Responsive image

Tuesday, 30 Dec 2025

หน้าแรก > ราชการ - รัฐวิสาหกิจ / พลังงาน - การเกษตร


กระทรวง อว.-TED Fund ลงนาม MOU 10 หน่วยงาน เสริมแกร่งผู้ประกอบการเทคฯ รุ่นใหม่ พร้อมผนึก บสย. เสริมแหล่งเงินทุน คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1 พันล้านบาท ในปี 67

Wed 31/07/2567


กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ TED Fund กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดพิธีลงนามความร่วมมือกับเครือข่ายร่วมพัฒนาผู้ประกอบการ (TED Fellow) รวม 10 หน่วยงาน เน้นสนับสนุนผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรมรุ่นใหม่ เข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมศักยภาพ ยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านธุรกิจไทยอย่างมั่นคง พร้อมลงนาม บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมสร้างโอกาสช่วยเหลือการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อที่เพียงพอ ตอบโจทย์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน คาดการณ์ภายในปี 2567 จะสามารถสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมได้ 1,000 ล้านบาท

           

นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในเป้าหมายของการเดินหน้าไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ‘กระทรวง อว.’ จึงให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ การวิจัย และนวัตกรรมของไทยให้เข้าใกล้กับมาตรฐานสากล รวมถึงเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันด้านเศรษฐกิจด้วยฐานนวัตกรรมในระดับนานาชาติด้วย แนวทางหลักที่กระทรวง อว. ใช้ในการทำงาน คือการเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรมในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับเยาวชน, Startup ไปจนถึง SMEs รวมถึงมุ่งสร้างให้เกิดมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์จริงในเชิงพาณิชย์ โดยมี TED Fund เป็นหนึ่งในกลไกเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มผู้ประกอบการ ทั้งกับด้านองค์ความรู้พัฒนาศักยภาพ รวมถึงหนุนเงินทุน

“7 ปีที่ผ่านมา TED Fund ทำงานร่วมกับเครือข่ายร่วมพัฒนาผู้ประกอบการ หรือ TED Fellow ในการพัฒนาไอเดียต้นแบบทางธุรกิจ จนมีความพร้อมออกสู่ตลาดไปได้แล้วกว่า 760 โครงการ และเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมแล้วกว่า 4,500 ล้านบาท พร้อมส่งผลให้เกิดนวัตกรรมและธุรกิจใหม่ ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมให้ประเทศไทยได้อย่างมากมาย ทั้งนี้ การลงนามความร่วมมือ TED Fellow และ บสย. จะเสริมให้ TED Fund สามารถสนับสนุนผู้ประกอบการได้มากถึง 260 ราย ในวงเงินรวมกว่า 270 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมได้ประมาณ 1,0000 ล้านบาท” ผู้ช่วยปลัด อว. กล่าว

ดร.ชาญวิทย์ ตรีเดช ผู้จัดการกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) กล่าวว่า TED Fund ได้เริ่มจัดตั้งเครือข่าย TED Fellow ขึ้น ตั้งแต่ปี 2563 ให้มีบทบาทในการเป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษา และสร้างความเป็นผู้ประกอบการกับนักศึกษาที่มีไอเดียและต้องการเงินทุนสนับสนุน ผ่านโครงการยุววิสาหกิจเริ่มต้น (TED Youth Startup) ซึ่งประกอบด้วยโปรแกรม IDEA (สำหรับการนำไปพัฒนาแผนธุรกิจฉบับสมบูรณ์และผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ในกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ไม่เกิน 5 ปี) และโปรแกรม POC (สำหรับกลุ่มนิติบุคคล ที่ต้องการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตในเชิงพาณิชย์) การสนับสนุนของ TED Fund มีแนวทางการดำเนินงาน 2 เรื่องสำคัญ คือ 1.การสนับสนุนทุนในรูปแบบทุนอุดหนุนสมทบบางส่วน (Matching Grant) ภายใต้กรอบวงเงินสนับสนุน 90% ของมูลค่าโครงการที่ได้รับอนุมัติ ไม่เกิน 2 ล้านบาท, 2.การสนับสนุนในด้านการพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจ ผ่านโครงการต่าง ๆ ได้แก่ TED Innovation & Business Training กิจกรรมเสริมสร้างองค์ความรู้ ทั้งด้านการสร้างแบรนด์ การเจรจาซื้อขาย กฎหมาย จนถึงการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ, TED Market Scaling Up Program โปรแกรมสัมมนาเชิงลึก ซึ่งช่วยขยายธุรกิจให้ผู้ประกอบการกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในตลาดโลก

“สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 นี้ TED Fund ได้จัดตั้งเครือข่าย TED Fellow เพิ่มเติมครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมจัดการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) รวม 10 หน่วยงาน ประกอบด้วย อุทยานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ (SPTI PCRU), หน่วยวิจัยนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (STIP-RU), ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ (HUBIC), คณะดิจิทัลมีเดีย มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SDM), ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยสยาม (UBiS), ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABLE), ศูนย์สร้างสรรค์ผู้ประกอบการและนวัตกรรม คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม (CCEI), บริษัท บินได้ จำกัด (Bindai), บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด (Techsauce) และ บริษัท เรียลลี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (SEA Bridge ) อีกทั้งยังได้ ‘บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม’ หรือ บสย. ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ เพื่อร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพด้านการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs เทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมช่วยตอบโจทย์สำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ” ดร.ชาญวิทย์ กล่าว

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า บสย. เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีบทบาทในการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น โดยทำหน้าที่เป็น SMEs Gateway ที่เชื่อมโยงเงินทุนและโอกาสแก่ SMEs รวมไปถึงเชื่อมโยง SMEs กับพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชน ให้สามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้โดยง่าย นี่จึงนับเป็นก้าวสำคัญที่ บสย. และ TED Fund จะได้ทำหน้าที่ในการเป็น ‘Funding Gateway’ เพื่อร่วมกันเติมเงินทุนและเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีศักยภาพมากขึ้น

“บสย. มีโครงการ Smart Gen ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PSG 11 ‘บสย. SMEs ยั่งยืน’ ในการร่วมกับสถาบันการเงินรวม 18 แห่ง เพื่อปล่อยสินเชื่อที่เน้นช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการใหม่ (อายุไม่เกิน 3 ปี) ในกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจบใหม่และกลุ่มนิวเจน เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นจริงได้ ในความร่วมมือนี้ บสย. จึงเข้ามาช่วยเสริมสภาพคล่องให้ผู้ที่ได้รับทุนจาก TED Fund ให้เข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ง่ายมากขึ้น โดยนำกลไกค้ำประกันมาใช้สำหรับการลงทุนในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ได้สูงสุด 500,000 บาทต่อราย อัตราค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี และภาครัฐช่วยสนับสนุนค่าธรรมเนียมใน 2 ปีแรก ซึ่งเราคาดว่าจากการ MOU ครั้งนี้ จะมีผู้ประกอบการ SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากกว่า 200 ราย คิดเป็นวงเงินค้ำประกันกว่า 300 ล้านบาท ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบกว่า 360 ล้านบาท” นายสิทธิกร กล่าว


Tags : กระทรวง อว. TED Fund ลงนาม MOU บสย. พัฒนาผู้ประกอบการ วันนี นนท์ศิริ ดร.ชาญวิทย์ ตรีเดช สิทธิกร ดิเรกสุนทร โครงการค้ำประกันสินเชื่อ


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่น (SOE Awards) ประจำปี 2568 ให้แก่ธนาคารออมสิน โดยมีผู้แทนรับมอบรางวัลได้แก่ รศ.ดร. ธนวรรธน์ พลวิชัย กรรมการธนาคารออมสิน พร้อมด้วย นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และผู้บริหาร ซึ่งเป็นปีที่ธนาคารออมสินได้รางวัลในระดับดีเด่นและเกียรติยศ ครบทั้ง 8 ประเภทรางวัลที่ธนาคารได้รับ จัดขึ้นโดยคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) กระทรวงการคลัง ณ ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 22 ธันวาคม 2568     นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ในปี 2568 นี้ คณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร. ได้พิจารณามอบรางวัลรัฐวิสาหกิจดีเด่นแก่ธนาคารออมสิน จำนวน 8 รางวัล ประกอบด้วย 1) รางวัลเกียรติยศรัฐวิสาหกิจยอดเยี่ยม ธนาคารได้รับเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่อง โดยเป็นรางวัลที่มอบให้กับรัฐวิสาหกิจที่มีความโดดเด่นและมีมาตรฐานการดำเนินงานทุก ๆ ด้าน สามารถตอบสนองความต้องการและความคาดหวังของประชาชน     2) รางวัลเกียรติยศคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจดีเด่น ได้รับเป็นปีที่ 3 ต่อเนื่อง จากการกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ และผลักดันการบริหารงานให้บรรลุเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับหลักการกำกับดูแลกิจการที่ดี 3) รางวัลเกียรติยศการบริหารจัดการองค์กรดีเด่น ได้รับเป็นปีที่ 7 ต่อเนื่อง จากการรักษามาตรฐาน การบริหารจัดการเพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขัน พร้อมรับมือต่อการเปลี่ยนแปลงเพื่อนำพาองค์กรเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ   4) รางวัลผู้นำองค์กรดีเด่น ที่มอบให้แก่นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งเป็นผลงานเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการธนาคารออมสิน 5) รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจดิจิทัล จากการสร้างสรรค์และนำเทคโนโลยีมาใช้ในการพัฒนาองค์กร ในมิติต่าง ๆ พร้อมรองรับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล 6) รางวัลการพัฒนาสู่รัฐวิสาหกิจยั่งยืน จากการขับเคลื่อนองค์กรสู่ความยั่งยืนอย่างเป็นระบบ จนเกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมทั้งในมิติเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม     7) รางวัลการดำเนินงานอย่างรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมดีเด่น โดยได้รับจากผลงานความสำเร็จของโครงการพัฒนาเชิงพื้นที่แบบองค์รวม (Holistic Area-Based Development) - โครงการลิบงสุขใจ ออมสินพัฒนา อำเภอกันตัง จังหวัดตรัง 8) รางวัลความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมดีเด่น จากโครงการ GEN AI Branch Assistant : ผู้ช่วยสาขาอัจฉริยะ ที่ธนาคารพัฒนาขึ้นโดยการนำ AI มาใช้เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการบริการของสาขา   นับเป็นความภาคภูมิใจและเป็นบทพิสูจน์ถึงความมุ่งมั่นของบุคลากรธนาคารออมสินทุกคนในการรักษามาตรฐานการบริหารจัดการองค์กรในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ภายใต้หลักธรรมาภิบาล โปร่งใส และการให้ความสำคัญกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่มอย่างสมดุล ควบคู่กับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ “ธนาคารเพื่อสังคม” เพื่อสร้างผลกระทบเชิงบวกและความยั่งยืนให้กับเศรษฐกิจและสังคมไทยในระยะยาว    

26 Dec 2025

...

เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมมือกับ เอ ไลฟ์ (ALive Powered by AIA) โดยบริษัท เอไอเอ เวลเนส จำกัด ส่งความห่วงใยถึงคนไทยทั่วประเทศในช่วงเทศกาลส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2569 มอบแคมเปญ “ฟรี!!! ประกันอุบัติเหตุ กรมธรรม์ประกันภัยอุ่นใจข้ามปี” โดยมอบกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มปีใหม่ (ไมโครอินชัวรันส์) ฟรีให้แก่ประชาชนทั่วไป ระยะเวลาคุ้มครองนาน 30 วัน ด้วยวงเงินคุ้มครองชีวิตสูงถึง 100,000 บาทต่อกรมธรรม์ กรณีเสียชีวิตจากอุบัติเหตุ พร้อมรับผลประโยชน์ค่ารักษาพยาบาลเนื่องจากอุบัติเหตุตามจำนวนที่จ่ายจริงสูงสุด 5,000 บาท* เพื่อส่งเสริมให้คนไทยมีหลักประกันความคุ้มครองอุบัติเหตุในช่วงเทศกาลปีใหม่ พร้อมเพิ่มความอุ่นใจสำหรับการวางแผนเดินทางท่องเที่ยวหรือกลับภูมิลำเนาเพื่อไปฉลองกับครอบครัว ซึ่งแคมเปญดังกล่าวยังเป็นการขานรับนโยบายของสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) อีกทั้งยังสานต่อพันธกิจของเอไอเอที่ต้องการสนับสนุนให้ผู้คนกว่าพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา Healthier, Longer, Better Lives ทั้งนี้ สำหรับประชาชนทุกคนที่สนใจขอรับกรมธรรม์ประกันภัยกลุ่มฟรี สามารถลงทะเบียนรับสิทธิออนไลน์ได้ง่าย ๆ เพียงไปที่เว็บไซต์ https://aiathailand.info/panyPR  ตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม 2568 จนถึงวันที่ 31 มกราคม 2569   หมายเหตุ: *เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัท เอไอเอ เวลเนส จำกัด กำหนด

20 Dec 2025

...

รายงานข่าวจากธนาคารออมสิน ขอเชิญชวนผู้ประกอบการร้านค้า ประเภทบุคคลธรรมดา ที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” และยังไม่ได้ลงทะเบียนเรียนหลักสูตร Smart Finance Upskill ขอให้เร่งสมัครผ่านเว็บไซต์ของธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ตลอด 24 ชั่วโมง เนื่องจากขณะนี้เหลือเวลาเพียง 4 วันสุดท้าย ที่สามารถลงทะเบียนและเรียนให้จบหลักสูตร เพื่อรับสิทธิ์เงินสนับสนุนจากภาครัฐ นับจากวันที่พัฒนาทักษะสำเร็จจนถึงวันที่ 19 ธันวาคม 2568 สูงสุดไม่เกินรายละ 2,000 บาท หลักสูตร Smart Finance Upskill การพัฒนาความรู้ทางการเงินเพื่อร้านค้ารายย่อยโครงการคนละครึ่ง พลัสเป็นการเรียนออนไลน์กับธนาคารออมสิน ภายใต้โครงการพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) สำหรับผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อย ประเภทบุคคลธรรมดา มุ่งเสริมทักษะทางการเงินที่จำเป็นต่อการทำธุรกิจ ครอบคลุมการทำบัญชี การคิดต้นทุน การตั้งราคาขาย และความรู้ก่อนยื่นขอกู้ ผู้ที่เรียนจบและผ่านเกณฑ์ จะได้รับประกาศนียบัตรและรับสิทธิ์เงินสนับสนุนจากภาครัฐตามเงื่อนไขที่กำหนด สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทะเบียนเรียนหลักสูตร Smart Finance Upskill และข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับโครงการ Upskill/Reskill คนละครึ่ง พลัส ที่ GSB Contact Center โทร. 1115 กด 7

19 Dec 2025

...

ธ.ก.ส. เร่งให้ความช่วยเหลือทหาร และ ตชด. วีรบุรุษผู้เสียสละชีวิต จากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา โดยให้ความช่วยเหลือกับทหาร และ ตชด. ที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. รวมถึงให้ความช่วยเหลือบิดา - มารดา หรือคู่สมรสที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ของวีรบุรุษผู้เสียสละชีวิต โดยยกหนี้ในส่วนของต้นเงินกู้ทุกสัญญา และยกหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยทั้งจำนวน ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เพื่อเร่งให้ความช่วยเหลือ สงเคราะห์ลูกหนี้ และลดภาระให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างมั่นคง นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ปัจจุบันความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชาได้กลับมาตึงเครียดในพื้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี ตราด และสระแก้ว ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ของเกษตรกรลูกค้าของธนาคาร โดยปัจจุบันมีทหารที่เป็นสมาชิกครอบครัวของลูกค้า ธ.ก.ส. เสียชีวิต และเพื่อให้ความช่วยเหลือ สงเคราะห์ลูกค้า ธ.ก.ส. และเป็นการลดภาระเพื่อให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างมั่นคง คณะกรรมการธนาคาร โดย นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. ได้มีมติในการประชุมวันนี้ (9 ธันวาคม 2568) ให้ความช่วยเหลือลูกค้า กรณีทหาร หรือตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา ที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. รวมถึงให้ความช่วยเหลือแก่บิดา มารดา หรือคู่สมรสที่เป็นลูกค้า ธ.ก.ส. ของวีรบุรุษผู้เสียสละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ โดยธนาคารจะยกหนี้ในส่วนของต้นเงินกู้ทุกสัญญา และยกหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยค้างรับและดอกเบี้ยปรับทั้งจำนวน ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เป็นกรณีพิเศษ ทั้งนี้ ที่ผ่านมา ธ.ก.ส. ได้ให้ความช่วยเหลือครอบครัวทหารไปแล้ว จำนวน 7 ราย ธ.ก.ส. ขอแสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา คนข้างหลังไม่ต้องกังวล ธ.ก.ส. อยู่เคียงข้างและพร้อมก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555 ตลอด 24 ชั่วโมง  

14 Dec 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner