Responsive image

Saturday, 12 Jul 2025

หน้าแรก > ราชการ - รัฐวิสาหกิจ /ENERGY - พลังงาน


กระทรวง อว.-TED Fund ลงนาม MOU 10 หน่วยงาน เสริมแกร่งผู้ประกอบการเทคฯ รุ่นใหม่ พร้อมผนึก บสย. เสริมแหล่งเงินทุน คาดสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ 1 พันล้านบาท ในปี 67

Wed 31/07/2567


กองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม หรือ TED Fund กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) จัดพิธีลงนามความร่วมมือกับเครือข่ายร่วมพัฒนาผู้ประกอบการ (TED Fellow) รวม 10 หน่วยงาน เน้นสนับสนุนผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรมรุ่นใหม่ เข้าถึงแหล่งเงินทุน เสริมศักยภาพ ยกระดับความสามารถในการแข่งขันด้านธุรกิจไทยอย่างมั่นคง พร้อมลงนาม บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) ร่วมสร้างโอกาสช่วยเหลือการเข้าถึงแหล่งสินเชื่อที่เพียงพอ ตอบโจทย์การขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพและยั่งยืน คาดการณ์ภายในปี 2567 จะสามารถสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมได้ 1,000 ล้านบาท

           

นายวันนี นนท์ศิริ ผู้ช่วยปลัดกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังอยู่ในเป้าหมายของการเดินหน้าไปสู่ประเทศที่พัฒนาแล้ว ‘กระทรวง อว.’ จึงให้ความสำคัญกับการขับเคลื่อนการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ การวิจัย และนวัตกรรมของไทยให้เข้าใกล้กับมาตรฐานสากล รวมถึงเพิ่มอันดับความสามารถการแข่งขันด้านเศรษฐกิจด้วยฐานนวัตกรรมในระดับนานาชาติด้วย แนวทางหลักที่กระทรวง อว. ใช้ในการทำงาน คือการเพิ่มจำนวนผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรมในทุกระดับ ตั้งแต่ระดับเยาวชน, Startup ไปจนถึง SMEs รวมถึงมุ่งสร้างให้เกิดมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการนำผลงานวิจัยและนวัตกรรมไปใช้ประโยชน์จริงในเชิงพาณิชย์ โดยมี TED Fund เป็นหนึ่งในกลไกเสริมความแข็งแกร่งให้กลุ่มผู้ประกอบการ ทั้งกับด้านองค์ความรู้พัฒนาศักยภาพ รวมถึงหนุนเงินทุน

“7 ปีที่ผ่านมา TED Fund ทำงานร่วมกับเครือข่ายร่วมพัฒนาผู้ประกอบการ หรือ TED Fellow ในการพัฒนาไอเดียต้นแบบทางธุรกิจ จนมีความพร้อมออกสู่ตลาดไปได้แล้วกว่า 760 โครงการ และเกิดมูลค่าทางเศรษฐกิจและสังคมแล้วกว่า 4,500 ล้านบาท พร้อมส่งผลให้เกิดนวัตกรรมและธุรกิจใหม่ ที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและสังคมให้ประเทศไทยได้อย่างมากมาย ทั้งนี้ การลงนามความร่วมมือ TED Fellow และ บสย. จะเสริมให้ TED Fund สามารถสนับสนุนผู้ประกอบการได้มากถึง 260 ราย ในวงเงินรวมกว่า 270 ล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะสามารถสร้างมูลค่าผลกระทบทางเศรษฐกิจและสังคมได้ประมาณ 1,0000 ล้านบาท” ผู้ช่วยปลัด อว. กล่าว

ดร.ชาญวิทย์ ตรีเดช ผู้จัดการกองทุนพัฒนาผู้ประกอบการเทคโนโลยีและนวัตกรรม (TED Fund) กล่าวว่า TED Fund ได้เริ่มจัดตั้งเครือข่าย TED Fellow ขึ้น ตั้งแต่ปี 2563 ให้มีบทบาทในการเป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำปรึกษา และสร้างความเป็นผู้ประกอบการกับนักศึกษาที่มีไอเดียและต้องการเงินทุนสนับสนุน ผ่านโครงการยุววิสาหกิจเริ่มต้น (TED Youth Startup) ซึ่งประกอบด้วยโปรแกรม IDEA (สำหรับการนำไปพัฒนาแผนธุรกิจฉบับสมบูรณ์และผลิตภัณฑ์ต้นแบบ ในกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ไม่เกิน 5 ปี) และโปรแกรม POC (สำหรับกลุ่มนิติบุคคล ที่ต้องการต่อยอดธุรกิจให้เติบโตในเชิงพาณิชย์) การสนับสนุนของ TED Fund มีแนวทางการดำเนินงาน 2 เรื่องสำคัญ คือ 1.การสนับสนุนทุนในรูปแบบทุนอุดหนุนสมทบบางส่วน (Matching Grant) ภายใต้กรอบวงเงินสนับสนุน 90% ของมูลค่าโครงการที่ได้รับอนุมัติ ไม่เกิน 2 ล้านบาท, 2.การสนับสนุนในด้านการพัฒนาศักยภาพทางธุรกิจ ผ่านโครงการต่าง ๆ ได้แก่ TED Innovation & Business Training กิจกรรมเสริมสร้างองค์ความรู้ ทั้งด้านการสร้างแบรนด์ การเจรจาซื้อขาย กฎหมาย จนถึงการสร้างเครือข่ายผู้ประกอบการ, TED Market Scaling Up Program โปรแกรมสัมมนาเชิงลึก ซึ่งช่วยขยายธุรกิจให้ผู้ประกอบการกลายเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยให้เติบโตในตลาดโลก

“สำหรับในปีงบประมาณ พ.ศ. 2567 นี้ TED Fund ได้จัดตั้งเครือข่าย TED Fellow เพิ่มเติมครอบคลุมทั่วประเทศ พร้อมจัดการลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) รวม 10 หน่วยงาน ประกอบด้วย อุทยานวิทยาศาสตร์เทคโนโลยีและนวัตกรรม มหาวิทยาลัยราชภัฏเพชรบูรณ์ (SPTI PCRU), หน่วยวิจัยนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี (STIP-RU), ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ (HUBIC), คณะดิจิทัลมีเดีย มหาวิทยาลัยศรีปทุม (SDM), ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยสยาม (UBiS), ศูนย์บ่มเพาะวิสาหกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABLE), ศูนย์สร้างสรรค์ผู้ประกอบการและนวัตกรรม คณะการสร้างเจ้าของธุรกิจ มหาวิทยาลัยศรีปทุม (CCEI), บริษัท บินได้ จำกัด (Bindai), บริษัท เทคซอส มีเดีย จำกัด (Techsauce) และ บริษัท เรียลลี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (SEA Bridge ) อีกทั้งยังได้ ‘บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม’ หรือ บสย. ร่วมลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือ เพื่อร่วมกันส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพด้านการดำเนินธุรกิจให้แก่ผู้ประกอบการ SMEs เทคโนโลยีและนวัตกรรม พร้อมช่วยตอบโจทย์สำหรับการขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เติบโตอย่างมีเสถียรภาพ” ดร.ชาญวิทย์ กล่าว

นายสิทธิกร ดิเรกสุนทร กรรมการและผู้จัดการทั่วไป บรรษัทประกันสินเชื่ออุตสาหกรรมขนาดย่อม (บสย.) กล่าวว่า บสย. เป็นสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ ที่มีบทบาทในการค้ำประกันสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ SMEs ให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้ง่ายขึ้น โดยทำหน้าที่เป็น SMEs Gateway ที่เชื่อมโยงเงินทุนและโอกาสแก่ SMEs รวมไปถึงเชื่อมโยง SMEs กับพันธมิตรภาครัฐและภาคเอกชน ให้สามารถเข้าถึงสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ ได้โดยง่าย นี่จึงนับเป็นก้าวสำคัญที่ บสย. และ TED Fund จะได้ทำหน้าที่ในการเป็น ‘Funding Gateway’ เพื่อร่วมกันเติมเงินทุนและเสริมสภาพคล่องให้ผู้ประกอบการ SMEs กลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างมีศักยภาพมากขึ้น

“บสย. มีโครงการ Smart Gen ภายใต้โครงการค้ำประกันสินเชื่อ PSG 11 ‘บสย. SMEs ยั่งยืน’ ในการร่วมกับสถาบันการเงินรวม 18 แห่ง เพื่อปล่อยสินเชื่อที่เน้นช่วยเหลือผู้ประกอบกิจการใหม่ (อายุไม่เกิน 3 ปี) ในกลุ่มเทคโนโลยีและนวัตกรรม ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาจบใหม่และกลุ่มนิวเจน เพื่อให้สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนและสร้างนวัตกรรมต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นจริงได้ ในความร่วมมือนี้ บสย. จึงเข้ามาช่วยเสริมสภาพคล่องให้ผู้ที่ได้รับทุนจาก TED Fund ให้เข้าถึงสินเชื่อจากสถาบันการเงินได้ง่ายมากขึ้น โดยนำกลไกค้ำประกันมาใช้สำหรับการลงทุนในช่วงเริ่มต้นธุรกิจ หรือใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ ได้สูงสุด 500,000 บาทต่อราย อัตราค่าธรรมเนียม 1.75% ต่อปี และภาครัฐช่วยสนับสนุนค่าธรรมเนียมใน 2 ปีแรก ซึ่งเราคาดว่าจากการ MOU ครั้งนี้ จะมีผู้ประกอบการ SMEs ได้รับสินเชื่อเพิ่มขึ้นมากกว่า 200 ราย คิดเป็นวงเงินค้ำประกันกว่า 300 ล้านบาท ก่อให้เกิดสินเชื่อในระบบกว่า 360 ล้านบาท” นายสิทธิกร กล่าว


Tags : กระทรวง อว. TED Fund ลงนาม MOU บสย. พัฒนาผู้ประกอบการ วันนี นนท์ศิริ ดร.ชาญวิทย์ ตรีเดช สิทธิกร ดิเรกสุนทร โครงการค้ำประกันสินเชื่อ


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

  นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เห็นชอบให้ธนาคารออมสินจัดทำมาตรการแก้ไขหนี้รายย่อยในโครงการของรัฐบาลที่ออกมาช่วยประชาชนในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของ COVID-19 เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อรายย่อยไม่มีหลักประกัน ที่มีสถานะหนี้เสีย (NPLs) จำนวนรวมกว่า 500,000 บัญชี ให้สามารถหลุดพ้นจากประวัติหนี้เสีย โดยธนาคารจะดำเนินการทันทีเพื่อที่ในอนาคตลูกหนี้จะมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้เร็วขึ้นเมื่อมีความจำเป็น โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ดำเนินการปิดบัญชีหนี้ ตัดหนี้สูญ และไม่ติดตามหนี้ ของลูกหนี้ NPLs จำนวนกว่า 200,000 บัญชี ในโครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐที่ได้รับงบประมาณชดเชยแล้ว ระยะที่ 2 ธนาคารจะทยอยดำเนินการปิดบัญชีหนี้แก่ลูกหนี้ NPLs โครงการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 จำนวนกว่า 300,000 บัญชี ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2568 ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยสำหรับมาตรการปลดหนี้สินเชื่อตามโครงการของรัฐบาลที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้แล้วเป็นจำนวนกว่า 1.3 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้รวมกว่า 11,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้รายย่อย และช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางให้สามารถประคับประคองสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวให้เดินต่อได้ มุ่งเน้นดำเนินการเพียงครั้งเดียวเพื่อไม่ให้ลูกหนี้ต้องเสียวินัยทางการเงิน และยังสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้อีกในอนาคต  

07 Jul 2025

...

    สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้ปรับปรุงแนวทางการคำนวณสำรองเบี้ยประกันภัยสำหรับสัญญาประกันภัยระยะสั้น พร้อมทั้งทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนด้านความเสี่ยง เพื่อยกระดับความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันภัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยมุ่งเน้นการพิจารณาข้อมูลในระดับประเภทการรับประกันภัยแทนการพิจารณาภาพรวมทั้งบริษัท เพื่อให้การประเมินภาระผูกพันและการจัดสรรเงินกองทุนมีความละเอียด แม่นยำ และสอดคล้องกับลักษณะความเสี่ยงที่แท้จริงยิ่งขึ้น โดยระหว่างวันที่ 6-21 มีนาคม 2568 สำนักงาน คปภ. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจและผู้เกี่ยวข้อง และจัดการประชุมชี้แจงไปเมื่อวันที่ 10-11 มีนาคม 2568 รวมทั้งได้จัดการประชุมกลุ่มย่อยเชิงเทคนิค (Focus Group) เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 เพื่อรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ทั้งนี้ ในการประชุมฯ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงประกาศที่เกี่ยวข้องกับสำรองเบี้ยประกันภัย ได้แก่ 1. ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการส่งรายงานประจำปีการคำนวณความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย 2. ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการส่งรายงานประจำปีการคำนวณความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันชีวิต และ 3. ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดประเภทและชนิดของเงินกองทุน รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการคำนวณเงินกองทุนของบริษัทประกันวินาศภัย สำหรับหลักการที่ได้มีการปรับปรุง คือ ปรับปรุงวิธีการคำนวณสำรองเบี้ยประกันภัย และเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงจากสำรองเบี้ยประกันภัย จากเดิม พิจารณาที่ระดับผลรวมทั้งหมดของสัญญาประกันภัยระยะสั้น เปลี่ยนเป็น พิจารณาที่ระดับประเภทการรับประกันภัย  ซึ่งสำนักงาน คปภ. จะเผยแพร่ประกาศอย่างเป็นทางการในลำดับถัดไป เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตามกำหนดในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ดังนั้น บริษัทประกันภัยและผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรเตรียมความพร้อมในการดำเนินการ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ใหม่ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่วันเริ่มมีผลบังคับใช้

07 Jul 2025

...

  ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank  ร่วมงาน “มหกรรมการเงินหาดใหญ่” ครั้งที่ 15 (MONEY EXPO 2025 HATYAI) ระหว่างวันที่ 4-6 กรกฎาคม 2568 ณ บูธ F3 หาดใหญ่ฮอลล์ ชั้น 5 เซ็นทรัล หาดใหญ่ จ.สงขลา ยกขบวนผลิตภัณฑ์สินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทุกความต้องการผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไฮไลท์ คือ สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท ครอบคลุมทุกกลุ่มและทุกความต้องการเอสเอ็มอีไทย ควบคู่บริการพัฒนาธุรกิจ ผ่านแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” (dx.smebank.co.th)   ช่วยเสริมศักยภาพกิจการ ครบถ้วนในจุดเดียว ห้ามพลาด! พิเศษเฉพาะภายในงาน เมื่อยื่นขอสินเชื่อ และได้รับอนุมัติทุกวงเงิน รับโปรโมชันเสริมอีก 2 ต่อ ได้แก่ ต่อที่ 1 : ลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์สินเชื่อ (Front End Fee) สูงสุด 0.25% และต่อที่ 2 : รับบัตรกำนัล มูลค่า 500 บาท พร้อมเล่นเกม ลุ้นรับของที่ระลึกมากมาย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

03 Jul 2025

...

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารประสบความสำเร็จได้รับรางวัลระดับเอเชีย Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2025 สาขา Social Empowerment จาก MyMo Secure Plus นวัตกรรมความปลอดภัยบน Mobile Banking ที่ช่วยลดความเสี่ยงจากภัยไซเบอร์ให้ลูกค้า บูรณาการร่วมกับ แคมเปญเตือนภัยมิจฉาชีพ เพื่อสื่อสารสร้างการรับรู้และเสริมภูมิคุ้มกันภัยทางการเงิน พร้อมกันนี้ ธนาคารออมสินยังได้รับรางวัลเกียรติคุณ Silver Emblem of Sustainability ในฐานะองค์กรที่มีความโดดเด่นและมุ่งมั่นในการดำเนินงานเพื่อความยั่งยืนในทุกมิติจนได้รับรางวัล AREA มาแล้ว 5 ปี จาก Enterprise Asia องค์กรพัฒนาเอกชนชั้นนำที่ส่งเสริมศักยภาพผู้ประกอบการที่มีความรับผิดชอบในเอเชีย เพื่อเชิดชูและให้เกียรติองค์กรธุรกิจที่มีการดำเนินงานตามแนวทาง ESG และเป็นต้นแบบองค์กรชั้นนำในภูมิภาคเอเชียที่ขับเคลื่อนองค์กรสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนในทุกมิติ     ธนาคารออมสินถือเป็นธนาคารแรกที่พัฒนาโหมดปลอดมิจฉาชีพ ภายใต้ชื่อ MyMo Secure Plus เพื่อช่วยดูแลเงินฝากขั้นสูงสุดให้กับลูกค้า โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ และกลุ่มที่ไม่รู้เท่าทันมิจฉาชีพที่เปลี่ยนรูปแบบการหลอกลวงตลอดเวลา ออกแบบโดยเน้นการทำธุรกรรมทางการเงินแบบจำกัดเฉพาะรายการที่จำเป็น อาทิ การโอนเงินไปยังบัญชีตนเองภายในธนาคารและต่างธนาคารที่ลงทะเบียนไว้ และการจำกัดวงเงินในการทำธุรกรรมต่อวัน ทั้งนี้ ธนาคารออมสินไม่เพียงพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อความปลอดภัยของลูกค้าเท่านั้น แต่ยังเป็นธนาคารแรกที่ดำเนินกลยุทธ์การสื่อสารการตลาดแบบบูรณาการ (IMC) ผ่าน แคมเปญเตือนภัยมิจฉาชีพ ดำเนินการอย่างเข้มข้นผ่านช่องทางการสื่อสารที่ครบวงจร ทั้งออนไลน์ ออฟไลน์ สื่อนอกบ้าน หรืออินฟลูเอนเซอร์ เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างกว้างขวางและครอบคลุมมากที่สุด เนื่องจากธนาคารตระหนักดีถึงความสูญเสียของประชาชนและวิกฤตของอาชญากรรมออนไลน์ที่นับวันจะทวีความรุนแรงจนกลายเป็นภัยคุกคามระดับประเทศ จึงเป็นความพยายามของธนาคารในการที่จะกระตุ้นเตือนให้ประชาชนรู้เท่าทันกลลวงและไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพทางการเงิน     รางวัลเกียรติคุณ Silver Emblem of Sustainability และ Social Empowerment ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงบทบาทของธนาคารออมสินในฐานะ Social Bank ที่ไม่เพียงมุ่งมั่นพัฒนานวัตกรรมเพื่อยกระดับการให้บริการลูกค้าเท่านั้น แต่ยังขับเคลื่อนการสร้าง Social Impact เพื่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนช่วยบรรเทาปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง ธนาคารยังคงยึดมั่นในหลักการดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบตามแนวทาง ESG เพื่อก้าวสู่เป้าหมายความยั่งยืน ลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม ตลอดจนเป็นกลไกสำคัญในการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว  

01 Jul 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner