

26 Dec 2025

...

เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมมือกับ เอ ไลฟ์ (ALive Powered by AIA) โดยบริษัท เอไอเอ เวลเนส จำกัด ส่งความห่วงใยถึงคนไทยทั่วประเทศในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2569 มอบแคมเปญ “ฟรี!!! ประกันอุบัติเหตุ กรมธรรม์ประกันภัยอุ่นใจข้ามปี” โดยมอบกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่ (ไมโครอินชัวรันส์) ฟรีให้แก่ประชาชนทั่วไป ระยะเวลาคุ้มครองนาน 30 วัน ด้วยวงเงินคุ้มครองชีวิตสูงถึง 100,000 บาทต่อกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ พร้อมรับผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุตามจำนวนที่จ่ายจริงสูงสุด 5,000 บาท* เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมเพิ่มความอุ่นใจสำหรับการวางแผนเดินทางท่องเที่ยวหรือกลับภูมิลำเนาเพื่อไปฉลองกับครอบครัว ซึ่งแคมเปญดังกล่าวยังเป็นการขานรับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) อีกทั้งยังสานต่อพันธกิจของเอไอเอที่ต้องการสนับสนุนให้ผู้คนกว่าพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives ทั้งนี้ สำหรับประชาชนทุกคนที่สนใจขอรับกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มฟรี สามารถลงทะเบียนรับสิทธิออนไลน์ได้ง่าย ๆ เพียงไปที่เว็บไซต์ https://aiathailand.info/panyPR  ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2568 จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2569   หมายเหตุ: *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัท เอไอเอ เวลเนส จำกัด กำหนด

20 Dec 2025

...

รายงานข่าวจากธนาคารออมสิน ขอเชิญชวนผู้ประกอบการร้านค้า ประเภทบุคคลธรรมดา ที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” และยังไม่ได้ลงทะเบียนเรียนหลักสูตร Smart Finance Upskill ขอให้เร่งสมัครผ่านเว็บไซต์ของธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากขณะนี้เหลือเวลาเพียง 4 วันสุดท้าย ที่สามารถลงทะเบียนและเรียนให้จบหลักสูตร เพื่อรับสิทธิ์เงินสนับสนุนจากภาครัฐ นับจากวันที่พัฒนาทักษะสำเร็จจนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 สูงสุดไม่เกินรายละ 2,000 บาท หลักสูตร Smart Finance Upskill การพัฒนาความรู้ทางการเงินเพื่อร้านค้ารายย่อยโครงการคนละครึ่ง พลัสเป็นการเรียนออนไลน์กับธนาคารออมสิน ภายใต้โครงการพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) สำหรับผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อย ประเภทบุคคลธรรมดา มุ่งเสริมทักษะทางการเงินที่จำเป็นต่อการทำธุรกิจ ครอบคลุมการทำบัญชี การคิดต้นทุน การตั้งราคาขาย และความรู้ก่อนยื่นขอกู้ ผู้ที่เรียนจบและผ่านเกณฑ์ จะได้รับประกาศนียบัตรและรับสิทธิ์เงินสนับสนุนจากภาครัฐตามเงื่อนไขที่กำหนด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทะเบียนเรียนหลักสูตร Smart Finance Upskill และข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับโครงการ Upskill/Reskill คนละครึ่ง พลัส ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 กด 7

19 Dec 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner