Responsive image

Friday, 03 Jan 2025

หน้าแรก > BUSINESS-MARKETING/ธุรกิจ-การตลาด-ขายตรง-SME


เคทีซีโชว์กำไรสุทธิ 9 เดือน 5,414 ล้านบาท พอใจธุรกิจหลักขยายตัวชัด มุ่งขยายฐานสมาชิกคุณภาพ สร้างคุณค่าทุกการใช้จ่าย

Sun 06/11/2565


เคทีซีเดินเกมรุกหลังการปลดล็อคประเทศ และการจัดกิจกรรมทางเศรษฐกิจของภาครัฐเพื่อกระตุ้นการบริโภค ส่งผลตัวชี้วัดผลการดำเนินงานของบริษัทฯ ในธุรกิจหลักเป็นบวกตามเป้าหมาย โดยงบการเงินรวม 9 เดือนมีกำไรสุทธิ 5,414 ล้านบาท และกำไรสุทธิไตรมาส 3/2565 อยู่ที่ 1,773 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปี 2564 เท่ากับ 16.9% และ 34.6% ตามลำดับ มูลค่าพอร์ตสินเชื่อรวม 9 เดือนขยายตัว 11.5% อยู่ที่ 97,016 ล้านบาท ยอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต 9 เดือนโต 22.7% อยู่ที่ 169,033 ล้านบาท เดินหน้ากลยุทธ์สร้างความเชื่อมั่นผ่านการขยายฐานสมาชิกใหม่เข้าพอร์ตทุกธุรกิจ และการรักษาฐานสมาชิกเดิมด้วยกิจกรรมการตลาดที่ตรงกับความต้องการ เน้นพอร์ตลูกหนี้โตอย่างมีคุณภาพเป็นสำคัญ คาดสิ้นปีพอร์ตสินเชื่อรวมมีมูลค่ากว่า 1 แสนล้านบาท และมีประมาณการกำไรปี 2565 ที่สูงกว่าปีก่อนหน้า

นายระเฑียร  ศรีมงคล  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร “เคทีซี” หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เผยว่า “ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศมีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ภายหลังการทยอยเปิดเมืองของหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งการที่ไทยเปิดประเทศสู่สภาวะปกติ ความร่วมมือของภาครัฐและภาคเอกชนในการจัดกิจกรรมการตลาดและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ที่ส่งผลให้เศรษฐกิจกลับมาคึกคัก ต่อเนื่องถึงดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคขยับตัวสูงขึ้น ประชาชนมีกำลังซื้อและกล้าใช้จ่าย อย่างไรก็ตาม เคทีซียังคงติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด เนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจยังคงมีความเสี่ยงจากค่าครองชีพที่สูงขึ้น หนี้ภาคครัวเรือนและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับสูง”

“ในช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา ธุรกิจบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลระดับอุตสาหกรรมกลับมาเติบโตดี จากยอดลูกหนี้บัตรเครดิตและปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรรวมที่เพิ่มขึ้น โดยเคทีซีมีสัดส่วนลูกหนี้บัตรเครดิตเทียบกับอุตสาหกรรม 13.9% สัดส่วนลูกหนี้สินเชื่อบุคคลเทียบกับอุตสาหกรรม 3.9% ปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 22.3% (อุตสาหกรรมโต 24.1%) และมีส่วนแบ่งตลาดเท่ากับ 11.8%”

“ไตรมาส 3 ของปีนี้ นับเป็นช่วงเวลาที่ดีของเคทีซี เนื่องจากพอร์ตบัตรเครดิตและสินเชื่อบุคคลเติบโตได้สูงกว่าประมาณการ เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 สามารถขยายตัวอยู่ที่ 16.6% และ 7.9% ตามลำดับ โดยเฉพาะปริมาณการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตที่สูงขึ้นต่อเนื่องอย่างชัดเจน โดยยอดใช้จ่าย 9 เดือนขยายตัว 22.7% อยู่ที่ 169,033 ล้านบาท และคาดว่าสิ้นปี 2565 ปริมาณใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเคทีซีจะเติบโตมากกว่า 15% แม้ว่าจะยังคงเป้าหมายไว้ที่ 10% สำหรับธุรกิจสินเชื่อบุคคล เชื่อว่าสิ้นปีจะสามารถเติบโตได้ 7% ตามเป้าหมาย ขณะที่ธุรกิจสินเชื่อ เคทีซี พี่เบิ้ม และกรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง มีกระแสตอบรับที่ดี แม้ตัวเลขจะยังไม่เป็นไปตามที่ประเมิน โดยจะเร่งประสานความร่วมมือกับทุกฝ่าย เพื่อเพิ่มจำนวนลูกค้าและเพิ่มอัตราการขยายตัว โดยคาดว่าสิ้นปี 2565 มูลค่าพอร์ตลูกหนี้จะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท สำหรับสินเชื่อด้อยคุณภาพยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ”

 

 

 “ผลการดำเนินงานของเคทีซีในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา (สิ้นสุด ณ วันที่ 30 กันยายน 2565) เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2564 งบการเงินรวม มีกำไรสุทธิ 9 เดือน 5,414 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 16.9%) และไตรมาส 3/2565 เท่ากับ 1,773 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 34.6%) งบการเงินเฉพาะกิจการ มีกำไรสุทธิ 9 เดือน 5,421 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 17.0%) และไตรมาส 3/2565 เท่ากับ 1,800 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 35.7%) ฐานสมาชิกรวม 3,269,027 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้และดอกเบี้ยค้างรับรวม 97,016 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 11.5%) อัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพต่อเงินให้สินเชื่อรวม (NPL) 2.0% แบ่งเป็นพอร์ตสมาชิกบัตรเครดิต 2,534,226 บัตร เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้บัตรเครดิตและดอกเบี้ยค้างรับรวม 63,558 ล้านบาท NPL บัตรเครดิตอยู่ที่ 1.2% พอร์ตสมาชิกสินเชื่อบุคคลเคทีซี 734,801 บัญชี เงินให้สินเชื่อแก่ลูกหนี้สินเชื่อบุคคลและดอกเบี้ยค้างรับรวม 31,524 ล้านบาท  NPL สินเชื่อบุคคลอยู่ที่ 3.0% และพอร์ตลูกหนี้ตามสัญญาเช่ามูลค่า 1,934 ล้านบาท ยอดสินเชื่อลูกหนี้ใหม่ (New Booking) ของสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม” และกรุงไทยธุรกิจ ลีสซิ่ง (KTBL) เท่ากับ 804 ล้านบาท NPL ลูกหนี้ตามสัญญาเช่าอยู่ที่ 11.1%”

“เคทีซียังคงให้ความสำคัญในการรักษาคุณภาพพอร์ตสินเชื่อ โดยจะบริหารการตั้งสำรองและการตัดหนี้สูญให้เป็นไปตามลักษณะของพอร์ตที่ควรจะเป็น เมื่อมีการขยายพอร์ตสินเชื่อเพิ่มขึ้น ทำให้ในไตรมาส 3/2565 มีผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นขยายตัว 22.9% จากไตรมาส 2/2565 แต่ลดลง 1.2% เมื่อเทียบกับไตรมาส 3/2564 สำหรับรายได้รวมในไตรมาส 3/2565 เท่ากับ 5,887 ล้านบาท สูงขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 14.7% จากรายได้ดอกเบี้ยและรายได้ค่าธรรมเนียมที่เพิ่มขึ้น 8.5% และ 30.6% ตามลำดับ และหนี้สูญได้รับคืนจำนวน 857 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 17.0%) ในขณะที่รายได้รวม 9 เดือนของปีนี้อยู่ที่ 16,978 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.6% ในส่วนของค่าใช้จ่ายรวมในไตรมาส 3/2565 เท่ากับ 3,676 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 5.5% จากค่าใช้จ่ายในการบริหารที่เพิ่มขึ้น 11.3% ขณะที่ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นและต้นทุนทางการเงินลดลง 1.2% และ 0.5% ตามลำดับ สำหรับค่าใช้จ่ายรวม 9 เดือนของปีนี้อยู่ที่ 10,215 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.2%”

“ทั้งนี้ เคทีซีมีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยสำหรับ 9 เดือนเท่ากับ 12.4% และไตรมาส 3/2565 มีส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยเท่ากับ 13.1% เงินกู้ยืมทั้งสิ้น 57,137 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 12.9% เป็นโครงสร้างแหล่งเงินทุนจากเงินกู้ยืมระยะสั้นและระยาวในสัดส่วน 28% ต่อ 72% โดยมีวงเงินสินเชื่อคงเหลือ (Available Credit Line) จำนวน 23,899 ล้านบาท ต้นทุนการเงิน 2.4% และอัตราส่วนของหนี้สินต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 2.1 เท่า ต่ำกว่าภาระผูกพันที่กำหนดไว้ที่ 10 เท่า”

“สำหรับประกาศคณะกรรมการว่าด้วยสัญญา เรื่อง ให้ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์และรถจักรยานยนต์เป็นธุรกิจที่ควบคุมสัญญา พ.ศ. 2565 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ราวต้นเดือนมกราคม 2566 โดยกำหนดอัตราดอกเบี้ยเช่าซื้อสำหรับรถยนต์ใหม่ ไม่เกินอัตรา 10% ต่อปี รถยนต์ใช้แล้วไม่เกินอัตรา 15% ต่อปี และรถจักรยานยนต์ไม่เกินอัตรา 23% ต่อปี ซึ่งเป็นการควบคุมอัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อเช่าซื้อให้คิดอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Interest Rate) แบบลดต้นลดดอกนั้น จะไม่ส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของเคทีซี เนื่องจากธุรกิจสินเชื่อ “เคทีซี พี่เบิ้ม” เกือบทั้งหมด เป็นการปล่อยสินเชื่อในลักษณะของการจำนำทะเบียนรถ ทั้งนี้ สินเชื่อตามสัญญาเช่าในส่วนของกรุงไทยธุรกิจลีสซิ่ง (KTBL) มีการให้สินเชื่อเช่าซื้อรายย่อยอยู่บ้างแต่มีมูลค่าน้อยมาก จึงมีผลกระทบเพียงจำนวนจำกัด อย่างไรก็ตาม ด้วยผลของประกาศดังกล่าว พอร์ตเช่าซื้อในส่วนนี้คงจะเติบโตได้ช้าลง ในขณะที่ KTBL จะคงการปล่อยสินเชื่อในลักษณะของ Commercial Loan มากขึ้น ซึ่งเป็นสินเชื่อสำหรับรถบรรทุกขนาดใหญ่ที่ใช้ในภาคอุตสาหกรรม”

“นอกจากนี้ เคทีซียังคงดำเนินการเพื่อแบ่งเบาภาระสมาชิกที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2565 บริษัทฯ ได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ในทุกสถานะตามประกาศ ธปท. ฝนส.2 ว.802/2564 คงเหลือจำนวน 2,136 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 2.26% ของพอร์ตลูกหนี้รวม”


Tags : เคทีซี ระเฑียร ศรีมงคล เคทีซีกำไร 9 เดือนของปี 2565 เคทีซีกำไร เคทีซีผลประกอบการ KTC บัตรกรุงไทย


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

  บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล แรงงานต่างด้าวที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย ช่วยสร้างความมั่นคงด้านสุขภาพ ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ โดยให้ความคุ้มครองกรณีเข้ารักษาตัวแบบผู้ป่วยใน (IPD) สูงสุด 150,000 บาท และผู้ป่วยนอก (OPD) คุ้มครองสูงสุด 1,000 บาทต่อครั้ง และกรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ คุ้มครองสูงสุด 100,000 บาท (เบี้ยรักษาเท่ากันทุกช่วงอายุ) (ความคุ้มครองนี้เป็นไปตามเงื่อนไขกรมธรรม์) สำหรับรายละเอียดผลิตภัณฑ์หรือสนใจทำประกันภัยสุขภาพและอุบัติเหตุส่วนบุคคล สำหรับแรงงานต่างด้าว สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ ทิพยประกันภัย โทร. 1736 หรือ บริษัท ทีเคอาร์โบรกเกอร์เรจ จำกัด โทร. 093-036-2459

03 Jan 2025

...

บริษัท บริหารสินทรัพย์สุขุมวิท จำกัด (บสส.) หรือ SAM เปิดเผยว่า SAM ได้คัดสรรทรัพย์มือสองหรือทรัพย์สินรอการขาย (NPA) ในส่วนของทรัพย์เพื่อที่อยู่อาศัยบนทำเลดีทั่วประเทศ พร้อมปรับลดราคาพิเศษ จำนวน 18 รายการ มูลค่ารวม 60 ลบ.ไม่ว่าจะเป็น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮ้าส์ ห้องชุดพักอาศัย อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า เพื่อให้ผู้สนใจเข้าร่วมประมูลได้ในวันที่ 7 ม.ค. 2568 ทั้งนี้ ยังได้จัดโปรโมชัน “SAM ทรัพย์มือสองต้องบอกต่อ” เพียงแนะนำทรัพย์ SAM ให้กับเพื่อนหรือคนรู้จัก รับค่าแนะนำสูงสุดถึง 3 ล้านบาทต่อ 1 รายการ (เฉพาะทรัพย์ที่เข้าเงื่อนไข) และ SAM ยังร่วมกับธนาคารชั้นนำ ทั้งธนาคารกรุงเทพ ธนาคารยูโอบี ธนาคารทีเอ็มบีธนชาต (ttb) ธนาคารกสิกรไทย และธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เงื่อนไขเป็นไปตามที่ธนาคารกำหนด ตัวอย่างทรัพย์เด่นราคาพิเศษ 1.ทาวน์เฮ้าส์ 3 ชั้น 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ เนื้อที่ 27.7 ตร.ว. โครงการบ้านธรรมชาติ ถ.เพชรเกษม (ทล.4) แขวงบางแค เขตบางแค กรุงเทพฯ ทรัพย์ตั้งอยู่ในย่านที่อยู่อาศัย ใกล้โรงเรียนอนุบาลเด่นหล้า โรงพยาบาลบุญญาเวช ห้างบิ๊กซี ซูเปอร์เซ็นเตอร์ เพชรเกษม 1 ห้างเมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ เพชรเกษม และห้างโฮมโปร เพชรเกษม ราคาเริ่มต้น 3 ลบ. 2.อาคารพาณิชย์ 4 ชั้น มีชั้นลอย เนื้อที่ 25.3 ตร.ว. ถ.ติวานนท์ ต.บ้านใหม่ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี ทรัพย์ตั้งอยู่ในย่านที่อยู่อาศัย และพาณิชยกรรม การคมนาคมสะดวก สาธารณูปโภคครบครัน ใกล้โรงเรียนพระหฤทัยนนทบุรี โรงเรียนอนุบาลปาลินา ติวานนท์ และห้างโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ศรีสมาน จากราคา 6.3 ลบ.  ปรับลดลงมาประมาณ 6.7% เหลือราคาพิเศษเริ่มต้น 5.9 ลบ. 3.อาคารพาณิชย์ 2 ชั้น 3 ห้องนอน 2 นอน เนื้อที่ 39.6 ตร.ว. ถ.เทศบาลบำรุง ต.ท้ายช้าง อ.เมืองพังงา จ.พังงา ทรัพย์ตั้งอยู่ในย่านที่อยู่อาศัย และพาณิชยกรรม ใกล้สำนักงานเจ้าท่าภูมิภาค สาขาพังงา สหกรณ์ออมทรัพย์ครูพังงา สำนักงานการปฏิรูปที่ดินจังหวัดพังงา จากราคา 4.78 ลบ. ปรับลดลงมาประมาณ 12% เหลือราคาพิเศษเริ่มต้น 4.23 ลบ. 4.อาคารพาณิชย์ 4 ชั้น เนื้อที่ 24.3 ตร.ว. จากราคา 8.33 ลบ. ปรับลดลงมาประมาณ  9% เหลือราคาพิเศษเริ่มต้น 7.64 ลบ. และอาคารพาณิชย์ 4 ชั้น เนื้อที่ 20 ตร.ว.  จากราคา 8.5 ลบ. ปรับลดลงมาประมาณ 7.8% เหลือราคาพิเศษเริ่มต้น 7.88 ลบ. ทั้งสองทรัพย์ตั้งอยู่ในโครงการทรัพย์แสนล้าน ถ.ราชปาทานุสรณ์ ต.ป่าตอง อ.กะทู้ จ.ภูเก็ต  ใกล้สำนักงานเทศบาลเมืองป่าตอง โรงเรียนเทศบาลเมืองป่าตอง โรงพยาบาลป่าตอง สถานีตำรวจภูธรกระทู้  ห่างจากชายหาดป่าตองเพียง 2 กม. เท่านั้น การจัดประมูลครั้งนี้มีทรัพย์เด่นที่น่าสนใจในทำเลทั่วประเทศอีกหลายรายการ ผู้สนใจเข้าร่วมประมูล ลงทะเบียนและยื่นซองประมูล พร้อมเอกสารประกอบการประมูล ครั้งที่ 14 ภายในวันที่ 30 ธ.ค. 2567 และ กำหนดเปิดซองประมูลวันที่ 7 ม.ค. 2568 เวลา 10.00 น. เป็นต้นไป ที่สำนักงานใหญ่ SAM อาคารซันทาวเวอร์ส ถ.วิภาวดีรังสิต กรุงเทพฯ  หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ Call Center 1443 / 02-686-1888 และดูรายละเอียดทรัพย์สินได้ทางเว็บไซต์ที่ www.sam.or.th  รวมทั้งช่องทางออนไลน์ที่หลากหลายและสะดวกรวดเร็ว โดยแอด ID Line @Samline ติดตาม Facebook Fanpage ทรัพย์มือสองต้อง SAM หรือ SAM NPA Channel บน YouTube เพื่อติดตามข้อมูลข่าวสารดี ๆ จาก SAM

26 Dec 2024

...

ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แจ้งเตือนกรณีที่มีลูกค้าได้รับเอกสารปลอมแอบอ้างชื่อและตราสัญลักษณ์ธนาคาร รวมถึงชื่อผู้จัดการ ธ.ก.ส. ส่งไปหลอกลวงลูกค้าประชาชนว่า ไม่สามารถโอนเงินเข้าบัญชีของลูกค้าได้ เนื่องจากกรอกเลขบัญชีธนาคารไม่ถูกต้อง ทำให้บัญชีถูกอายัด พร้อมกับหลอกให้แก้ไขด้วยการโอนเงินล่วงหน้าไว้ในบัญชีตามจำนวนที่มิจฉาชีพกำหนด หรือให้สแกน QR CODE เพื่อทำการปลดล็อคระบบ จึงจะสามารถเบิกถอนเงินกู้ได้ หากไม่ทำตามจะมีโทษ อาทิ ติดแบล็คลิสต์ ถูกยึดทรัพย์ ปรับเงิน และจำคุกด้วยนั้น ธ.ก.ส. ขอเรียนว่า เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารปลอม ซึ่ง ธ.ก.ส. ไม่ใช่ผู้จัดทำ และไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการกระทำดังกล่าว จึงขอให้เกษตรกรลูกค้า ประชาชนทั่วไปอย่าหลงเชื่อ และอย่าให้ข้อมูลหรือทำตามที่มิจฉาชีพแจ้งโดยเด็ดขาด และยืนยันว่าธนาคารไม่มีนโยบายในการส่งเอกสารให้ลูกค้าดำเนินธุรกรรมในลักษณะนี้ ซึ่งธนาคารจะรวบรวมข้อมูลและดำเนินการเอาผิดตามขั้นตอนทางกฎหมายกับมิจฉาชีพที่แอบอ้างธนาคารหลอกลวงลูกค้าต่อไป ทั้งนี้ หากลูกค้าได้รับเอกสารในลักษณะเดียวกันนี้ สามารถตรวจสอบข้อมูลได้ที่ BAAC ศูนย์รับแจ้งเหตุภัยทางการเงินจากมิจฉาชีพ Call Center : 02 555 0555 กด 111 ได้ตลอด 24 ชม. หรือ สามารถใช้บริการทางการเงินที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยกับ ธ.ก.ส. ได้ที่แอปพลิเคชัน BAAC Mobile และติดตามข้อมูลและข่าวสารด้านผลิตภัณฑ์และบริการผ่านช่องทางการสื่อสารหลักของธนาคาร ได้แก่ เว็บไซต์ www.baac.or.th Facebook Page “ธกส BAAC Thailand” LINE Official: @baacfamily และ TikTok: @baacthailand     

25 Dec 2024

...

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มขยายตัวที่ 3% ด้วยแรงขับเคลื่อนจากอุปสงค์ในประเทศที่ฟื้นตัวต่อเนื่องจากการใช้จ่ายภาครัฐ การลงทุน และการบริโภค ควบคู่กับความต้องการจากต่างประเทศในภาคการท่องเที่ยวและการส่งออกซึ่งมีแนวโน้มขยายตัว เป็นผลจากเศรษฐกิจโลกขยายตัวต่อเนื่อง  โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกปี 2568 จะขยายตัว 3.2% (เท่ากับปี 2567) และการค้าโลกปี 2568 จะขยายตัว 3.4% (สูงกว่าค่าเฉลี่ย 10 ปีที่ราว 2.8%) ตลาดที่มีศักยภาพ ได้แก่ ตลาดเกิดใหม่ อาทิ อินเดีย CLMV (กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม) อาเซียน 5 ประเทศ และตะวันออกกลาง ซึ่งมีแนวโน้มขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี 2568 สูงถึง 6.5%, 5.3%, 4.5% และ 3.8% ตามลำดับ ทำให้คาดว่าการส่งออกไทยปี 2568 จะขยายตัว 3% สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าเกษตรและอาหาร และสินค้าไลฟ์สไตล์ เช่น เครื่องสำอาง อาหารสัตว์เลี้ยง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องจับตา ได้แก่ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะในตะวันออกกลางที่อาจส่งผลให้ค่าระวางและราคาน้ำมันผันผวน ความผันผวนของค่าเงิน และสงครามการค้ารอบใหม่ (Trade War 2.0) เป็นผลจากนโยบายการขึ้นภาษีนำเข้าจากประเทศต่าง ๆ ของว่าที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า ในปี 2568 EXIM BANK ในฐานะสถาบันการเงินเฉพาะกิจภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการคลัง จะเป็นผู้นำผู้ประกอบการไทยรุกตลาดการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ  โดยส่งเสริมการส่งออกและการลงทุนในธุรกิจที่ไทยมีศักยภาพ สอดรับกับเทรนด์ผู้บริโภคในโลกการค้ายุคใหม่ ได้แก่ 1.สินค้าตอบโจทย์ความมั่นคงด้านอาหาร (Food for Security) ซึ่งประเทศไทยอยู่ในอันดับ 10 ของประเทศผู้ผลิตอาหารต่อคนมากที่สุดในโลก สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ ทูน่ากระป๋องและไก่แปรรูป น้ำตาลทราย และซาร์ดีนกระป๋อง 2.สินค้ารักษ์โลก (Good for Planet) สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ เม็ดพลาสติกชีวภาพ (Polylactic Acid : PLA) และแผงโซลาร์เซลล์ 3.สินค้าและบริการที่สร้างความสุขหรือประสบการณ์ใหม่ (Mood for Joy) สินค้าไทยที่ได้รับความนิยมในตลาดโลก ได้แก่ อาหารสัตว์เลี้ยง เครื่องประดับเงิน เครื่องสำอาง สบู่ และผลิตภัณฑ์รักษาผิว ธุรกิจการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ นอกจากนี้ สินค้าที่มีโอกาสเติบโตในปี 2568 ได้แก่ สินค้าที่ได้รับผลดีจากนโยบายของว่าที่ประธานาธิบดีทรัมป์ได้แก่ สินค้าเครื่องปรับอากาศและหม้อแปลงไฟฟ้าที่ไทยอาจสามารถกลับมาช่วงชิงส่วนแบ่งตลาดในสหรัฐฯ ได้เพิ่มขึ้น หากสหรัฐฯ เรียกเก็บภาษีนำเข้าจากจีนและประเทศอื่นๆเพิ่มขึ้นตามที่ได้เคยประกาศนโยบายไว้   ดร.รักษ์ กล่าวว่า ในปี 2568 EXIM BANK จะเดินหน้าบทบาท Green Development Bank นำทัพผู้ประกอบการไทยขับเคลื่อนสังคมคาร์บอนต่ำและสร้างโลกที่ยั่งยืน มุ่งสู่เป้าหมายเพิ่มสัดส่วนสินเชื่อสนับสนุนธุรกิจที่คำนึงถึงสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการที่ดี (Environmental, Social, and Governance : ESG) เป็น 40% ภายในปี 2568 พร้อมเปิดตัวบริการใหม่ด้านวาณิชธนกิจ เป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า ศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ จัดหาเงินทุนสำหรับโครงการ รวมถึงค้ำประกันหุ้นกู้ (Bond Guarantee) แก่ผู้ประกอบธุรกิจที่คำนึงถึง ESG ขณะเดียวกัน EXIM BANK สนับสนุนธุรกิจส่งออกและการลงทุนที่ขับเคลื่อนการพัฒนาอย่างยั่งยืน นำพาธุรกิจไทยทุกขนาดเข้าสู่ Green Export Supply Chain และมุ่งสู่เป้าหมายธนาคารด้านความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ภายในปี 2570 และการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Emissions) ภายในปี 2593 โดยสอดคล้องกับความต้องการของโลกในการสนับสนุนทางการเงินเพื่อจัดการกับปัญหาการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) ซึ่งประเมินว่าสูงถึง 8.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี แต่ตัวเลข Climate Finance ปี 2565 มีอยู่เพียง 1.4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี เท่ากับว่ายังขาดเม็ดเงินอีกมูลค่ามหาศาลในการจัดการกับปัญหาดังกล่าว   ในการดำเนินบทบาท Green Development Bank ณ สิ้นเดือนพฤศจิกายน 2567 EXIM BANK มียอดสินเชื่อคงค้างและภาระผูกพัน 179,316 ล้านบาท และคาดว่าจะสูงกว่า 190,000 ล้านบาทภายในสิ้นปี 2567 เพิ่มขึ้น 6.8% จาก 177,932 ล้านบาท ณ สิ้นปี 2566 ขณะที่สินเชื่อที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL Ratio) คาดว่าจะอยู่ที่ 3.49% ลดลงถึง 1.2% เมื่อเทียบกับสิ้นปีก่อน เป็นผลจากการติดตามคุณภาพสินเชื่ออย่างใกล้ชิดของธนาคาร ทำให้คาดว่า ณ สิ้นปี 2567 EXIM BANK จะสามารถทำกำไรสุทธิได้สูงกว่า 1,000 ล้านบาท “ปี 2568 เป็นปีที่เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบคู่ที่ทำงานพร้อมกันทั้งจากอุปสงค์ภายในและภายนอกประเทศ ขณะที่โอกาสของธุรกิจไทยยังมีอยู่อีกมากในตลาดเกิดใหม่ โดยเฉพาะธุรกิจที่สามารถพัฒนาสินค้าหรือบริการตอบโจทย์เทรนด์ของตลาดโลกได้ EXIM BANK จึงเร่งเดินหน้าขับเคลื่อนการส่งออก ด้วยนวัตกรรมทางการเงินที่จะช่วยเสริมหรือติดอาวุธให้ผู้ประกอบการแข่งขันได้มากขึ้นในเวทีโลก นำพาธุรกิจไทยสู่ความยั่งยืน ท่ามกลางความไม่แน่นอนในตลาดการค้าโลกปัจจุบัน”  ดร.รักษ์ กล่าว  

20 Dec 2024

Banner
เอไอเอ ประเทศไทย ส่งแคมเปญ “เจอโรคร้าย ตกใจแค่แป๊ปเดียว” ให้คนไทยอุ่นใจหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด ด้วยความคุ้มครองโรคร้ายแรงที่ทุกคนเลือกได้ เอไอเอ ประเทศไทย ผู้นำในตลาดประกันชีวิต สุขภาพ และโรคร้ายแรง ส่งแคมเปญ “เจอโรคร้าย ตกใจแค่แป๊บเดียว” โดยมาจากความเข้าใจในความต้องการและความรู้สึกของลูกค้าในเวลาที่ตรวจพบว่าเป็นโรคร้ายแบบไม่คาดคิด  ซึ่งมาพร้อมกับความ “ตกใจ” และ “กังวลใจ” ถึงค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาล และภาระต่าง ๆ ที่ตามมา รวมถึงอนาคตของคนในครอบครัว เพราะปัจจุบันการรักษาพยาบาลโรคร้ายแรงมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก เนื่องมาจากเทคโนโลยีทางการแพทย์ และความซับซ้อนของโรค เอไอเอ จึงมุ่งสนับสนุนให้ทุกคนตระหนักถึงความจำเป็นของการมีความคุ้มครองโรคร้ายแรงที่เพียงพอและเหมาะสม เพื่อให้ชีวิตของทุกคนยังคงดำเนินต่อไปได้แบบไม่สะดุด พร้อมส่งเสริมให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ นอกจากนี้ เอไอเอ ยังได้เปิดตัวหนังโฆษณา “เจอโรคร้าย ตกใจแค่แป๊บเดียว” ผ่านสตอรี่สุดฉีก จับโมเมนต์ร้อง ห๊ะ!!! ในวินาทีแรกเมื่อเจอโรคร้าย เผยความกังวลสุดฮิตให้พรั่งพรู ก่อนรีบคัทฟีลให้คุณสบายใจ…เพื่อบอกคนไทยว่า ความ “ตกใจ” เหล่านั้นจะอยู่กับคุณแค่ “แป๊บเดียว” หากมีประกันโรคร้ายแรงเอไอเอไว้ก่อน โดยสามารถรับชมหนังโฆษณาได้แล้ววันนี้ผ่านสื่อต่างๆ ทั้งทีวี โรงภาพยนต์ และออนไลน์ของเอไอเอ ประเทศไทย ทั้ง AIA Official Facebook Page, AIA Thailand YouTube Channel และ Line Official Account สามารถคลิกลิงก์ https://youtu.be/mhxIKdZ5ECY เพื่อรับชม พิเศษยิ่งกว่าสำหรับแคมเปญ “เจอโรคร้าย ตกใจแค่แป๊บเดียว” ยังมีโปรโมชันและสิทธิพิเศษให้กับลูกค้าที่สนใจซื้อประกันโรคร้ายแรงตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2567  โดยเอไอเอ ได้รวมแพ็กประกันโรคร้ายแรงตัวท็อป ถึง 10 แผนมาให้ลูกค้าได้เลือกให้ตรงกับความต้องการและเหมาะสมกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็น อาทิ ‘AIA CI Plus ประกันโรคร้ายแรง เจอ-จ่าย-จบ’ ที่ให้เงินก้อนไว้ใช้รักษา ‘AIA Multi-Pay CI Plus ประกันโรคร้ายแรง เจอ-จาย-หลายจบ’ ที่ให้เคลมได้รวมสูงสุดถึง 11 ครั้ง และ ‘AIA Care For Cancer ประกันชดเชยรายได้’ สำหรับการรักษาตัวในโรงพยาบาล เนื่องจากป่วยเป็นโรคมะเร็ง ทั้งนี้ ลูกค้ายังมีสิทธิพิเศษมากมาย เมื่อเข้าร่วมแคมเปญ ต่อที่หนึ่ง รับฟรีกระเป๋า AIA X ARTSTORY By Autistic Thai มูลค่า 250 บาท เมื่อมีเบี้ยประกันภัยรวมต่อปีขั้นต่ำ 25,000 บาท* และต่อที่สอง รับเพิ่มบัตรของขวัญ Lotus’s มูลค่า 1,000 บาท เมื่อมีเบี้ยประกันภัยรวมต่อปีขั้นต่ำ 55,000 บาท* และพิเศษถ้าซื้อประกันสุขภาพที่ร่วมโครงการฯ รับเพิ่มบัตรของขวัญ Lotus’s มูลค่าสูงสุด 1,000 บาทอีกด้วย เมื่อมีเบี้ยประกันภัยรวมขั้นต่ำ 25,000 บาท* ซึ่งทุกคนสามารถเข้าร่วมแคมเปญได้ง่าย ๆ เพียงลงทะเบียนผ่านเว็บไซต์ และซื้อประกันโรคร้ายแรงที่เข้าร่วมแคมเปญ** ตั้งแต่วันนี้ ถึง 31 ธันวาคม 2567 โดยสามารถศึกษารายละเอียดแคมเปญได้ที่เว็บไซต์ https://www.aia.co.th/th/events-promotions/promotions-rewards/dmtquarterly สนใจสามารถติดต่อตัวแทนเอไอเอ หรือ AIA Call Center 1581
อ่านต่อ...
Banner Banner Banner Banner Banner Banner

Banner
  ทิศทาง ceothailand.net ในปี 2567  “สื่อออนไลน์ CEO THAILAND”   ในปี 2567 จะเป็นปีที่ผม “นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์” จะมาทำหน้าที่บรรณาธิการบริหารสื่อ CEO THAILAND และผู้บริหารสื่อออนไลน์ ceothailand.net อย่างเต็มที่ หลังจากที่ผ่านมาได้ไปเดินแผนงานทางด้านการเมือง แต่หลังจากผ่านพ้นช่วงการเลือกตั้งไปแล้วที่ผ่านมา จึงทำให้ช่วงเวลานี้มีเวลาที่จะมาวางแผนในการเดินหน้าธุรกิจสื่อได้มากขึ้น และในช่วงระยะเวลา 1-2 ปีนับจากนี้ จึงขอเข้ามารับหน้าที่สื่อมวลชน ในการเขียนบทวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ เรื่องราวในแวดวงเศรษฐกิจ-การเงิน และการประกันภัย ในฐานะของคอลัมนิสต์ ตลอดเวลาที่ผมเข้าไปทำงานทางการเมือง ต้องยอมรับว่าวงการข่าวและสื่อสารมวลชนเปลี่ยนไปเร็ว ตลอดเวลา 5 ปี  สื่อออนไลน์ที่รวดเร็วเข้ามาแทนที่สื่อหลักอย่างสื่อสิ่งพิมพ์ (ออฟไลน์)  เราต้องยอมรับในเรื่องความรวดเร็ว แต่ต้องไม่ลืมจุดด้อยของสื่อออนไลน์ คือข้อผิดพลาดในการกลั่นกรองข่าวสาร รวมทั้งบทวิเคราะห์ วิพากษ์วิจารณ์ที่หายไป และข่าวที่ออกมามีความเหมือนกัน  ไม่แตกต่าง และเป็นเชิงภาพข่าว และกิจกรรมเท่านั้น ดังนั้นในปี 2567 นี้  ในหน้าสื่อออนไลน์ CEO THAILAND ท่านผู้อ่านจะได้สัมผัสกับข่าวสารเชิงวิเคราะห์ เจาะลึกแบบออนไลน์ต่อเนื่องในสื่อ CEO THAILAND รวมทั้งการจัดทำเป็น E-Magazine ใน www.ceothailand.net รวมทั้งการจัดทำเป็นรูปเล่มฉบับพิเศษสลับไปบ้างในเรื่องที่สำคัญๆ น่าสนใจ และเป็นประโยชน์กับประชาชนและสังคม ขอขอบพระคุณท่านลูกค้าและผู้สนับสนุนสื่อด้วยดีเสมอมา ตลอดระยะเวลา 19 ปีที่ผ่านมา และขอขอบพระคุณทุกท่าน รวมทั้งผู้อ่านที่ติดตามสื่อ CEO THAILAND ด้วยดีเสมอมาใน www.ceothailand.net   นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา) บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner