Responsive image

Thursday, 18 Sep 2025

หน้าแรก > ECONOMY- FINANCE / เศรษฐกิจ - การเงิน


EXIM BANK จับมือ BOI ยกระดับความร่วมมือดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ พร้อมสนับสนุนการลงทุนตลอด Supply Chain สู่ความยั่งยืน

Sun 14/07/2567


ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (EXIM BANK) และนายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจ (MOU) เพื่อส่งเสริมและดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (Foreign Direct Investment : FDI) โดยให้การสนับสุนนทางการเงินแก่ผู้ประกอบการไทยที่ขอรับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI ตลอดห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) รวมถึงสนับสนุนผู้ประกอบการยกระดับประสิทธิภาพการผลิตและการดำเนินธุรกิจสู่เป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ปรับโมเดลธุรกิจ นำพาประเทศไทยเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ณ EXIM BANK สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม 2567

กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK เปิดเผยว่า ความร่วมมือครั้งนี้เพื่อสนับสนุนให้ผู้ประกอบการที่สนใจเข้ามาลงทุนในประเทศไทยหรือต้องการไปลงทุนในต่างประเทศเข้าถึงบริการทางการเงินที่ตอบโจทย์ตามความต้องการ และใช้ประโยชน์จากเครือข่ายของทั้งสองหน่วยงาน โดยเชื่อมโยงความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐ เอกชน สมาคมอุตสาหกรรม และบริการด้านอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อสนับสนุนการขยายธุรกิจ EXIM BANK พร้อมทำงานร่วมกับหน่วยงานพันธมิตร แลกเปลี่ยนข้อมูลด้านการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ให้คำปรึกษาแนะนำแก่ผู้ประกอบการในเครือข่ายสมาชิกหรือลูกค้าของแต่ละหน่วยงาน รวมถึงการจัดกิจกรรมต่าง ๆ เช่น การจับคู่ธุรกิจ (Business Matching) สัมมนาอบรมความรู้ด้านการค้าและการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ กิจกรรมแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เพื่อพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ ตลอดจนสนับสนุนเครื่องมือบริหารจัดการความเสี่ยงด้านการค้าและการลงทุน

ภายใต้ความร่วมมือครั้งนี้ EXIM BANK นำเสนอผลิตภัณฑ์ทางการเงินในอัตราดอกเบี้ยพิเศษแก่ผู้ประกอบการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจาก BOI และดำเนินธุรกิจเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ด้วยส่วนลดอัตราดอกเบี้ย 0.5% ต่อปีในปีแรก สำหรับสินเชื่อ EXIM Green Goal และสินเชื่อ EXIM Solar D-Carbon Financing สำหรับผู้ประกอบการที่ต้องการลงทุนระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ภายในกิจการ เช่น การติดตั้ง Solar Rooftop, Solar Farm และ Solar Floating พร้อมได้สิทธิในการขึ้นทะเบียนคาร์บอนและรับรองคาร์บอนเครดิต รวมถึงสินเชื่อ EXIM Extra Transformation สำหรับผู้ส่งออกในกลุ่มอุตสาหกรรม S-curve เพื่อยกระดับภาคการผลิตของไทย การลงทุนเพื่อซื้อหรือปรับปรุงเครื่องจักร อุปกรณ์ ต่อเติม/ปรับปรุง/ก่อสร้างอาคารโรงงาน พัฒนาหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติ เพื่อลดต้นทุนการผลิตและยกระดับกิจการ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีใหม่และการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตให้มีศักยภาพยิ่งขึ้น

นายนฤตม์ เปิดเผยว่า การลงนามใน MOU ระหว่าง BOI และ EXIM BANK ในวันนี้ ถือเป็นการผนึกกำลังและประสานจุดแข็งของทั้งสององค์กร เพื่อสนับสนุนผู้ประกอบการไทยที่ต้องการขยายการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ รวมถึงการดึงดูดกลุ่มนักลงทุนเป้าหมายจากต่างประเทศให้เข้ามาลงทุนในไทย โดย EXIM BANK เป็นธนาคารที่มีความเชี่ยวชาญด้านการค้าและการลงทุนระหว่างประเทศ รวมถึงมีผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่หลากหลาย ทั้งสินเชื่อในรูปแบบต่าง ๆ การประกันความเสี่ยง และบริการสนับสนุนการนำเข้า-ส่งออก ในขณะที่ BOI เป็นหน่วยงานส่งเสริมการลงทุนที่มีเครือข่ายนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติที่กว้างขวาง มีสำนักงานในต่างประเทศ 17 แห่ง และในภูมิภาค 7 แห่งที่พร้อมดูแลนักลงทุนในพื้นที่ อีกทั้งมีเครื่องมือสิทธิประโยชน์เพื่อส่งเสริมการลงทุนในด้านต่าง ๆ เช่น การยกเว้นอากรขาเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบ การยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล การอนุญาตให้ถือครองที่ดินเพื่อประกอบกิจการที่ได้รับการส่งเสริม การอำนวยความสะดวกด้านวีซ่าและใบอนุญาตทำงาน และเงินอุดหนุนผ่านกองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันฯ เป็นต้น

นอกจากนี้ BOI ยังมีการจัดกิจกรรมเพื่อพัฒนาผู้ประกอบการไทย เช่น หลักสูตรอบรม "สร้างนักลงทุนไทยในต่างประเทศ” ซึ่งได้จัดทุกปีรวมกว่า 21 รุ่น มีผู้ผ่านการอบรมแล้วกว่า 740 คน และออกไปลงทุนต่างประเทศแล้วกว่า 300 ราย รวมทั้งมีการจัดงาน Thai Subcontractor Exhibition (Thai Subcon) และ Sourcing Day ร่วมกับบริษัทชั้นนำจากทั่วโลก โดยเฉพาะในกลุ่มยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องจักร เพื่อส่งเสริมการยกระดับผู้ประกอบการไทยให้เข้าสู่ Supply Chain ระดับโลก

“BOI และ EXIM BANK มีภารกิจร่วมกันในการเสริมศักยภาพผู้ประกอบการไทยให้สามารถเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ทั้งในแง่การขยายกิจการในประเทศและการออกไปแสวงหาโอกาสทางธุรกิจในต่างประเทศ รวมถึงการสนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศเข้าสู่ประเทศไทย การผนึกกำลังความร่วมมือของ BOI และ EXIM BANK ในครั้งนี้จะช่วยประสานจุดแข็งของทั้งสององค์กร เพื่อผลักดันให้เกิดโครงการลงทุนต่าง ๆ ที่เป็นรูปธรรมและเป็นประโยชน์ต่อประเทศมากยิ่งขึ้น” นายนฤตม์ กล่าว

ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร กรรมการผู้จัดการ EXIM BANK กล่าวว่า EXIM BANK มุ่งสู่บทบาท Green Development Bank พร้อมเติมความรู้ เติมโอกาส และเติมเงินทุนให้ผู้ประกอบการไทยแข่งขันได้อย่างยั่งยืน และต่อยอดการพัฒนาอย่างยั่งยืนของไทยและโลกโดยรวม ผ่านบริการส่งเสริมการค้าและการลงทุน ทั้งการลงทุนของต่างประเทศในไทย (Foreign Direct Investment : FDI) และการลงทุนโดยตรงของไทยในต่างประเทศ (Thai Direct Investment : TDI) เพื่อร่วมขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีในภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้เกิดการจ้างงานและการพัฒนาทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม เสริมสร้างความแข็งแกร่งของผู้ประกอบการทุกระดับตลอด Supply Chain โดยเฉพาะ Green Export Supply Chain

 


Tags : EXIM BANK ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ดร.รักษ์ วรกิจโภคาทร นฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ BOI การลงทุนจากต่างชาติ Green Development Bank สนับสนุนการลงทุน สนับสนุนทางการเงิน


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสินเปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังเผชิญแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกที่ชะลอจากนโยบายภาษีทางการค้าและการท่องเที่ยวที่หดตัว ทั้งยังต้องเผชิญปัญหาโครงสร้าง อาทิ ภาวะหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินในระบบ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs ประชาชนกลุ่มฐานราก และผู้ประกอบการรายย่อย ธนาคารออมสินจึงเดินหน้ายุทธศาสตร์การเป็นธนาคารเพื่อสังคม ภายใต้ 4 ภารกิจหลัก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินและสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ให้กับประชาชนกลุ่มฐานรากและผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะบทบาทการสนับสนุนภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ธนาคารพร้อมเป็นเครื่องยนต์ทางการเงินในการให้ความช่วยเหลือและประคับประคองผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจ ให้ฟื้นตัวและก้าวข้ามช่วงเวลาที่ท้าทาย ธนาคารออมสินตระหนักถึงข้อจำกัดที่ผู้ประกอบการ SMEs ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการขาดสภาพคล่อง เงินทุนหมุนเวียน หรือภาระดอกเบี้ยที่สูง ธนาคารจึงพร้อมทำหน้าที่เป็น “แหล่งทุนต่อยอด” เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง เติมทุน และฟื้นฟูกิจการอย่างยั่งยืน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อในระบบด้วยเงื่อนไขที่เป็นธรรมและต่อเนื่อง ที่ผ่านมา ธนาคารได้ดำเนินโครงการสินเชื่อสำคัญหลายโครงการ เช่น สินเชื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ GSB D-Home สร้างบ้านเพื่อคนไทย วงเงิน 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 3.50% ต่อปี อนุมัติแล้ว 6,000 ล้านบาท โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up Plus วงเงิน 100,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี อนุมัติแล้ว 98,700 ล้านบาท   รวมถึงมีโครงการใหม่ ทั้ง Soft Loan เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย และโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องประมง ระยะ 3 วงเงินโครงการ 2,000 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประกอบการประมงและสนับสนุนนโยบายรัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ล่าสุด เตรียมออก Soft Loan เพิ่มเติม วงเงินโครงการ 100,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.01% ต่อปี ให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการนำไปปล่อยต่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3.50% ต่อปี ใน 2 ปีแรก เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและพัฒนาศักยภาพธุรกิจไทยให้เข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกัน ธนาคารยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย รวมถึงผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินมาก่อน โดย ณ 30 มิถุนายน 2568 ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการปล่อยสินเชื่อผ่าน 3 ภารกิจสำคัญแบ่งเป็น การสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินผ่านนวัตกรรมสินเชื่อเพื่อสังคมกว่า 680,000 ราย การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ช่วยลูกหนี้ไม่ให้เสียประวัติทางการเงินกว่า 800,000 ราย และการพัฒนาศักยภาพชุมชนผ่านการสร้างอาชีพ และส่งเสริมการออม โดยมีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 250,000 ราย   ธนาคารจะยังเดินหน้าขยายผลสร้าง Social Impact อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ผ่าน 4 ภารกิจหลัก ควบคู่กับการบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI เข้ามาช่วยยกระดับการดำเนินงานและการให้บริการทางการเงิน ไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ “AI Optimized Loan Processing and Underwriting” ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอนุมัติสินเชื่ออย่างรวดเร็วและแม่นยำ ตลอดจนลดระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อและต้นทุนการดำเนินงาน และ “AI Chatbot for Branch” ผู้ช่วยพนักงานสาขาในการค้นหาข้อมูลอย่างสะดวก รวดเร็ว และช่วยเพิ่มความแม่นยำในการให้บริการมากขึ้น โดยจะเริ่มใช้งานในไตรมาส 4 ของปีนี้ ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับบริการทางการเงินให้ครบวงจร และเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน    

18 Sep 2025

...

เอไอเอ ประเทศไทย สานต่อโครงการ “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยได้รับความร่วมมืออย่างต่อเนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดรับสมัครโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการเพื่อชิงรางวัลรวมกว่า 2 ล้านบาท และมีโอกาสได้เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติ เพื่อชิงรางวัลอีกกว่า 3.5 ล้านบาท รวมมูลค่ารางวัลสูงสุดถึง 5.5 ล้านบาท ตอกย้ำถึงพันธกิจ AIA One Billion ของเอไอเอ ที่มุ่งสนับสนุนเยาวชนและผู้คนในภูมิภาคเอเชียกว่าหนึ่งพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โครงการแข่งขัน “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” เป็นโครงการที่กลุ่มบริษัทเอไอเอ และเอไอเอ ประเทศไทย ริเริ่มขึ้นเพื่อมุ่งเสริมสร้างและปลูกฝังพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพของนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 5 - 16 ปี โดยมุ่งเน้นใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1) การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 2) การใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉง 3) การมีสุขภาพใจที่ดี และ 4) การดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน โดยปีที่ผ่านมา โครงการฯ ได้รับเสียงตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากโรงเรียนทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการจำนวนมากกว่า 1,100 โรงเรียน และส่งผลงานเข้าประกวดถึง 130 โรงเรียน ซึ่งมีโรงเรียนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศทั้งสิ้น 27 โรงเรียน โดยโรงเรียนที่ชนะระดับประถมศึกษา ได้แก่ โรงเรียนบ้านจันทัย จังหวัดอุบลราชธานี และโรงเรียนที่ชนะระดับมัธยมศึกษา ได้แก่ โรงเรียนเทศบาล 1 กิตติขจร จังหวัดตาก ซึ่งยังสามารถคว้ารางวัล ชนะเลิศด้านการดูแลสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จากเวทีระดับภูมิภาค สำหรับโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่สนใจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” ปีที่ 4  และดาวน์โหลดสื่อการสอนได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ www.ahs.aia.com/th/th/ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 10 มีนาคม 2569  

16 Sep 2025

...

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank โดยนายเขมชาติ อภิรัชตานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ  พร้อมผู้บริหาร และพนักงานธนาคาร เป็นตัวแทนเข้ารับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2568  จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภทเปิดใจใกล้ชิดประชาชน ระดับดี จากโครงการ “Smart SME : นวัตกรรมเพื่อผู้ประกอบการ SMEs สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน”  จากการดำเนินงานโดดเด่นตลอดปี 2567 ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มาสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้เข้าถึงบริการ “พัฒนาคู่เติมทุน” ช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ผลักดันธุรกิจเติบโต สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และวางรากฐานสู่ความยั่งยืน  เช่น มีแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank  เติมเต็มความรู้ครบวงจรได้ตลอด 24 ชม.  มีกระบวนการรับฟังเสียง เช่น  VOCs , Chatbot , Social Listening และระบบการจัดการความรู้ (KM Platform) บน Microsoft SharePoint เพื่อจัดเก็บและเผยแพร่องค์ความรู้ภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการเสริมสร้างวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Culture) ให้เกิดขึ้นในทุกระดับขององค์กร ผ่านกิจกรรมส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และการสื่อสารอย่างเป็นระบบ พร้อมขับเคลื่อนองค์กรภายใต้หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) มุ่งเน้นความโปร่งใส การมีส่วนร่วม และความรับผิดชอบ   สำหรับรางวัลเลิศรัฐ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อมอบรางวัลให้กับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่มีความโดดเด่น ในการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการ การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมและการบริหารจัดการภาครัฐเพื่อให้ภาครัฐพัฒนาไปสู่ความทันสมัย สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อระบบราชการและส่งผลให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีและเกิดความเชื่อมั่นในระบบราชการ  โดยปีนี้ (2568) ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ กรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ เป็นประธานในพิธีและมอบรางวัล  อีกทั้ง นายไมตรี อินทุสุต ประธานคณะทำงานเสริมสร้างประสิทธิภาพการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ และผู้ทรงคุณวุฒิในคณะทำงานตรวจประเมินรางวัลเลิศรัฐ  สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นผู้ร่วมมอบรางวัล  จัด ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี    

12 Sep 2025

...

ธ.ก.ส. เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง-นาปี กว่า 4.63 ล้านครัวเรือน ได้แก่ โครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 โครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 กรอบวงเงินรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ รวมสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท โอนเงินรอบแรกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป วงเงินรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท เกษตรกรผู้รับประโยชน์กว่า 2.48 ล้านราย พร้อมจัดมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 ได้แก่ สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี    โดยรัฐบาลชำระดอกเบี้ยแทนเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร พร้อมสนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกอีก 1,500 บาทต่อตัน และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 สถาบันฯ ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลและ ธ.ก.ส. รับชำระดอกเบี้ยแทน ตั้งเป้ารองรับปริมาณข้าวเปลือกรวม 4.5 ล้านตัน นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ ลดค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกข้าว รวมถึงสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพของการผลิตข้าว ธ.ก.ส. พร้อมดำเนินงานตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 และที่ประชุมคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 โดยมี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เป็นประธานในที่ประชุม ได้เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริม การเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 จำนวนรวมกว่า 4.63 ล้านครัวเรือน โดยพร้อมสนับสนุนเงินช่วย/เหลือให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปีการผลิต 2568/69 ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับผู้ปลูกข้าวนาปรัง ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2568 จนถึง 31 ธันวาคม 2568 และสำหรับผู้ปลูกข้าวนาปี ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 19 สิงหาคม 2568 – 30 กันยายน 2569 ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบสถานะโอนเงินและจำนวนเงินที่ได้รับได้ทาง https://govtransfer.baac.or.th หรือ Line Official : @baacfamily   สำหรับการโอนเงินให้เกษตรกร ธ.ก.ส. ได้จัดทำแผนการโอนเงินให้แก่เกษตรกรรอบแรก ตามรายชื่อผู้ที่ขึ้นทะเบียนสำเร็จจากกรมส่งเสริมการเกษตร โดยจะเริ่มโอนเงินครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป กรอบวงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท เกษตรกรผู้รับประโยชน์กว่า 2.48 ล้านราย โดยมีรายละเอียดการโอนเงิน ดังนี้ สำหรับโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 ธ.ก.ส. จะดำเนินการโอนเงินไปยังเกษตรกรทั่วประเทศในวันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2568 จำนวนเกษตรกรผู้ได้รับประโยชน์ จำนวน 769,461 ราย  กรอบวงเงินกว่า 6,280 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 ธ.ก.ส. จะดำเนินการโอนเงินแบ่งเป็น 3 รอบตามภูมิภาค ได้แก่  รอบที่ 1 : วันอังคารที่ 2 กันยายน 2568 เกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 286,831 ราย  กรอบวงเงิน 2,459 ล้านบาท รอบที่ 2 : วันพุธที่ 3 กันยายน 2568 เกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 1,291,298 ราย กรอบวงเงิน 10,586 ล้านบาท และรอบที่ 3 : วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน 2568 เกษตรในภูมิภาคอื่น ๆ ที่เหลือ จำนวน 137,478 ราย กรอบวงเงิน 1,254 ล้านบาท ทั้งนี้ ส่วนที่เหลือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะดำเนินการตรวจสอบและยืนยันการผลิตข้าวจากเกษตรกร และหลังจากได้รับการยืนยัน จะดำเนินการส่งข้อมูลให้กับ ธ.ก.ส. เพื่อดำเนินการโอนเงินช่วยเหลือต่อไป   นอกจากนี้ ธ.ก.ส. พร้อมเติมทุนสนับสนุนผ่านมาตรการรักษาเสถียรภาพข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 กรอบวงเงินรวมกว่า 50,000 ล้านบาท ได้แก่ สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท เพื่อป้องกันผลผลิตข้าวเปลือกล้นตลาด รวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางจนกว่าจะถึงช่วงที่ขายได้ราคาดี โดยรัฐบาลชำระดอกเบี้ยแทนเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เกษตรกรกู้ได้รายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตรและชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งละไม่เกิน 300 ล้านบาท กลุ่มเกษตรกรแห่งละไม่เกิน 20 ล้านบาท และวิสาหกิจชุมชนแห่งละไม่เกิน 5 ล้านบาท เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรไม่ต้องชำระดอกเบี้ย เนื่องจากรัฐบาลรับภาระในการชำระดอกเบี้ยแทน ตั้งเป้าหมายรองรับปริมาณข้าวเปลือกจากท้องตลาด 3 ล้านตัน โดยมีประเภทข้าวเปลือกที่เข้าร่วมโครงการ ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิในเขต 23 จังหวัด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด และภาคเหนือ 3 จังหวัด (เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา)  ข้าวเปลือกหอมมะลินอกเขต 23 จังหวัด ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกปทุมธานีและข้าวเปลือกเหนียว นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกให้อีก 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรเก็บข้าวเองได้รับ 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรฝากข้าวกับสถาบันเกษตรกร เกษตรกรจะได้รับ 500 บาทต่อตัน และสถาบันฯ จะได้รับ 1,000 บาทต่อตัน โดยแจ้งความประสงค์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และทำสัญญาภายใน 28 กุมภาพันธ์ 2569 และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้สถาบันเกษตรกรในการรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกร หรือการนำผลผลิตมาแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อจำหน่ายในตลาด โดยสถาบันฯ ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลและ ธ.ก.ส. รับชำระดอกเบี้ยแทน ระยะเวลาดำเนินโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2569 และจ่ายเงินกู้ภายใน 30 กันยายน 2569 โดยทั้ง 2 โครงการ ตั้งเป้ารองรับปริมาณข้าวเปลือกรวม 4.5 ล้านตัน นอกจากนี้ สำหรับเกษตรกรรายย่อยที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล สามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ได้ตามปกติ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555  

04 Sep 2025

Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner