Responsive image

Wednesday, 25 Jun 2025

หน้าแรก > INSURANCE / ประกันภัย - ประกันชีวิต


สมาคมประกันชีวิตไทย ชี้ธุรกิจประกันชีวิตไตรมาส 3 ปี 64 เบี้ยรับรวมเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.28

Tue 09/11/2564


นายสาระ ล่ำซำ นายกสมาคมประกันชีวิตไทย เปิดเผยว่า ไตรมาส 3 ปี 2564 (มกราคม – กันยายน ) ธุรกิจประกันชีวิตมีผลงานเบี้ยประกันภัยรับรวมทั้งสิ้น 439,181.91 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.28 เมื่อเทียบกับระยะเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมา จำแนกเป็นเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ จำนวน 123,132.24 ล้านบาทด้วยอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.42 และเบี้ยประกันภัยรับปีต่อไปจำนวน 316,049.67 ล้านบาทด้วยอัตราเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.41 และมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ประกันชีวิตร้อยละ 81

สำหรับเบี้ยประกันภัยรับรายใหม่ ประกอบด้วย

(1) เบี้ยประกันภัยรับปีแรก จำนวน 67,401.62 บาท มีอัตราการเติบโตลดลง ร้อยละ 9.61

(2) เบี้ยประกันภัยรับชำระครั้งเดียว จำนวน 55,730.62  ล้านบาท มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น ร้อยละ39.12

โดยจำแนกเป็นเบี้ยประกันภัยรับรวมตามช่องทางการจำหน่าย ดังนี้

อันดับ 1 การขายผ่านตัวแทนประกันชีวิต จำนวน 217,489 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 0.47 มีสัดส่วนร้อยละ 49.52 ยังคงถือเป็นช่องทางการขายหลักของธุรกิจประกันชีวิต

อันดับ 2  การขายผ่านธนาคาร จำนวน 183,117 ล้านบาท หรือเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 5.68 มีสัดส่วนร้อยละ 41.70

อันดับ 3 การขายผ่านช่องทางนายหน้า จำนวน 19,383 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.26 มีสัดส่วนร้อยละ 4.41

อันดับ 4 การขายผ่านช่องทางโทรศัพท์ จำนวน 10,599 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.53 มีสัดส่วนร้อยละ 2.41

อันดับ 5 การขายผ่านช่องทางอื่น ๆ จำนวน 8,015 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.38 มีสัดส่วนร้อยละ 1.83

อันดับ 6  การขายผ่านช่องทางดิจิทัล จำนวน 550 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 6.73 มีสัดส่วนร้อยละ 0.13

อันดับ 7  การขายผ่านช่องทางไปรษณีย์ จำนวน 29 ล้านบาท เติบโตลดลงร้อยละ 16.43 มีสัดส่วนร้อยละ 0.01

ส่วนผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ได้รับความนิยมและมีการเติบโตสูงอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมาได้แก่ ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (Investment Link) ซึ่งมีเบี้ยประกันภัยรับรวม 34,525 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตที่สูงถึงร้อยละ 88.86 และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพ (Health) มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 58,960 บาท คิดเป็นอัตราการเติบโตร้อยละ 9.28 และสัญญาเพิ่มเติมโรคร้ายแรง (CI) มีเบี้ยประกันภัยรับรวมประมาณ 11,428 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6.53 และผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตแบบบำนาญ (Pension) ที่มีเบี้ยประกันภัยรับรวม 6,424 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.37

ทั้งนี้จากการที่ผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตควบการลงทุน (Universal Life และ Unit Linked) เติบโตเพิ่มขึ้นสูงถึงร้อยละ 88.86 นั้น เนื่องจากแบบประกันดังกล่าวสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้เอาประกันภัยได้ครบทุกช่วงวัยทั้งเรื่องผลตอบแทนจากการลงทุนและให้ความคุ้มครองประกันชีวิตอีกด้วย ส่วนผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง (Health & CI) มีอัตราการเติบโตที่เพิ่มขึ้น เนื่องจากค่ารักษาพยาบาลมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี รวมถึงสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID - 19) ที่ยังคงเพิ่มจำนวนผู้ติดเชื้ออย่างต่อเนื่องทุกวัน พร้อมกันนี้ยังมีสถานการณ์การเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรงอื่นๆ ที่น่ากังวลอีกหลายโรค จึงทำให้ประชาชนต้องตระหนักถึงความสำคัญของการวางแผนบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้น สำหรับผลิตภัณฑ์บำนาญที่มีอัตราการเติบโตสูงขึ้น เป็นการสอดรับกับทิศทางการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยของประเทศไทย เนื่องจากแบบประกันดังกล่าว สามารถนำมาช่วยในการบริหารความมั่นคงของชีวิตในยามเกษียณได้เป็นอย่างดี ซึ่งธุรกิจประกันชีวิตได้พัฒนาและส่งเสริมให้ผลิตภัณฑ์ประกันบำนาญนี้สามารถตอบโจทย์ชีวิตหลังเกษียณได้อย่างครอบคลุม

สำหรับไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 ภาคธุรกิจประกันชีวิตยังต้องเผชิญกับโอกาสและความท้าทายรอบด้าน แต่ถึงอย่างไรก็ยังคงมุ่งมั่นที่จะพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตให้มีความหลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ความต้องการได้ทุกกลุ่มเป้าหมายและสอดคล้องกับสถานการณ์ในปัจจุบัน ไปควบคู่กับพัฒนาช่องทางการขายในรูปแบบดิจิทัลและการบริการผ่านระบบออนไลน์ พัฒนาคุณภาพการบริการหลังการขาย รวมทั้งพัฒนาบุคลากรโดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวแทนและนายหน้าประกันชีวิต โดยมุ่งพัฒนาทักษะเดิม (Up-skill) เพิ่มเติมทักษะใหม่ (Re-skill) ยกระดับความรู้ความสามารถ สร้างมาตรฐานการทำงานแบบชีวิตวิถีใหม่ พร้อมให้การบริการที่เป็นมืออาชีพ โดยยึดมั่นจรรยาบรรณและจริยธรรมในการประกอบอาชีพอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและภาพลักษณ์ธุรกิจประกันชีวิตให้เป็นที่น่าเชื่อถือ ไว้วางใจ

ซึ่งนอกเหนือจากการพัฒนาในหลายๆ ด้านแล้ว สิ่งที่ภาคธุรกิจประกันชีวิตยังคงให้ความสำคัญอยู่เสมอคือ การสร้างความมั่นใจให้กับประชาชน ตลอดจนผู้เอาประกันภัยทุกท่านว่า บริษัทประกันชีวิตทุกบริษัท พร้อมยึดมั่นในข้อตกลงตามสัญญาที่ได้ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัยทุกราย และพร้อมที่จะปฏิบัติติตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ประกันภัยไปจนครบกำหนดสัญญา โดยบริษัทประกันชีวิตทุกบริษัทมีการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบด้าน ทั้งก่อนและหลังการรับประกันภัย สะท้อนให้เห็นจากการที่ธุรกิจประกันชีวิตมีความเพียงพอของเงินกองทุนอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง ด้วยอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุนที่ร้อยละ 323 ณ สิ้นไตรมาสที่ 2 ของปี 2564(ข้อมูลจากเว็บไซต์สำนักงาน คปภ.) นับว่าสูงกว่าระดับเงินกองทุนที่กฎหมายกำหนดที่ต้องดำรงตามเกณฑ์ที่ร้อยละ 120 และเพียงพอต่อการปฏิบัติตามข้อผูกพันในกรมธรรม์ประกันภัยทุกกรมธรรม์ที่ออกให้แก่ผู้เอาประกันภัย ”นายกสมาคมประกันชีวิตไทย กล่าวในตอนท้าย


Tags : สมาคมประกันชีวิตไทย สาระ ล่ำซำ


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

กรุงเทพประกันชีวิต ร่วมกับ “มนุษย์ต่างวัย” ชวนทุกคนมาวางแผนอนาคตในการใช้ชีวิตตามเป้าหมายที่ต้องการ ทั้งเรื่องการเงิน การออม ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ไปจนถึงอาชีพหลังเกษียณที่ใช่ ตามสไตล์ของตัวเอง ด้วยแนวคิด “Financial Wellness” ยกทัพผู้เชี่ยวชาญและแบบประกันชีวิตดีๆ ที่ถูกออกแบบมาด้วยความใส่ใจ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ที่บูธ P4 กรุงเทพประกันชีวิต ในงานมนุษย์ต่างวัย Fest 2025: ชีวิตดี…ชีวิต ซีซัน 2 It’s Okay To Be You ระหว่างวันที่ 21-22 มิถุนายน 2568 ณ IMPACT Exhibition Center Hall 8 นอกจากนี้ ยังพบกับกิจกรรมเวิร์กช็อป “My Financial Blueprint” พิมพ์เขียวทางการเงินในแบบของตัวเอง โดย อาจารย์รัก ดร.อัจฉรา โยมสินธุ์ อาจารย์จากสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ที่จะมาถอดรหัสสถานะทางการเงินของคุณ เพื่อสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคง กิจกรรม “Wellness Check-up” ทำแบบทดสอบสุขภาพการเงิน เพื่อค้นหาเป้าหมายที่ใช่ และพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญการวางแผนตามเป้าหมายชีวิต และไฮไลท์เด็ด “Ask the Expert” เปิดให้คำปรึกษา วิเคราะห์และบริหารการเงินแบบตรงจุด กับนักวางแผนการเงินมืออาชีพ Certified Financial Planner - CFP® ลงทะเบียนจองเวลารับคำปรึกษาล่วงหน้าได้ที่ https://bla.bangkoklife.com/AsktheExpert พิเศษภายในงาน เพียงซื้อประกันชีวิตแบบใดก็ได้ (ยกเว้นแบบประกันยูนิต ลิงค์) พร้อมชำระเบี้ยประกันภัยปีแรกแบบรายปี และดาวน์โหลด ลงทะเบียน และเข้าใช้งานแอป BLA Happy Life ภายในวันที่ 31 ก.ค. 68 รับของสมนาคุณทันที 3 ต่อ กระเป๋าช้อปปิ้ง และบัตรกำนัล พร้อมสิทธิ์ลุ้นรางวัล รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท

19 Jun 2025

...

นางมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. โดยศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีด้านการประกันภัย (CIT) เดินหน้าส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมประกันภัยไทย ผ่านโครงการ OIC InsurTech Award อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และทักษะด้านเทคโนโลยีประกันภัยแก่กลุ่มนิสิต นักศึกษา บุคลากรในธุรกิจประกันภัย กลุ่ม Tech Firm Tech Startup และประชาชนทั่วไป โดยมีเป้าหมายในการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีประกันภัยที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และยกระดับคุณภาพของระบบประกันภัยของประเทศไทยให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้เป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาได้แสดงศักยภาพผ่านการแข่งขันและการนำเสนอแนวคิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีประกันภัย ซึ่งหลายผลงานสามารถต่อยอดไปใช้จริงในภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในเฟสแรกของกิจกรรม OIC InsurTech Roadshow ได้ลงพื้นที่มหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เพื่อถ่ายทอดความรู้เรื่องการประกันภัย วงจรธุรกิจประกันภัย และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในอุตสาหกรรมประกันภัย โดยได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารสถาบันการศึกษาอย่างดียิ่ง และมีนิสิตนักศึกษาเข้าร่วมกว่า 500 ราย พร้อมทั้งจัดเวทีบรรยายให้ความรู้ในหัวข้อ “Insurance Value Chain : Transforming Insurance with Technology” และกิจกรรม Workshop สร้างสรรค์และระดมความคิดนวัตกรรม พร้อมบอกเล่าเทคนิคการจัดทำ Pitch Deck และ Business Model Canvas เพื่อเตรียมความพร้อมสู่เวทีประกวด OIC InsurTech Award 2025 มุ่งเฟ้นหานักพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีประกันภัยรุ่นใหม่และกระตุ้นความตื่นตัวในกลุ่มนักศึกษาอย่างแท้จริง สำหรับในส่วนของโครงการ OIC InsurTech Roadshow เฟสที่ 2 ขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งสร้างความตระหนักรู้ และส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยในทุกภาคส่วนของประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ โดยได้เปิดรับสมัครผลงานเพื่อเข้าร่วมการประกวด OIC InsurTech Award 2025 ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์  https://cit.oic.or.th/insurtechaward2025.html “สำนักงาน คปภ. ขอขอบคุณคณะผู้บริหารและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมถึงวิทยากรและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่มีส่วนสนับสนุนให้กิจกรรม Roadshow ครั้งนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สำนักงาน คปภ. มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความรู้และแรงบันดาลใจที่ได้จากกิจกรรมนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีประกันภัยใหม่ ๆ ที่สามารถพลิกโฉมและยกระดับอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน” ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กล่าวในตอนท้าย

19 Jun 2025

...

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยตัวเลขความก้าวหน้าบทบาทธนาคารเพื่อสังคม ในการสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงินแก่คนไทยกลุ่ม Unserved – Underserved ที่ยังมีการพึ่งพาแหล่งเงินนอกระบบด้วยมีข้อจำกัดด้านประวัติการเงินส่วนบุคคล และการให้สินเชื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่กลุ่มเปราะบาง โดยคาดว่าภายในปี 2568 ธนาคารจะสามารถปล่อยสินเชื่อช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ได้กว่า 1 ล้านรายตามเป้าหมาย รวมถึงความสำเร็จด้านการแก้หนี้ที่คาดว่าจะมีลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลือผ่านมาตรการต่าง ๆ ที่ธนาคารริเริ่มดำเนินการ และที่เป็นมาตรการตามนโยบายรัฐบาล รวมแล้วเป็นจำนวนกว่า 920,000 บัญชีลูกหนี้  สำหรับนวัตกรรมการเงินเพื่อสังคมของธนาคาร ที่ช่วยสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงิน ประกอบด้วย 1) สินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาส สำหรับผู้ไม่มีประวัติเครดิตการเงิน อนุมัติแล้ว 150,000 ราย 2) สินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ อนุมัติแล้ว 240,000 ราย 3) สินเชื่อต้อนรับเปิดเทอม อนุมัติแล้ว 110,000 ราย รวมถึงการให้สินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อย/ฐานราก ได้แก่ สินเชื่อธนาคารประชาชน สินเชื่อฉุกเฉินเพื่อผู้ประสบภัยพิบัติ อนุมัติแล้ว 120,000 ราย รวมจำนวนผู้ได้รับสินเชื่อแล้วทั้งสิ้น 620,000 ราย (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2568) ทั้งนี้ ธนาคารคาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางได้ตามเป้าหมาย 1 ล้านราย ภายในปี 2568 นี้ ด้านภารกิจการแก้หนี้ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ผ่านหลากหลายโครงการ อาทิ โครงการคุณสู้ เราช่วย ซึ่งธนาคารเป็นผู้มีบทบาทหลักในการขับเคลื่อนตามนโยบายกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งเป้าช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย/SMEs ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางของสถาบันการเงินของรัฐ และลูกหนี้กลุ่ม Non-Bank โดยสามารถช่วยเหลือลูกหนี้แล้วกว่า 190,000 ราย จำนวน 300,000 บัญชีลูกหนี้ คิดเป็น 33% ของผู้ลงทะเบียนที่เป็นลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันทั้งระบบ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568) นอกจากนี้ยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ธนาคารดำเนินการต่อเนื่อง อาทิ การลดเงินงวด-ขยายระยะเวลาผ่อนชำระของลูกหนี้สถานะปกติ / การลดเงินงวด-ลดดอกเบี้ย-ขยายระยะเวลาผ่อนชำระของลูกหนี้สถานะ NPLs / การบรรเทาภาระหนี้แก่ผู้ประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหว รวมช่วยเหลือบรรเทาภาระลูกหนี้แล้ว จำนวนกว่า 119,000 บัญชี ทั้งนี้ ธนาคารอยู่ระหว่างเตรียมการช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยทำโครงการแก้หนี้ NPLs วงเงินต่ำกว่า 1 แสนบาท ประกอบด้วยการยกหนี้ให้ลูกหนี้สินเชื่อสู้ภัยโควิด และการปิดบัญชีตัดหนี้สูญ (Write Off) รวมจำนวนกว่า 500,000 บัญชี ภายในเดือนกรกฎาคม 2568 นี้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาและลดภาระหนี้แก่ลูกหนี้รวมทุกมาตรการได้กว่า 920,000 บัญชี ทั้งนี้ ธนาคารออมสินพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ตามข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อสร้างผลลัพธ์ขยายผลการสร้าง Social Impact ในวงกว้างและหลากหลายมิติทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม

14 Jun 2025

...

SME D Bank ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดผลกระทบให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจากสถานการณ์เศรษฐกิจ คิกออฟโครงการ “SME D ให้ใจ ไปถึงถิ่น” ยกทัพทีมงานสาขา พร้อมหน่วยสนับสนุนจากทั่วประเทศ ลงพื้นที่พร้อมกันไปมอบบริการถึงสถานประกอบการ แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจ ตลอดเดือนมิถุนายน 2568  อำนวยความสะดวกพาเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ เพียง 3%ต่อปี และการพัฒนา ช่วยยกระดับเพิ่มศักยภาพธุรกิจ  นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย" (ธพว.) หรือ SME D Bank   กล่าวว่า  SME D Bank ขานรับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงการคลัง ที่ต้องการให้สถาบันการเงินของรัฐ เป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึง ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ  ทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกา การล้นทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ เป็นต้น  ดังนั้น SME D Bank จึงทำงานเชิงรุกด้วยการดำเนินโครงการ “SME D ให้ใจ ไปถึงถิ่น” ยกทัพทีมงานสาขา พร้อมทีมสนับสนุนจากทั่วประเทศ กระจายลงพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อไปมอบบริการสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีถึงสถานประกอบการ รวมถึง แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจสำคัญต่างๆ ทั่วประเทศ จังหวัดละ 4-5 จุด  ตลอดเดือนมิถุนายน 2568 โดยกำหนดคิกออฟพร้อมกันในวันที่ 7 มิถุนายน 2568      ทั้งนี้ พร้อมให้บริการ ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ของธนาคารในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิดและทั่วถึงมากที่สุด  ประกอบด้วยบริการพาถึงเงินทุน ผ่านโครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) วงเงินรวมกว่า 30,000 ล้านบาท ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจและทุกความต้องการเอสเอ็มอีไทย จุดเด่นอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3% ปีแรก  ผ่อนนานสูงสุดถึง 10 ปี  และปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 12 เดือน สามารถแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ได้ทันที หากเอกสารพร้อม รู้ผลการพิจารณาภายใน 10 วันทำการ ประกอบด้วย 1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท  สนับสนุนผู้ประกอบการลงทุนติดตั้งระบบอุปกรณ์ โดยเฉพาะแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าพลังงาน และมุ่งสู่ธุรกิจสีเขียว   2.สินเชื่อ "ปลุกพลัง SME"  วงเงินกู้สูงสุด 1.5 ล้านบาท  สำหรับผู้ประกอบการรายเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท ช่วยต่อยอดเพิ่มสภาพคล่องในธุรกิจ และ 3.สินเชื่อ "Beyond ติดปีก SME"  วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 2 ล้านบาทขึ้นไป  เพื่อเพิ่มศักยภาพยกระดับการดำเนินธุรกิจ  และเสริมสภาพคล่องในธุรกิจ สำหรับวงเงิน 30,000 ล้านบาท ที่จะอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จะมีส่วนสำคัญผลักดันให้เอสเอ็มอียกระดับเพิ่มศักยภาพ  เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ ในทุกพื้นที่    ตั้งเป้าสนับสนุนเข้าถึงแหล่งทุนได้กว่า 14,000 กิจการ  รักษาการจ้างงานได้ประมาณ 198,000 คน และกระตุ้นเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 160,000 ล้านบาท      อีกทั้ง ยังสนับสนุนด้านการพัฒนา ผ่านแพลตฟอร์ม "DX by SME D Bank" ช่วยเสริมแกร่งครบวงจร สามารถสมัครใช้บริการได้ทันทีเช่นกัน  มีฟังก์ชันสำคัญ เช่น ระบบ  “Business Health Check”  ตรวจสุขภาพทางธุรกิจ  ระบบ E-Learning รวบรวมหลักสูตรความรู้สำคัญ ช่วยเพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ เรียนรู้ได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง ระบบ SME D Activity  สามารถจองเข้าร่วมกิจกรรมเติมความรู้ได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ระบบ SME D Coach มีโค้ชมืออาชีพคอยเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำธุรกิจ  ระบบ SME D Market ช่วยขยายตลาดด้วย E-marketplace หนุนจับคู่ธุรกิจ  และระบบ SME D Privilege  ที่มอบสิทธิประโยชน์พิเศษมากมาย การลงพื้นที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ธนาคารจะรับแจ้งความต้องการจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี  ผ่านการลงทะเบียนออนไลน์เพียงสแกน QR Code ด้วยสมาร์ตโฟน และกรอกข้อมูลเข้าระบบ ซึ่งข้อมูลจะถูกส่งไปยังสาขาธนาคารในพื้นที่ที่ผู้ประกอบการระบุทันที จากนั้น เจ้าหน้าที่สาขาจะติดต่อกลับ เพื่อดำเนินการตอบความต้องการต่างๆ ของผู้ประกอบการอย่างฉับไวที่สุด      นอกจากนั้น ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังสามารถแจ้งความประสงค์รับบริการด้านการเงินและการพัฒนาจาก SME D Bank  ได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น สาขาของ SME D Bank ทุกแห่งทั่วประเทศ  ,  LINE Official Account : SME Development Bank  และเว็บไซต์  www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

10 Jun 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner