Responsive image

Tuesday, 25 Nov 2025

หน้าแรก > INSURANCE / ประกันภัย - ประกันชีวิต


ไทยประกันชีวิตยื่นไฟล์ลิ่งเตรียมเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ

Sun 24/10/2564


ไทยประกันชีวิตยื่นไฟล์ลิ่งเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) เป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เตรียมพร้อมก้าวสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตชั้นนำที่มีคุณภาพ เสริมศักยภาพในการเปลี่ยนผ่านองค์กรรองรับวิสัยทัศน์การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน โดยมีบริษัทหลักทรัพย์โนมูระ พัฒนสิน และบริษัทหลักทรัพย์เกียรตินาคินภัทร เป็นที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับการทำ IPO

นายไชย ไชยวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้ดำเนินการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวน (Filing) ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เพื่อเสนอขายหุ้นสามัญต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) ประมาณ 20% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดที่จำหน่าย และอาจมีการจัดสรรหุ้นส่วนเกินเป็นจำนวนไม่เกิน 15% ของจำนวนหุ้นสามัญที่เสนอขายในครั้งนี้ โดยคาดว่าจะเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ประมาณปี 2565 ซึ่งจะเป็นปีที่บริษัทฯ ดำเนินธุรกิจครบ 80 ปี และมีบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินสำหรับการทำ IPO

ทั้งนี้ บริษัทฯ ได้ศึกษาและเตรียมพร้อมสำหรับการทำ IPO และการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ มาเป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว เป็นไปตามวิสัยทัศน์ในการมุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน เนื่องจากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อเสริมสร้างศักยภาพและความแข็งแกร่งรองรับการเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันยังสอดรับกับ Business Landscape ของธุรกิจประกันชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งยังเป็นโอกาสในการปรับโครงสร้างองค์กรเพื่อยกระดับการกำกับดูแลและบริหารจัดการองค์กรไปสู่ระดับสากล รวมถึงยกระดับแบรนด์ไทยประกันชีวิตให้เป็นที่รู้จักในระดับนานาชาติ

การระดมทุนดังกล่าวจะช่วยเสริมสร้างศักยภาพในการพัฒนาธุรกิจของบริษัทฯ ให้ดียิ่งขึ้น เพื่อรักษาความเป็นผู้นำในธุรกิจประกันชีวิตของประเทศไทยและภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยการระดมทุนจะนำไปใช้ต่อยอดธุรกิจในด้านต่างๆ เพื่อสร้างการเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ทั้งการลงทุนด้านเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation) การขยายตลาด การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของช่องทางจัดจำหน่าย การเสริมสร้างความแข็งแกร่งของเงินทุน

“ฐานะทางการเงินของบริษัทฯ ในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งมาก โดยมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนที่ต้องดำรงตามกฏหมาย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 อยู่ที่ 334% ซึ่งสูงกว่าอัตราที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดที่ 120% และบริษัทฯ ยังมีส่วนของผู้ถือหุ้นสูงถึง 82,184 ล้านบาท ซึ่งมากเป็นอันดับที่สามของธุรกิจประกันชีวิตไทย” นายไชยกล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานในรอบ 3 ปีที่ผ่านมา (2561-2563) บริษัทฯ มีรายได้รวม 100,851.67 ล้านบาท 108,388.70 ล้านบาท และ 107,642.26 ล้านบาท ตามลำดับ ขณะที่มีกำไรสุทธิย้อนหลัง 3 ปี อยู่ที่ 6,709.23 ล้านบาท 6,777.35 ล้านบาท และ 7,692.32 ล้านบาท ตามลำดับ ส่งผลให้มีอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ระหว่างปี 2661 – 2563 ประมาณ 7.1% ส่วนผลการดำเนินงาน ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 50,744.50 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5,935.33 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 42.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า

และจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อหลายธุรกิจ แต่บริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว เนื่องจากอัตรการจ่ายสินไหมสุขภาพของบริษัทฯ ช่วงก่อนเกิดโควิด-19 และหลังการแพร่ระบาดอยู่ในอัตราที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งบริษัทฯ ยังสามารถบริหารจัดการด้านสินไหมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประกอบกับบริษัทฯ มีเงินสำรองประกันชีวิตที่สูง ณ ธันวาคม 2563 อยู่ที่ 344,590 ล้านบาท ซึ่งพร้อมจ่ายคืนแก่ผู้เอาประกันภัยตามสัญญากรมธรรม์

นายไชยกล่วว่า ไทยประกันชีวิตดำเนินธุรกิจบนวิสัยทัศน์ “การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืน” ด้วยแนวคิดมุ่งสู่การเป็นทุกคำตอบด้านการวางแผนชีวิตและการเงินส่วนบุคคล (Life & Financial Solutions) ด้วยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าแบบปัจเจกบุคคล ในทุกช่วงของชีวิต (Life Stage) ทุกจังหวะชีวิต (Life Event) และทุกรูปแบบการใช้ชีวิต (Lifestyle) รวมถึงการพัฒนาบริการที่มากกว่าการประกันชีวิต เพื่อให้สามารถบริการลูกค้าได้อย่างสะดวกรวดเร็ว ไร้รอยต่อ และตรงตามความต้องการ

ปัจจุบันบริษัทฯ มีช่องทางจัดจำหน่ายที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นตัวแทนประกันชีวิตกว่า 66,000 ราย ซึ่งไทยประกันชีวิตเป็นหนึ่งในบริษัทประกันชีวิตที่มีจำนวนตัวแทนฯ มากที่สุด และสามารถสร้างเครือข่ายตัวแทนฯ ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงเป็นช่องทางการจำหน่ายที่สำคัญที่ช่วยให้บริษัทฯ สามารถเปลี่ยนผ่านจากการนำเสนอผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบพื้นฐาน ไปสู่การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีความซับซ้อนและให้ผลกำไรมากขึ้น นอกจากนี้บริษัทฯ ยังมีสาขาและศูนย์บริการลูกค้ากระจายอยู่ทั่วประเทศ 270 แห่ง

ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทฯ ยังพัฒนาช่องทางจัดจำหน่ายต่างๆ อย่างต่อเนื่อง อาทิ การขายทางโทรศัพท์ และ E-Commerce รวมถึงการสร้างพันธมิตรทางธุรกิจเพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์และให้บริการแก่ลูกค้า อาทิ ธนาคารพาณิชย์ ธนาคารและองค์กรของรัฐ บริษัทลีสซิ่งและเช่าซื้อ บริษัทสินเชื่อเพื่อผู้บริโภค ซึ่งบริษัทฯ ทำสัญญาทั้งในลักษณะการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แต่เพียงผู้เดียว (Exclusive) และสัญญาการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์แบบทั่วไป (Non-exclusive) กับพันธมิตร ช่วยให้มีความยืดหยุ่นในการเลือกพันธมิตรที่ดีที่สุดในแต่ละด้าน และส่งผลต่อมูลค่าของบริษัทฯ โดยรวมในระยะยาว ปัจจุบันบริษัทฯ เป็นพันธมิตรกับธนาคารพาณิชย์จำนวน 4 แห่ง ซึ่งมีเครือข่ายสาขากว่า 750 แห่งทั่วประเทศไทย และเป็นพันธมิตรกับธนาคารและองค์กรของรัฐอีกจำนวน 5 แห่ง ซึ่งมีเครือข่ายสาขากว่า 1,500 แห่งทั่วประเทศ

ทั้งนี้ จากรายงานธุรกิจประกันชีวิตไทยที่จัดทำโดย Milliman Limited ซึ่งเป็นที่ปรึกษาด้านคณิตศาสตร์ประกันภัยอิสระ รายงานว่า ธุรกิจประกันชีวิตในประเทศไทยเติบโตขึ้นอย่างมากในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (CAGR) ที่ 7.3% โดยมีขนาดใหญ่เป็นอันดับสองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในปัจจุบันมีอัตราการเข้าตลาด (Penetration Rate) สูงสุดเป็นอันดับสามในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ดีในปี 2563 อัตราการเข้าตลาด (Penetration Rate) ของประเทศไทยยังอยู่ในระดับที่ต่ำคิดเป็น 3.8% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ (Gross Domestic Product หรือ GDP) ทำให้ธุรกิจประกันชีวิตในไทยยังมีศักยภาพในการเติบโตจากปัจจัยหนุนแนวโน้มคนไทยที่มีรายได้สุทธิที่สูงขึ้น การเพิ่มขึ้นของประชากรผู้สูงอายุ ความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับการคุ้มครองสุขภาพและประกันชีวิตที่เพียงพอ และความต้องการวางแผนเกษียณอายุและการออมทั่วไปที่เพิ่มขึ้น ซึ่งสร้างโอกาสสำคัญในการเติบโตให้กับบริษัทประกันชีวิต ประกอบกับการพัฒนาเทคโนโลยีดิจิทัลซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของธุรกิจต่อไป

สำหรับผู้ที่สนใจ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th


Tags : ไทยประกันชีวิต ไชย ไชยวรรณ ตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

จากสถานการณ์อุทกภัยส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของภาคใต้ โดยขณะนี้จังหวัดสงขลาประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน จึงขอแจ้งปิดทำการกรุงเทพประกันภัย สาขาหาดใหญ่ เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยลูกค้าสาขาหาดใหญ่และใกล้เคียงสามารถติดต่อบริการด้านประกันภัยได้ที่ กรุงเทพประกันภัย สาขาสุราษฎร์ธานี โทร. 0 7727 3806 ทั้งนี้ กรุงเทพประกันภัยขอแสดงความห่วงใยและเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาคใต้ และเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อรับคำปรึกษาต่างๆ และแจ้งเคลมสินไหมทดแทนสำหรับบ้านที่อยู่อาศัยและสถานประกอบการ รวมถึงประกันภัยรถยนต์ หรือรับบริการรถยกเพื่อเคลื่อนย้ายรถไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้ที่ช่องทางต่างๆ ดังนี้ - LINE @bangkokinsurance - โทร. 1620 ตลอด 24 ชั่วโมง

25 Nov 2025

...

นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 เห็นชอบให้ดำเนินโครงการพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เพื่อช่วยยกระดับความสามารถในการหารายได้ของผู้ประกอบการรายเล็กบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้งที่เป็นทักษะความรู้ด้านการเงินและด้านดิจิทัล โดยรัฐบาลสนับสนุนเงินเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท/ราย สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ Upskill/Reskill และได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งโครงการดังกล่าวมีหน่วยงานพันธมิตรหลายรายเป็นผู้ให้บริการเรียนรู้และพัฒนาทักษะแก่ร้านค้า โดยมีธนาคารออมสินรับผิดชอบการพัฒนาทักษะแก่ผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อย “ประเภทบุคคลธรรมดา” หลักสูตร “Smart Finance Upskill : การพัฒนาความรู้ทางการเงินเพื่อร้านค้ารายย่อยโครงการคนละครึ่ง พลัส” สำหรับผู้ประกอบการร้านค้าบุคคลธรรมดา เน้นให้ความรู้ทางการเงินที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการร้านค้ายุคใหม่ ประกอบด้วยเนื้อหาสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ การทำบัญชี การคิดต้นทุน เทคนิคการตั้งราคาขาย และความรู้ก่อนยื่นขอกู้ พร้อมแบบจำลองการยื่นกู้ให้ผู้ประกอบการได้ฝึกเรียนรู้ด้วยตนเอง และสามารถนำแบบจำลองนั้นไปใช้ประกอบการยื่นกู้กับสถาบันการเงินได้ โดยผู้ที่ได้สมัครเรียนและผ่านการทดสอบตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองการผ่านหลักสูตรเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการรับสิทธิ์เงินเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท ร้านค้าที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าเรียนได้แล้วตั้งแต่วันนี้ - 19 ธันวาคม 2568 ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ตลอด 24 ชม. โดยผู้ที่สำเร็จหลักสูตรตามเงื่อนไขที่กำหนด จะมีการแจ้งผลการรับสิทธิ์เงินสนับสนุนจากภาครัฐ ผ่านแอปถุงเงินและข้อความ SMS ในวันที่ 23 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ ธนาคารขอแนะนำโปรดหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น ซึ่งอาจทำให้ประสบปัญหาเว็บไซต์ตอบสนองช้ากว่าปกติได้ กรณีประสบปัญหาการใช้บริการ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทะเบียนเรียนหลักสูตร Smart Finance Upskill และข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับโครงการ Upskill/Reskill คนละครึ่ง พลัส สามารถติดต่อที่ GSB Contact Center โทร.1115 กด 7 ตลอด 24 ชม.   นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่สำเร็จหลักสูตร Smart Finance Upskill แล้ว ยังมีสิทธิ์ยื่นขอกู้เงื่อนไขพิเศษกับสินเชื่อ “สร้างงานสร้างอาชีพ พลัส” โดยกดยื่นขอกู้ได้จากหน้าเว็บไซต์หลังเรียนจบหลักสูตร เพื่อเชื่อมต่อกระบวนการยื่นขอกู้ทางแอป MyMo ได้โดยสะดวก ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) = 0.75% ต่อเดือน แบบไม่มีหลักประกัน (Clean Loan) ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ ธนาคารพิจารณาให้กู้ตามความจำเป็นเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนหรือเสริมสภาพคล่อง และตามความสามารถในการชำระคืน ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.gsb.or.th    

23 Nov 2025

...

กรุงเทพฯ, 17 พฤศจิกายน 2568 – เอไอเอ ประเทศไทย เปิดตัว “AIA Vitality รูปแบบใหม่ เพื่อทุกก้าวของสุขภาพ” และร่วมฉลองในโอกาสครบรอบ 10 ปี AIA Vitality ในประเทศไทย ที่มาพร้อมสิทธิประโยชน์ใหม่ในรูปแบบ ‘ไวทัลลิตี้ โบนัส’ ให้โบนัสเงินคืนตามสถานะไวทัลลิตี้ สูงสุดถึง 20% ของเบี้ยประกันภัยมาตรฐานในแต่ละปีกรมธรรม์[1] เริ่มตั้งแต่ปีกรมธรรม์แรกโดยไม่ต้องรอสะสมคะแนน อีกทั้งยังมากับแรงจูงใจที่อยากให้สมาชิกดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องด้วยของรางวัลประจำเดือน[2] (Monthly Reward) ที่ยกขบวนความฟินมาเสิร์ฟให้สมาชิกแบบจุก ๆ ทุกเดือน ทั้งบัตรชมภาพยนตร์ สตรีมมิ่งออนไลน์ บริการนวด กาแฟ สมูทตี้ผักผลไม้ และอาหารเพื่อสุขภาพ ซึ่งสมาชิกสามารถเลือกรับของรางวัลได้ทุกเดือน รวมถึงสิทธิประโยชน์จากพาร์ทเนอร์ชั้นนำต่าง ๆ อีกมากมาย ตอกย้ำถึงพันธกิจที่เอไอเอมุ่งสนับสนุนให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’   นอกจากนี้ ยังได้ “หมาก ปริญ สุภารัตน์” AIA Vitality Ambassador มาร่วมเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ ที่มากับรูปแบบใหม่ของ AIA Vitality ให้สมาชิกได้สนุกมากขึ้นกับการดูแลสุขภาพเพื่อรับไวทัลลิตี้ โบนัส และของรางวัลทุกเดือน ยิ่งสะสมคะแนนได้สูง ยิ่งเลือกของรางวัลได้มาก พร้อมชวนคนไทยมาเปลี่ยนสถานะ (AIA Vitality Status) ไปด้วยกัน เพื่อสุขภาพที่ดีในแบบที่คุณชอบทำ   นายนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “ตลอดระยะเวลากว่าทศวรรษนับตั้งแต่เราเปิดตัว AIA Vitality ในประเทศไทย พันธกิจของเรายังคงชัดเจนเสมอมา นั่นคือเราต้องการส่งมอบโครงการสุขภาพที่มีพื้นฐานจากวิทยาศาสตร์ เพื่อส่งเสริมให้คนไทยได้สนุกกับการดูแลสุขภาพ โดยมีเอไอเอคอยอยู่เคียงข้างและสร้างแรงบันดาลใจให้ทุกคนไปถึงเป้าหมายในการมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น จนทำให้ปัจจุบัน AIA Vitality เป็นโครงการสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย โดยมีสมาชิกมากกว่า 900,000 คนทั่วประเทศ[3] ความสำเร็จของ AIA Vitality ไม่ได้เกิดจากเป้าหมายที่ชัดเจนเพียงอย่างเดียว แต่ยังมาจากความร่วมมือที่ดีจากพันธมิตรของเรา ซึ่งช่วยกันสร้างระบบนิเวศด้านสุขภาพที่ครอบคลุมที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ และจากที่เรามีสมาชิกเป็นจำนวนมาก เราจึงเข้าใจดีถึงความหลากหลาย ซึ่งสมาชิกแต่ละคนมีความสนใจด้านสุขภาพและแนวทางในการดูแลตัวเองแตกต่างกัน ฉะนั้นแรงจูงใจที่เราจะชวนให้เขาเริ่มต้นดูแลสุขภาพและสร้างนิสัยสุขภาพดีจึงต้องหลากหลายด้วยเช่นกัน ด้วยเหตุนี้จึงเป็นที่มาของ AIA Vitality รูปแบบใหม่ ที่เราได้ปรับสิทธิประโยชน์ให้เหมาะและสอดคล้องกับเป้าหมายด้านสุขภาพของแต่ละคน อีกทั้งยังสอดรับกับแนวคิด ‘Rethink Healthy’ ที่เอไอเอมุ่งส่งเสริมให้ผู้คนเริ่มต้นจากการปรับพฤติกรรมเล็ก ๆ เพื่อสร้างผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต เรามั่นใจว่า AIA Vitality รูปแบบใหม่นี้จะสามารถเข้าถึงทุกคน และกลายเป็นพาร์ทเนอร์ด้านสุขภาพที่จะช่วยสนับสนุนในสมาชิกทุกคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นได้อย่างยั่งยืน”     นางสาวชลิดา นครชัย ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาด เอไอเอ ประเทศไทย เผยว่า “AIA Vitality นับเป็น Game Changer ในตลาดประกันสุขภาพของประเทศไทย นับตั้งแต่เอไอเอเปิดตัว AIA Vitality เมื่อปี 2559 เราถือเป็นประกันชีวิตเจ้าแรกที่ให้ส่วนลดเบี้ยประกันจากการดูแลสุขภาพ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อมุ่งเน้นการป้องกันโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง (NCDs) ผ่านการสนับสนุนให้คนไทยเปลี่ยนพฤติกรรมสุขภาพแบบยั่งยืน และจนถึงวันนี้เราได้พัฒนาโปรแกรมมาเรื่อย ๆ ทั้งในส่วนของแพลตฟอร์ม รวมถึงสิทธิประโยชน์และของรางวัล เพื่อสร้างการมีส่วนร่วมของสมาชิกให้เพิ่มมากขึ้น ซึ่งผลลัพธ์ที่เราได้มาเป็นที่พอใจอยากยิ่ง จากดัชนีชี้วัดค่าสุขภาพที่ดีขึ้นของสมาชิกไวทัลลิตี้[4] ตัวอย่างเช่น สมาชิกที่มีการดูแลสุขภาพในโครงการ 2 ปีขึ้นไปมีดัชนี BMI (Body Mass Index) ดีขึ้น 22% ความดัน ดีขึ้น 49% คอเรสเตอรอล ลดลง 28% และระดับน้ำตาล ลดลงถึง 65% นอกจากนี้ สถิติที่น่าทึ่งของสมาชิกไวทัลลิตี้ที่เราพบคือ สมาชิกของเราตรวจสุขภาพและรับวัคซีนรวมแล้วกว่า 1 ล้านครั้ง ใช้เวลาในการออกกำลังกายแล้วกว่า 17.5 ล้านชั่วโมง เดินรวมกันแล้วกว่า 122 พันล้านก้าว ซึ่งเท่ากับประมาณ 98 ล้านกิโลเมตรเทียบเท่ากับการเดินรอบโลกมากกว่า 2,400 รอบ ซึ่งแสดงให้เห็นว่าโปรแกรม AIA Vitality ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงในด้านสุขภาพให้แก่ผู้คนเป็นจำนวนมากได้อย่างแท้จริง “และในปีนี้เป็นโอกาสพิเศษครบรอบ 10 ปีของ AIA Vitality เราจึงมีการปรับรูปแบบสิทธิประโยชน์ของลูกค้าให้ง่าย เร็ว และมากขึ้น โดยลูกค้าที่สุขภาพดีจะมีเงินคืนตั้งแต่ปีแรกในรูปแบบ ‘ไวทัลลิตี้ โบนัส’ สูงสุด 20% สำหรับแบบประกันโรคร้ายแรง และสูงสุด 15% สำหรับแบบประกันสุขภาพ นอกจากนี้ยังสร้างจูงใจให้ลูกค้าดูแลสุขภาพอย่างต่อเนื่องด้วย ‘ของรางวัลรายเดือน’ ที่สามารถกดรับได้เองทุกเดือนผ่านแอป AIA+ ยิ่งมีคะแนนสูง ยิ่งเลือกของรางวัลได้มาก ซึ่งเราจัดของรางวัลจากพันธมิตรชั้นนำมาให้อย่างหลากหลาย  เพื่อให้ลูกค้าได้เลือกในแบบที่ใช่สำหรับตัวเอง “สำหรับเอไอเอ ในฐานะผู้นำตลาดประกันชีวิต สุขภาพ และโรคร้ายแรง เรามั่นใจว่า AIA Vitality รูปแบบใหม่นี้ นับเป็นครั้งแรกอีกครั้งสำหรับตลาดประกันสุขภาพของไทยที่ลูกค้าได้รับโบนัสเงินคืนจากการมีสุขภาพดี ตอกย้ำถึงเป้าหมายของเอไอเอ ในการมุ่งสนับสนุนให้ผู้คนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมผ่านโครงการสุขภาพที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย”   ด้านการประชาสัมพันธ์ไปสู่ลูกค้าทั่วประเทศ เอไอเอ ได้ส่งภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ที่ยังคงได้ “หมาก ปริญ สุภารัตน์” AIA Vitality Ambassador กลับมาอีกครั้งในเวอร์ชันอัพเกรด โดย นางสาวรพีพร วงศ์ทองคำ ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กรและภาพลักษณ์ เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “โฆษณาชุดนี้เราต้องการสื่อสารให้โดนใจลูกค้ามากที่สุด ให้เห็นเลยว่าวันนี้ AIA Vitality รูปแบบใหม่ มีอะไรที่ใหม่ และมากกว่าเดิมบ้าง ลูกค้าดูแล้วจะเข้าใจได้เลยว่าได้อะไรที่มากขึ้นและเป็นสิ่งที่จับต้องได้กับสิทธิประโยชน์ที่เราเตรียมไว้ให้แบบเยอะมาก ๆ ทั้งไวทัลลิตี้ โบนัส และของรางวัลรายเดือนที่เพิ่มเข้ามาใหม่ให้ลูกค้าเลือกรับของรางวัลได้ทุกเดือนตามไลฟ์สไตล์ของตัวเอง และแน่นอนว่าเห็นโฆษณา AIA Vitality ต้องเห็นคุณหมาก ปริญ ซึ่งทุกวันนี้คุณหมากเป็นมากกว่า Brand Ambassador แต่เป็น AIA Vitality Partner เพราะเป็นลูกค้าตัวจริงและอยู่กับเรามานานกว่า 8 ปีแล้ว ดังนั้นไม่มีใครเหมาะสมไปกว่าคุณหมากที่จะถ่ายทอดเรื่องราวให้ทุกคนสนุกไปกับ AIA Vitality รูปแบบใหม่ เพื่อทุกก้าวของสุขภาพในแบบที่คุณชอบทำ เช่น บางคนชอบออกไปวิ่งในสวนสาธารณะ บางคนชอบทำอาหารสุขภาพทานเอง บางคนชอบแค่คาร์ดิโออยู่ที่บ้าน หรือแม้แต่ชอบนอนหลับพักผ่อน ทุกกิจกรรมล้วนดีต่อสุขภาพทั้งกายและใจ อีกทั้งยังช่วยเพิ่มคะแนนไวทัลลิตี้ ให้ทุกคนได้เลื่อนสถานะเพื่อได้รับสิทธิประโยชน์ที่มากขึ้นอีกด้วย “สำหรับโฆษณาชุดใหม่นี้ ทุกคนจะได้เห็นทั้งในโทรทัศน์ บนสื่อออนไลน์ และสื่อ Out of Home ทั่วประเทศ อีกทั้งเรายังเน้นสื่อบนรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน เนื่องจากเราอยากให้ AIA Vitality ได้อยู่ในชีวิตประจำวันของทุกคน ตื่นเช้ามาเดินทางไปทำงาน ไปทำธุระต่าง ๆ ก็จะได้เห็นคุณหมาก ปริญ ไปกับคุณด้วยทุกวัน เพื่อเป็นแรงบันดาลใจให้ทุกคนเริ่มต้นดูแลสุขภาพ โดยเริ่มวันละนิด ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิตวันละหน่อย เชื่อได้ว่าทุกคนจะสามารถสร้างผลลัพธ์ด้านสุขภาพที่ดีขึ้นแบบยั่งยืนได้อย่างแน่นอน”   ติดตามรับชมภาพยนตร์โฆษณา “AIA Vitality รูปแบบใหม่ เพื่อทุกก้าวของสุขภาพ” ได้แล้วตั้งแต่วันนี้ผ่านช่องทางออนไลน์ของเอไอเอ ประเทศไทย ทั้ง Facebook, Instagram, YouTube, TikTok และสื่อประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ หรือคลิกลิงก์ https://youtu.be/eayDsmdecIA สำหรับผู้ที่สนใจโครงการ AIA Vitality รูปแบบใหม่ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ทางเว็บไซต์ www.aia.co.th/th/health-wellness/vitality   หมายเหตุ:  [1] สิทธิประโยชน์กรมธรรม์และเงื่อนไขขึ้นอยู่กับแบบประกันที่เข้าร่วมโครงการ AIA Vitality หากไม่มีการเคลม [2]บริษัทขอสงวนสิทธิ์ในการเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข และมูลค่าของรางวัลต่อรอบกิจกรรม ทั้งนี้บริษัทจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้าเป็นระยะเวลาอย่างน้อย 30 วันผ่านทางแอปพลิเคชัน AIA+ หรือช่องทางสื่อสารของบริษัท [3] ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 [4] ข้อมูลจากการตรวจสุขภาพของสมาชิก AIA Vitality ที่อยู่ในโปรแกรมมาแล้วอย่างน้อย 2 ปี แต่ไม่เกิน 5 ปี ข้อมูล ณ วันที่ 30 กันยายน 2568  

18 Nov 2025

...

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ชวนรับชมรายการ "Once Upon BAAC Time" รายการท่องเที่ยวเชิงเกษตร (Agro Tourism) ที่จะลงพื้นที่บุกชุมชนของลูกค้า ธ.ก.ส. ด้วยการนำเสนอในรูปแบบวิดีโอ VLOG จำนวน 3 ตอน ที่สะท้อนถึงการท่องเที่ยวเชิงสร้างสรรค์ภายใต้แนวคิด ‘เรียนรู้ สนุก ลงมือทำจริง’ ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวรุ่นใหม่ในการเข้าถึงการทำเกษตรยุคใหม่ พร้อมผลักดันสินค้าเกษตรไปสู่การรับรู้ในวงกว้าง เพื่อตอกย้ำบทบาทและหน้าที่ในการพัฒนาภาคเกษตรของ ธ.ก.ส. เจาะกลุ่มผู้ชมยุคใหม่เรียนรู้การลงพื้นที่จริง   โดยมีนายไพศาล หงษ์ทอง รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. พร้อมด้วยวง PROXIE ได้แก่ กร วรรณไพโรจน์ , โชกุน - ปวริศร์ ศรีชัยชนะ, อองรี - ออสการ์ เอ็ดเวิร์ด วัตราเศรษฐ์, กัน - รัชชานนท์ เรือนเพ็ชร์, วิคเตอร์ - วรเมธ อนุประพันธ์ และคิม - ปัณณธร จิรศาสตร์ ในโอกาสนี้ ขอเชิญมาร่วมสัมผัสเสน่ห์เฉพาะตัวของทั้ง 3 ชุมชน ประกอบด้วย     ตอนที่ 1 Lemon Me Farm จ.นครปฐม ฟาร์มเลมอนและคาเฟ่สไตล์ญี่ปุ่นที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวมาสัมผัสประสบการณ์การปลูกเลมอนที่เต็มไปด้วยคุณภาพ สะอาดและปลอดภัย   ตอนที่ 2 Air Orchid Farm จ.นครปฐม สวนกล้วยไม้ครบวงจร พื้นที่กว่า 200 ไร่ ผู้เชี่ยวชาญในการพัฒนาสายพันธุ์ กล้วยไม้ในห้องแล็บภายใต้โรงเรือนและการเพาะเลี้ยงที่ได้คุณภาพ และมาตรฐาน GAP (Good Agricultural Practices)   และตอนที่ 3 ไร่สุขพ่วง จ.ราชบุรี แหล่งเรียนรู้ด้านเกษตรอินทรีย์แบบครบวงจรที่มีวิธีการจัดการแปลงแบบฮูกูลคัลเจอร์ (Hugelkultur) หรือการปลูกพืชบนพื้นดิน และยังมีการต่อยอดการจำหน่ายผลผลิตผ่านการจัดตลาดสุขพ่วง พ่วงสุข   โดยสามารถติดตามรายการ "Once Upon BAAC Time" ได้ทาง YouTube : BAAC Thailand https://www.youtube.com/watch?v=OBViI6FXteY&list=PL7gIwMaiyiX7fsS4XaslxV8p11DR6nniu และ ติดตามข่าวสารผลิตภัณฑ์และบริการอื่น ๆ จาก ธ.ก.ส. ได้ที่ Facebook : ธกส BAAC Thailand LINE : @baacfamily Instagram : @baacthailand X : @baacthailand และ TikTok : @baacthailand

15 Nov 2025

Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner