Responsive image

Friday, 04 Jul 2025

หน้าแรก > ECONOMY- FINANCE / เศรษฐกิจ - การเงิน


บริการวิชาการ KBS- งานเชิงรุกในยุคเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว ผศ.ดร.โอปอล์ สุวรรณเมฆ กับการบริหารงานภายใต้หมวกสองใบ

Fri 08/04/2565


ศูนย์บริการวิชาการของคณะบริหารธุรกิจ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL Business School หรือ KBS) นับเป็นหน่วยงานที่มีความสำคัญด้วยบทบาทในด้านการบริการด้านวิจัยและเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรต่างๆ อีกทั้งยังเป็นหน่วยงานที่ได้รับการจัดวางเป้าหมายในการส่งเสริมและมุ่งสร้างสตาร์ทอัพให้เกิดขึ้น ที่ผ่านมาศูนย์บริการวิชาการ KBS ได้ส่งมอบบริการวิชาการและความรู้สู่องค์กรภายนอกผ่านโครงการจัดอบรม/สัมมนา และงานบริการวิชาการในรูปแบบต่าง ๆ ให้กับทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างหลากหลาย ภายใต้ทีมคณาจารย์และวิทยากรผู้ทรงความรู้ทั้งภายในคณะและต่างคณะในสถาบันฯ กระทั่งถึงวิทยากรรับเชิญจากภายนอก บนเป้าหมายเพื่อการพัฒนางานบริการความรู้และวิชาการเพื่อการตอบโจทย์และยกระดับการพัฒนาและนำไปใช้ได้จริง ภายใต้การบริหารงานของ ผศ.ดร.โอปอล์ สุวรรณเมฆ หัวหน้าศูนย์บริการวิชาการ คณะบริหารธุรกิจ และประธานหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจและการจัดการ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KBS - KMITL BUSINESS SCHOOL) ซึ่งได้เผยถึงนโยบาย เป้าหมาย กลยุทธ์ ตลอดจนจุดเน้นสำคัญของศูนย์ ฯ ในปีนี้คือ

หมวกใบแรก -งานบริหารศูนย์บริการวิชาการ KBS

ผศ.ดร.โอปอล์ สุวรรณเมฆ กล่าวถึงบทบาทในหน้าที่ของหัวหน้าศูนย์บริการวิชาการ คณะบริหารธุรกิจ ซึ่งมีพันธกิจ คือ การนำความหลากหลายของความเชี่ยวชาญจากอาจารย์ในคณะ ทั้งด้านบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์และการจัดการ ที่อยู่ภายใต้ KBS รวมถึงการทำงานร่วมกับศาสตร์ทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งถือว่าเป็นจุดแข็งของ สจล. มาผนึกกำลังเพื่อให้บริการทางด้านวิจัย การเป็นที่ปรึกษาให้กับองค์กรต่างๆ พร้อมกับการสร้างผู้ประกอบการรุ่นใหม่/สตาร์ทอัพให้เติบโต จัดอบรม/สัมมนาให้ความรู้สู่องค์กรภายนอก และบริการวิชาการให้กับชุมชนโดยเฉพาะกับชุมชนโดยรอบ สจล. ด้วยความร่วมมือกับสำนักงานเขตลาดกระบังอย่างต่อเนื่อง

3 งานสำคัญของงานบริการวิชาการ KBS

ความที่ KMITL เป็นมหาวิทยาลัยด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้การบริการวิชาการของเรามีความหลากหลายศาสตร์ทั้งบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ เทคโนโลยี โดยสามารถนำศาสตร์แต่ละศาสตร์มาผสมผสานกัน เพื่อให้บริการวิชาการแก่องค์กรภายนอก อย่าง การกีฬาแห่งประเทศไทย สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ กสทช  สถาบันพัฒนาบุคลากรท้องถิ่น ฯลฯ ซึ่งบางครั้งองค์กรเหล่านี้ไม่ได้ต้องการองค์ความรู้ด้านบริหารจัดการเพียงอย่างเดียว แต่ต้องการด้านไอที วิศวกรรมศาสตร์ เป็นต้น ซึ่งเราต้องประสานความร่วมมือไปยังส่วนงานวิชาการที่เกี่ยวข้อง

ในปีนี้ศูนย์บริการวิชาการยังมีบทบาทหน้าที่ใหม่ คือ เป็นผู้ประสานงานและดูแลนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 จากโรงเรียนต่างๆ 200 กว่าแห่งที่ สจล. มี MOU ในการเข้ามาศึกษาเพื่อเก็บรายวิชาก่อนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัยจริง เพื่อเปิดโลกให้นักเรียนได้เรียนรู้ก่อนที่จะเข้ามาศึกษาจริงในรูปแบบโครงการ Credit Bank

“เราพยายามสร้างโอกาส ให้น้องๆ ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพื่อให้เขามีโอกาสได้รู้จักตัวเองก่อนเข้าสู่รั้วมหาวิทยาลัย ศูนย์บริการวิชาการจะทำหน้าที่เป็นผู้ประสานงานไปยังโรงเรียนมัธยมศึกษาต่างๆที่มีความสนใจ ซึ่งแนวคิดนี้เป็นแนวคิดที่รองศาสตราจารย์ ดร.สุดาพร สาวม่วง คณบดีคนปัจจุบัน ได้ร่วมด้วยช่วยผลักดัน โดยปีนี้ KBS ได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการลงนามทำ MOU ระหว่าง สจล. กับโรงเรียน 200 กว่าแห่งผ่านระบบออนไลน์” 

สำหรับแผนในปี 2566 นอกจากการจับมือกับกลุ่มโรงเรียนต่างๆ แล้ว ศูนย์บริการวิชาการยังจับมือกับภาคเอกชนที่สนใจเรื่องสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะการประหยัดพลังงาน ให้กับลูกค้าองค์การ และภาคอุตสาหกรรม ในอันที่จะร่วมสนับสนุนการประหยัดค่าใช้จ่ายด้านไฟฟ้า

“พวกเขา อาจมองว่าการติดแผง ฯ ช่วยให้ประหยัดค่าไฟแล้ว แต่อาจไม่ได้คิดไปถึงคาร์บอนเครดิต ที่จะสร้างประโยชน์ได้มากมายด้วย ศูนย์บริการวิชาการจะให้ข้อมูลในการวางแผนการเปลี่ยนแปลง”

นอกจากนี้ จะผลักดันอาจารย์หน้าใหม่ๆ ของคณะบริหารธุรกิจให้เป็นที่รู้จักของบุคคลภายนอก โดยจะหาประเด็นน่าสนใจของงานท่านเหล่านั้นออกมาถ่ายทอดผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์  เพื่อให้คนรู้จักและติดตาม

ชูความเป็นผู้ประสานงานชั้นเลิศ

ผศ.ดร.โอปอล์ เผยต่อว่า นอกจากบทบาทของการสร้างงานแล้ว การเป็นผู้ประสานงานก็สำคัญไม่แพ้กัน เป็นผู้ประสานงานที่ เชื่อมคน เชื่อมศาสตร์ที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์สำคัญของลูกค้าที่กำหนดไว้ 

สำหรับตัวชี้วัดของศูนย์บริการวิชาการ คือ รายได้ของการให้บริการด้านวิชาการ และการเพิ่มขึ้นของจำนวนผู้ประกอบการรุ่นใหม่/สตาร์ทอัพ ซึ่งที่ผ่านมารายได้ของศูนย์บริการวิชาการสามารถผ่านเป้าที่วางไว้ได้ โดยรายได้ของศูนย์บริการวิชาการปี 2564 เพิ่มขึ้นอีกร้อยละ 50 จากปี 2563 อยู่ที่ 30 ล้านบาท สำหรับปี 2565 เราตั้งใจที่จะทำให้ได้มากขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา  รายได้ของศูนย์บริการวิชาการมาจากการได้รับความไว้วางใจจากหน่วยงานที่คณาจารย์ของคณะได้ไปบริการวิชาการนั่นเอง สำหรับจำนวนผู้ประกอบการรุ่นใหม่/สตาร์ทอัพนั้นสามารถทำได้ตามเป้าที่วางไว้ เนื่องจากนักศึกษา KBS สนใจที่จะเรียนรู้ธุรกิจ และลงมือทำ เป็นพื้นฐานอยู่แล้ว

ประธานหลักสูตรฯ หมวกอีกใบของ ผศ.ดร.โอปอล์

นอกจากบทบาทหน้าที่หัวหน้าศูนย์บริการวิชาการแล้ว ผศ.ดร.โอปอล์ ยังสวมหมวกอีกใบในฐานะประธานหลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาขาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจและการจัดการ ซึ่งเป็นอีกหนึ่งหลักสูตรของ KBS ที่ได้รับความสนใจจากนักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ 6 เป็นอย่างดี

ผศ.ดร.โอปอล์ กล่าวว่า หลักสูตรวิทยาศาสตร์บัณฑิต สาชาวิชาเศรษฐศาสตร์ธุรกิจและการจัดการ เปิดมาได้ 5 ปีแล้ว นับเป็นหลักสูตรที่ได้รับความสนใจพอสมควร ไม่แพ้หลักสูตรบริหารธุรกิจไทย และบริหารธุรกิจนานาขาติ ที่เปิดรับนักศึกษามาก่อน หลักสูตรนี้เน้นการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์  คณิตศาสตร์และการจัดการสมัยใหม่  มาช่วยในการวางแผนและตัดสินใจทางธุรกิจ

โดยนักศึกษารุ่นแรกเพิ่งจบการศึกษาเมื่อปี 2564 ผู้จบในสาขาวิชานี้เข้าทำงานในสาย Supply Chain Management, เจ้าหน้าที่วิเคราะห์ข้อมูลฝ่ายขาย, เจ้าหน้าที่จัดซื้อ, AE Marketing, Finance & Accounting Analyst, ผู้ช่วยผู้จัดการ, เจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อมูล, เลขานุการ, เจ้าหน้าที่ประสานงานโครงการ และประกอบธุรกิจส่วนตัว เป็นต้น 

“หลักสูตรนี้เหมาะกับน้องๆ ที่ชอบเรื่องเศรษฐกิจ-สังคมรอบตัว ชอบตัวเลข และรู้จักการใช้ตัวเลขในการบริหารงาน เศรษฐศาสตร์เป็นเรื่องที่เขาเรียนมาตั้งแต่มัธยมแล้ว แต่ละปีหลักสูตรจะเปิดรับนักศึกษาปีละ 160 คน”

โดยในปีการศึกษา 2565 ได้มีการปรับหลักสูตรใหม่ เน้นเรื่อง Digital Economy เพิ่มมากขึ้น และเน้นเรื่องของเทคโนโลยีใหม่ๆ โดยมีการจับมือกับหน่วยงานภายนอกเพื่อพัฒนาหลักสูตรร่วมกัน เช่น ที่ผ่านมามีการจับมือกับไทวัสดุ นักศึกษาที่ได้ทุนการศึกษาจากที่นี่ ทำงานด้วย เรียนไปด้วย ตามตารางที่กำหนดไว้ การได้ทำงานกับไทวัสดุทำให้น้อง ๆ ได้ความรู้จากการลงมือทำจริง  ได้เรียนรู้ และได้ประสบการณ์ในการทำงานก่อนเรียนจบ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นการจัดรูปแบบการศึกษาที่คำนึงถึงทั้งความรู้ ทักษะ และประสบการณ์ไปอย่างครบพร้อม ตอบโจทย์ด้านอาชีพกับนักศึกษา ตอบโจทย์การผลิตบัณฑิตของ สจล และยังตอบโจทย์ให้กับภาคเอกชนควบคู่กัน

ทั้งหมดทั้งปวง มาจากค่านิยม จากวัฒนธรรมของ สจล. ทั้งของบุคลากรและนักศึกษา ที่เรียกว่า F-I-G-H-T สู้ ที่ไม่ใช่แค่สู้ แต่มาจาก Futurist-Ignite-Greatness-Honor และ Team Spirit

ด้วยบทบาทหน้าที่ทั้ง 2 ด้าน แม้จะดูหนักหนา แต่ สามารถสนุกกับการทำงานในทุกๆ วัน ให้เหมือนว่า “เล่น” กับงานให้เกิดความสนุก และไม่ลืมที่จะเติมพลังบวกให้ตัวเองบ่อย ๆ


Tags : ผศ.ดร.โอปอล์ สุวรรณเมฆ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง งานบริการวิชาการ KBS


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

  ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank  ร่วมงาน “มหกรรมการเงินหาดใหญ่” ครั้งที่ 15 (MONEY EXPO 2025 HATYAI) ระหว่างวันที่ 4-6 กรกฎาคม 2568 ณ บูธ F3 หาดใหญ่ฮอลล์ ชั้น 5 เซ็นทรัล หาดใหญ่ จ.สงขลา ยกขบวนผลิตภัณฑ์สินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทุกความต้องการผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไฮไลท์ คือ สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท ครอบคลุมทุกกลุ่มและทุกความต้องการเอสเอ็มอีไทย ควบคู่บริการพัฒนาธุรกิจ ผ่านแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” (dx.smebank.co.th)   ช่วยเสริมศักยภาพกิจการ ครบถ้วนในจุดเดียว ห้ามพลาด! พิเศษเฉพาะภายในงาน เมื่อยื่นขอสินเชื่อ และได้รับอนุมัติทุกวงเงิน รับโปรโมชันเสริมอีก 2 ต่อ ได้แก่ ต่อที่ 1 : ลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์สินเชื่อ (Front End Fee) สูงสุด 0.25% และต่อที่ 2 : รับบัตรกำนัล มูลค่า 500 บาท พร้อมเล่นเกม ลุ้นรับของที่ระลึกมากมาย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

03 Jul 2025

...

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารประสบความสำเร็จได้รับรางวัลระดับเอเชีย Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2025 สาขา Social Empowerment จาก MyMo Secure Plus นวัตกรรมความปลอดภัยบน Mobile Banking ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์ให้ลูกค้า บูรณาการร่วมกับ แคมเปญเตือนภัยมิจฉาชีพ เพื่อสื่อสารสร้างการรับรู้และเสริมภูมิคุ้มกันภัยทางการเงิน พร้อมกันนี้ ธนาคารออมสินยังได้รับรางวัลเกียรติคุณ Silver Emblem of Sustainability ในฐานะองค์กรที่มีความโดดเด่นและมุ่งมั่นในการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติจนได้รับรางวัล AREA มาแล้ว 5 ปี จาก Enterprise Asia องค์กรพัฒนาเอกชนชั้นนำที่ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการที่มีความรับผิดชอบในเอเชีย เพื่อเชิดชูและให้เกียรติองค์กรธุรกิจที่มีการดำเนินงานตามแนวทาง ESG และเป็นต้นแบบองค์กรชั้นนำในภูมิภาคเอเชียที่ขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ     ธนาคารออมสินถือเป็นธนาคารแรกที่พัฒนาโหมดปลอดมิจฉาชีพ ภายใต้ชื่อ MyMo Secure Plus เพื่อช่วยดูแลเงินฝากขั้นสูงสุดให้กับลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มที่ไม่รู้เท่าทันมิจฉาชีพที่เปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงตลอดเวลา ออกแบบโดยเน้นการทำธุรกรรมทางการเงินแบบจำกัดเฉพาะรายการที่จำเป็น อาทิ การโอนเงินไปยังบัญชีตนเองภายในธนาคารและต่างธนาคารที่ลงทะเบียนไว้ และการจำกัดวงเงินในการทำธุรกรรมต่อวัน ทั้งนี้ ธนาคารออมสินไม่เพียงพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นธนาคารแรกที่ดำเนินกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ (IMC) ผ่าน แคมเปญเตือนภัยมิจฉาชีพ ดำเนินการอย่างเข้มข้นผ่านช่องทางการสื่อสารที่ครบวงจร ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ สื่อนอกบ้าน หรืออินฟลูเอนเซอร์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางและครอบคลุมมากที่สุด เนื่องจากธนาคารตระหนักดีถึงความสูญเสียของประชาชนและวิกฤตของอาชญากรรมออนไลน์ที่นับวันจะทวีความรุนแรงจนกลายเป็นภัยคุกคามระดับประเทศ จึงเป็นความพยายามของธนาคารในการที่จะกระตุ้นเตือนให้ประชาชนรู้เท่าทันกลลวงและไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพทางการเงิน     รางวัลเกียรติคุณ Silver Emblem of Sustainability และ Social Empowerment ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงบทบาทของธนาคารออมสินในฐานะ Social Bank ที่ไม่เพียงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับการให้บริการลูกค้าเท่านั้น แต่ยังขับเคลื่อนการสร้าง Social Impact เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนช่วยบรรเทาปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ธนาคารยังคงยึดมั่นในหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบตามแนวทาง ESG เพื่อก้าวสู่เป้าหมายความยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม ตลอดจนเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว  

01 Jul 2025

...

นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร บันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลวันเฉลิมพระชนมพรรษา 28 กรกฎาคม 2568 เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ สถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 MCOT HD เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2568  

29 Jun 2025

...

  บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ร่วมออกบูทในงานมหกรรมจำหน่ายรถยนต์ครบวงจร FAST Auto Show Thailand 2025   ระหว่างวันที่ 2 – 6 กรกฎาคม 2568 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา ฮอลล์ EH 102 - 103  ในงานนี้ บริษัทฯ ได้จัดเต็มโปรโมชันสุดพิเศษ โดยมอบส่วนลดค่าเบี้ยประกันภัยสูงสุด 23% สำหรับผู้ที่ซื้อกรมธรรม์ใหม่ภายในงาน โดยมีทีมงานรับประกันภัยพร้อมบริการให้คำปรึกษา และคำแนะนำเกี่ยวกับแผนประกันภัยที่เหมาะสมกับความคุ้มครองที่หลากหลาย โดยนอกจากประกันภัยรถยนต์แล้วยังมีประกันอัคคีภัย ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันภัยการเดินทาง ประกันภัยสุขภาพ ประกันภัยโรคมะเร็ง และประกันภัยอื่นๆ ที่ให้ความคุ้มครองรองรับไลฟ์สไตล์ของลูกค้า นอกจากนี้ ยังสามารถผ่อนชำระเบี้ยประกันภัย ดอกเบี้ย 0% นาน 6 เดือน หรือ 10 เดือนผ่านบัตรเครดิตที่ร่วมรายการ พร้อมรับของที่ระลึกที่เตรียมไว้สำหรับงานนี้โดยเฉพาะ  พบกับกรุงเทพประกันภัยได้ที่บูท B11 ณ ศูนย์ประชุมนิทรรศการและการประชุม ไบเทค บางนา ฮอลล์ EH 102 - 103 ในวันที่ 2 - 6 กรกฎาคม 2568    

29 Jun 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner