Responsive image

Friday, 05 Dec 2025

หน้าแรก > BUSINESS-MARKETING-SME / ธุรกิจ - การตลาด - เอสเอ็มอี


เคทีซีเปิดตัวแคมเปญ “KTC มีแต้มต่อ” ให้ทุกคะแนน ต่อความสุข กับความคุ้มไม่รู้จบ

Sat 09/10/2564


เคทีซีเปิดตัวแคมเปญใหญ่ “KTC มีแต้มต่อ” ชูคอนเซ็ปต์ต่อความสุข ให้สมาชิกด้วยการเพิ่มมูลค่าคะแนน KTC FOREVER มากกว่าปกติ เน้นความคุ้มค่าด้วยสิทธิพิเศษ 2 รูปแบบ ใช้ 999 คะแนน หรือใช้คะแนนเท่ายอดใช้จ่าย แลกรับส่วนลดหรือสิทธิประโยชน์อื่นๆ สะดวกสบายด้วย ช่องทางการแลกคะแนนที่หลากหลาย ตอบโจทย์พฤติกรรมของผู้บริโภคยุคใหม่ กับมากกว่า 170 พันธมิตรทั่วประเทศในหมวดใช้จ่ายสำหรับชีวิตประจำวัน ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 31 ธันวาคม 2564  คาดสมาชิกให้การตอบรับด้วยดี ด้วยการนำคะแนนมาแลกรับสินค้าหรือบริการตลอดแคมเปญทั้งสิ้น 2,000 ล้านคะแนน

นางพิทยา วรปัญญาสกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร - ธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” เปิดเผยว่า “เคทีซีได้ออกแคมเปญใหญ่ KTC มีแต้มต่อ”  โอกาสสำคัญในรอบปีที่คะแนน KTC FOREVER จะมีค่ามากกว่าที่เคย มอบความสุขให้สมาชิกด้วยการเพิ่มมูลค่าคะแนน KTC FOREVER  ด้วยงบประมาณการตลาด 300 ล้านบาท ร่วมกับมากกว่า 170 พันธมิตรร้านค้าในหมวดใช้จ่ายสำหรับชีวิตประจำวัน โดยเน้นที่หมวดร้านอาหารและช้อปปิ้ง ซึ่งเป็นหมวดที่ได้รับความนิยมสูงสุดในช่วงปลายปี สำหรับกลยุทธ์การตลาด เคทีซียังคงเน้นการสร้างความสัมพันธ์กับพันธมิตรร้านค้าอย่างต่อเนื่อง เมื่อรัฐบาลได้ปรับมาตรการคลายล็อกดาวน์ ส่งผลให้ผู้ประกอบการสามารถกลับมาดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง   การออกแคมเปญด้วยการเพิ่มมูลค่าของคะแนน KTC FOREVER ในครั้งนี้ จึงถือเป็นอีกช่องทางหนึ่งที่เคทีซีต้องการขอบคุณและสนับสนุนพันธมิตรที่ได้ต่อสู้เคียงคู่กันในยามวิกฤตที่ผ่านมา”

“สำหรับแคมเปญKTC มีแต้มต่อ” คะแนน KTC FOREVER จะมีค่ามากกว่าปกติด้วยสิทธิพิเศษ 2 รูปแบบหลัก ดังนี้ 1) ใช้ 999 คะแนน KTC FOREVER แลกรับส่วนลดมูลค่า 200 บาท / แลกรับส่วนลดสูงสุด 30% / แลกรับสินค้ามูลค่าสูงสุด 200 บาท หรือ แลกซื้อ e-Voucher Deals ในราคาลดสูงสุด 50% 2) ใช้คะแนน KTC FOREVER เท่ายอดใช้จ่าย แลกรับส่วนลดสูงสุด 25% หรือแลกรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 15% โดยสมาชิกสามารถแลกคะแนนได้อย่างสะดวกสบาย ณ จุดขาย ที่หน้าร้านพันธมิตรกว่า 170 ร้านค้า  หรือผ่านแอป KTC Mobile / เว็บไซต์ KTC / เว็บไซต์ KTC USHOP / KTC World Travel Service หรือ QR Point ของร้านค้าที่ร่วมรายการ สมาชิกสามารถใช้คะแนนต่อสุขได้ทุกที่ ไม่ว่าจะกิน ช้อป หรือเที่ยว ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2564 – 31 ธันวาคม 2564

นางประณยา นิถานานนท์ ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร - ธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” กล่าวว่า  “สืบเนื่องจากการปรับมาตรการผ่อนปรนให้ร้านอาหารสามารถเปิดกิจการได้มากขึ้น ส่งผลให้การใช้จ่ายในหมวดร้านอาหารกลับมาคึกคักอีกครั้งตลอดเดือนกันยายน พฤติกรรมของสมาชิกก็เริ่มมีการปรับเปลี่ยนจากการใช้บริการ Food Delivery ในช่วงที่ผ่านมา เป็นการรับประทานอาหารนอกบ้านมากขึ้น โดยร้านอาหารประเภทบุฟเฟ่ต์ปิ้งย่าง ชาบู ได้รับความนิยมมากที่สุด  รวมถึงร้านอาหารในศูนย์การค้าก็เช่นเดียวกัน  สำหรับแคมเปญ KTC มีแต้มต่อ” ในไตรมาส 4 นี้ คะแนน KTC FOREVER ถือเป็นกุญแจหลักในการมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิก ดังนั้นหมวดร้านอาหารจึงเป็นหมวดที่เคทีซีให้ความสำคัญ เนื่องจากเป็นหมวดที่สมาชิกนิยมนำคะแนนมาแลกรับสินค้าหรือบริการ โดยตลอดปี 2563 มียอดรวมคะแนนที่สมาชิกนำมาแลกทั้งสิ้นกว่า 1,100 ล้านคะแนน นอกจากนี้ พันธมิตรในหมวดร้านอาหารยังได้รับผลกระทบอย่างหนักในช่วงที่ผ่านมา เคทีซีจึงได้เชิญชวนพันธมิตรร้านอาหารมากถึง 80 ร้านค้า ครอบคลุมกว่า 3,000 แห่ง เข้าร่วมแคมเปญเพื่อช่วยสนับสนุนธุรกิจของพาร์ทเนอร์ โดยร้านอาหารที่เข้าร่วมแคมเปญประกอบด้วย ร้านบุฟเฟ่ต์ อาทิ ซูกิชิ (Sukishi), โออิชิ (Oishi), ชาบูชิ (Shabushi), อะคิโยชิ (Akiyoshi), เรดซัน (Red Sun) ร้าน Stand-alone อาทิ วอเตอร์ ไลบรารี่ (Water Library), หงเปา (Hong Bao), จัมโบ ซีฟู้ด (Jumbo Seafood), แคมส์ โรสต์ (Kam’s Roast) ร้านกลุ่มที่ใช้คะแนนน้อย อาทิ คริสปีครีม (Krispy Kreme), กาเร็ต ป๊อปคอร์น (Garrett Popcorn), แมคโดนัลด์ (McDonald’s) โดยคาดว่าในหมวดร้านอาหารตลอดแคมเปญดังกล่าวจะมีจำนวนคะแนนที่สมาชิกนำมาแลกมากถึงกว่า 500 ล้านคะแนน

นายณัฐสิทธิ์ สุนทราณู ผู้อำนวยการ - ธุรกิจบัตรเครดิต “เคทีซี” กล่าวว่า “ในช่วงปีที่ผ่านมา สถานการณ์โควิด-19 ส่งผลให้สมาชิกคุ้นชินกับการช้อปปิ้งออนไลน์ผ่านช่องทางต่างๆ อาทิ แอปพลิเคชัน เว็บไซต์ รวมถึงช่องทางโซเชียลมีเดียของพันธมิตรเพิ่มมากขึ้นแทนที่การใช้จ่ายที่หน้าร้าน  จึงทำให้สัดส่วนการใช้จ่ายผ่านช่องทางออนไลน์มีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นจาก 30% เป็น 40 %   โดยเฉพาะการใช้จ่ายผ่าน e-Marketplace ต่างๆ  มีการเติบโตมากขึ้นถึง 45% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปี 2563 (มกราคม – สิงหาคม) สำหรับเดือนกันยายนห้างสรรพสินค้า และร้านค้าต่างๆ ในศูนย์การค้าฯ ได้กลับมาเปิดกิจการเป็นปกติ รวมถึงไตรมาส 4  เป็นช่วงเทศกาลของการจับจ่ายใช้สอย จึงคาดว่ายอดรวมการใช้จ่ายผ่านบัตรฯ ในทุกๆ ช่องทางของพันธมิตรจะกลับมาคึกคักขึ้น สำหรับแคมเปญ KTC มีแต้มต่อ” เคทีซีได้รวบรวมพันธมิตรในหมวดช้อปปิ้งมากกว่า 60  ร้านค้า 670 แห่งทั่วประเทศ เพื่อมอบสิทธิพิเศษให้กับสมาชิก โดยในปี 2563 หมวดช้อปปิ้ง (ช่องทางออนไลน์และออฟไลน์) มีจำนวนสมาชิกนำคะแนนสะสม KTC FOREVER มาแลกสินค้าหรือบริการมากที่สุดเป็นอันดับหนึ่งในพอร์ต โดยยอดรวมคะแนนที่มีการนำมาแลกทั้งสิ้นกว่า 1,800 ล้านคะแนน และคาดว่าในหมวดช้อปปิ้งตลอดแคมเปญดังกล่าวจะมีจำนวนคะแนนที่สมาชิกนำมาแลกมากกว่า 700 ล้านคะแนน

“ปัจจุบัน เคทีซีมีฐานสมาชิกบัตรเครดิตเคทีซีกว่า 2.5 ล้านบัตร มีจำนวนคะแนน KTC FOREVER ทั้งสิ้นกว่า 12,000 ล้านคะแนน โดยในช่วงปกติ แต่ละเดือนจะมีจำนวนคะแนน KTC FOREVER ที่สมาชิกนำมาแลกประมาณ 400 ล้านคะแนน สำหรับไตรมาส 4 จะเป็นช่วงที่มีการแลกคะแนนสูงกว่าไตรมาสอื่นๆและคาดว่าในไตรมาส 4 ของปีนี้ สมาชิกจะให้การตอบรับแคมเปญ KTC มีแต้มต่อ” อย่างดี ส่งผลให้จำนวนการแลกคะแนนมากขึ้น 20% หรือ 2,000 ล้านคะแนน” นางพิทยากล่าวปิดท้าย

ผู้สนใจสามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ KTC PHONE  02 123 5000  หรือติดตามรายละเอียดแคมเปญ “KTC มีแต้มต่อ” ได้ที่ https://www.ktc.co.th/promotion/q4-2021


Tags : เคทีซี KTC บัตรกรุงไทย พิทยา วรปัญญาสกุล ประณยา นิถานานนท์ ณัฐสิทธิ์ สุนทราณู


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

ทิพยประกันภัยเดินหน้าต่อยอดประสบการณ์ด้านประกันภัยรถยนต์ เปิดตัวแคมเปญใหญ่ “TIP MOTOR EXTRA PRO ประกันรถสุดปัง อลังการสุดโปร” ในงาน Motor Expo 2025 เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่มองหาความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ครบวงจร พร้อมคัดสรรผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์หลากหลาย อาทิ TIP Premium Garage Plus, TIP Lady, TIP Rainbow, TIP Up to Mile และประกันรถยนต์ 2+ คุ้มทุน พร้อมทีมให้คำปรึกษา คำนวณเบี้ย และบริการต่ออายุกรมธรรม์ภายในงาน แคมเปญ “TIP MOTOR EXTRA PRO” มอบข้อเสนอสุดคุ้มสำหรับลูกค้า อาทิ • ส่วนลดเบี้ยประกันภัยสูงสุด 15% สำหรับลูกค้าใหม่ • รับของสมนาคุณ รวมมูลค่ากว่า 300,000 บาท • ลุ้นรับรถยนต์ MITSUBISHI XFORCE รุ่น ULTIMATE มูลค่า 1,059,000 บาท • ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน • พิเศษ! ลูกค้าที่ต่ออายุประกันภัยรถยนต์ภายในงาน รับ บัตร Lotus’s มูลค่าสูงสุด 1,000 บาท ทิพยประกันภัยขอเชิญทุกท่านร่วมรับข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะงาน Motor Expo 2025 ได้ที่บูธ V07–V08 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568

30 Nov 2025

...

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือ โครงการศึกษาครัวเรือนฐานรากเพื่อสร้างการเข้าถึงแหล่งเงินในระบบ ระหว่าง ธนาคารออมสิน และ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เพื่อศึกษาความเป็นอยู่และพฤติกรรมทางการเงินของกลุ่มครัวเรือนฐานรากที่ยังไม่สามารถเข้าถึงการเงินในระบบ ที่จะนำไปสู่การต่อยอดองค์ความรู้ จากการวิจัยในการพัฒนาระบบการเงินที่เหมาะสม ช่วยยกระดับเศรษฐกิจและความเข้มแข็งทางการเงินของภาคครัวเรือนไทย โดยมี นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และ ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ณ ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่   นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ภายใต้บทบาทการเป็น Social Bank ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินและสร้างการเข้าถึงแหล่งทุนที่เป็นธรรม ธนาคารเดินหน้าภารกิจหลักที่ 1 ในการสร้างการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงิน ซึ่งหากพิจารณาจากสถานการณ์การเข้าถึงสินเชื่อของคนไทย ปัจจุบันยังพบว่าครัวเรือนกว่าร้อยละ 30 ยังอยู่ในกลุ่ม Unserved และ Underserved โดยเป็นผู้มีรายได้น้อยและ/หรือรายได้ไม่แน่นอน ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบจากการขาดประวัติเครดิตทางการเงิน และกว่าครึ่งยังต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้นและต้องเผชิญภาระดอกเบี้ยสูง ดังนั้น เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนบทบาทการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ธนาคารจึงได้จัดตั้งสถาบันวิจัยเศรษฐกิจฐานรากขึ้นเป็นครั้งแรก และได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เพื่อคิกออฟงานวิจัย “โครงการศึกษาครัวเรือนฐานรากเพื่อสร้างการเข้าถึงแหล่งเงินในระบบ” โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายของการศึกษาเป็นผู้เข้าร่วมโครงการสินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส ที่ธนาคารได้ดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปี 2568 เพื่อปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ที่มีรายได้ แต่ไม่เคยมีประวัติเครดิตทางการเงิน หรือไม่เคยใช้บริการสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินอย่างน้อย 2 ปี ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ของโครงการนี้มีลักษณะตัวตน หรือ Customer Persona ที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของงานศึกษาวิจัยครั้งนี้ ทั้งนี้ ธนาคารหวังว่าจะสามารถนำผลลัพธ์ของงานวิจัยไปออกแบบเครื่องมือทางการเงิน หรือมาตรการสินเชื่อที่ตรงจุด สามารถตอบโจทย์ความคาดหวัง และสร้างระบบการเงินที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมาย SDGs และสอดคล้องตามบทบาทของธนาคารเพื่อสังคม   ดร. โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เปิดเผยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการศึกษาข้อมูลเชิงลึกของลูกหนี้ภายใต้โครงการ “สินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส” ของธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นต้นแบบสินเชื่อดิจิทัลที่เปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้แต่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อในระบบสามารถกู้เงินได้เป็นครั้งแรก โดยธนาคารออมสินได้ปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยคนไทยสร้างประวัติเครดิตทางการเงินไปแล้วกว่า 200,000 ราย สะท้อนถึงความต้องการเข้าถึงสินเชื่อในระบบที่ยังมีอยู่จำนวนมาก การศึกษาครั้งนี้จึงมุ่งขยาย “ประตูสู่ระบบการเงิน” ให้กว้างขึ้น ผ่านการเก็บข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มคนที่อยู่นอกระบบเป็นครั้งแรก ใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) ปัญหาเศรษฐกิจการเงิน พฤติกรรมและความต้องการทางการเงิน 2) โมเดลผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยให้ลูกหนี้ชำระคืนได้จริง 3) การทดลองใช้ข้อมูลใหม่และข้อมูลทางเลือกเพื่อค้นหาตัวชี้วัดความเสี่ยงที่แม่นยำยิ่งขึ้นให้กับสถาบันการเงิน 4) การติดตามผลการเข้าถึงสินเชื่อต่อรายได้และคุณภาพชีวิตของลูกหนี้ตลอดระยะเวลา 1 ปี เพื่อนำไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสม ซึ่งผลการศึกษาจะช่วยให้ธนาคารออมสินออกแบบผลิตภัณฑ์และกระบวนการพิจารณาสินเชื่อที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น สอดคล้องกับศักยภาพของลูกหนี้ และเพิ่มโอกาสในการชำระคืน   ขณะเดียวกัน สถาบัน ฯ จะมีองค์ความรู้เชิงลึกเพื่อนำไปสนับสนุนนโยบาย Your Data และโครงการ Risk-Based Pricing ของธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วยให้สถาบันการเงินประเมินความเสี่ยงได้โปร่งใส เป็นธรรม และเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ “เคยถูกมองไม่เห็น” เข้าสู่ระบบการเงินได้มากขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญที่เปลี่ยนงานวิจัยให้เกิดผลจริงต่อประชาชนฐานราก เสริมรากฐานระบบการเงินที่เข้าถึงง่าย ยั่งยืน และช่วยยกระดับศักยภาพและคุณภาพชีวิตของครัวเรือนไทยได้อย่างมั่นคงในระยะยาว  

30 Nov 2025

...

จากสถานการณ์อุทกภัยส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของภาคใต้ โดยขณะนี้จังหวัดสงขลาประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน จึงขอแจ้งปิดทำการกรุงเทพประกันภัย สาขาหาดใหญ่ เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยลูกค้าสาขาหาดใหญ่และใกล้เคียงสามารถติดต่อบริการด้านประกันภัยได้ที่ กรุงเทพประกันภัย สาขาสุราษฎร์ธานี โทร. 0 7727 3806 ทั้งนี้ กรุงเทพประกันภัยขอแสดงความห่วงใยและเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาคใต้ และเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อรับคำปรึกษาต่างๆ และแจ้งเคลมสินไหมทดแทนสำหรับบ้านที่อยู่อาศัยและสถานประกอบการ รวมถึงประกันภัยรถยนต์ หรือรับบริการรถยกเพื่อเคลื่อนย้ายรถไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้ที่ช่องทางต่างๆ ดังนี้ - LINE @bangkokinsurance - โทร. 1620 ตลอด 24 ชั่วโมง

25 Nov 2025

...

นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 เห็นชอบให้ดำเนินโครงการพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เพื่อช่วยยกระดับความสามารถในการหารายได้ของผู้ประกอบการรายเล็กบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้งที่เป็นทักษะความรู้ด้านการเงินและด้านดิจิทัล โดยรัฐบาลสนับสนุนเงินเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท/ราย สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ Upskill/Reskill และได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งโครงการดังกล่าวมีหน่วยงานพันธมิตรหลายรายเป็นผู้ให้บริการเรียนรู้และพัฒนาทักษะแก่ร้านค้า โดยมีธนาคารออมสินรับผิดชอบการพัฒนาทักษะแก่ผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อย “ประเภทบุคคลธรรมดา” หลักสูตร “Smart Finance Upskill : การพัฒนาความรู้ทางการเงินเพื่อร้านค้ารายย่อยโครงการคนละครึ่ง พลัส” สำหรับผู้ประกอบการร้านค้าบุคคลธรรมดา เน้นให้ความรู้ทางการเงินที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการร้านค้ายุคใหม่ ประกอบด้วยเนื้อหาสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ การทำบัญชี การคิดต้นทุน เทคนิคการตั้งราคาขาย และความรู้ก่อนยื่นขอกู้ พร้อมแบบจำลองการยื่นกู้ให้ผู้ประกอบการได้ฝึกเรียนรู้ด้วยตนเอง และสามารถนำแบบจำลองนั้นไปใช้ประกอบการยื่นกู้กับสถาบันการเงินได้ โดยผู้ที่ได้สมัครเรียนและผ่านการทดสอบตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองการผ่านหลักสูตรเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการรับสิทธิ์เงินเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท ร้านค้าที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าเรียนได้แล้วตั้งแต่วันนี้ - 19 ธันวาคม 2568 ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ตลอด 24 ชม. โดยผู้ที่สำเร็จหลักสูตรตามเงื่อนไขที่กำหนด จะมีการแจ้งผลการรับสิทธิ์เงินสนับสนุนจากภาครัฐ ผ่านแอปถุงเงินและข้อความ SMS ในวันที่ 23 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ ธนาคารขอแนะนำโปรดหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น ซึ่งอาจทำให้ประสบปัญหาเว็บไซต์ตอบสนองช้ากว่าปกติได้ กรณีประสบปัญหาการใช้บริการ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทะเบียนเรียนหลักสูตร Smart Finance Upskill และข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับโครงการ Upskill/Reskill คนละครึ่ง พลัส สามารถติดต่อที่ GSB Contact Center โทร.1115 กด 7 ตลอด 24 ชม.   นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่สำเร็จหลักสูตร Smart Finance Upskill แล้ว ยังมีสิทธิ์ยื่นขอกู้เงื่อนไขพิเศษกับสินเชื่อ “สร้างงานสร้างอาชีพ พลัส” โดยกดยื่นขอกู้ได้จากหน้าเว็บไซต์หลังเรียนจบหลักสูตร เพื่อเชื่อมต่อกระบวนการยื่นขอกู้ทางแอป MyMo ได้โดยสะดวก ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) = 0.75% ต่อเดือน แบบไม่มีหลักประกัน (Clean Loan) ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ ธนาคารพิจารณาให้กู้ตามความจำเป็นเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนหรือเสริมสภาพคล่อง และตามความสามารถในการชำระคืน ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.gsb.or.th    

23 Nov 2025

Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner