Responsive image

Saturday, 23 Aug 2025

หน้าแรก > INSURANCE / ประกันภัย - ประกันชีวิต


สมาคมประกันวินาศภัยไทย คาดปี 68 ธุรกิจประกันวินาศภัยฟื้นเติบโต 1.5%-2.5% รับแรงหนุนเศรษฐกิจ-การท่องเที่ยวฟื้นตัว

Thu 26/12/2567


สมาคมประกันวินาศภัยไทย แถลงผลประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัย รวม 3 ไตรมาส (มกราคม-กันยายน) ของปี 2567 มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 209,060 ล้านบาท โดยประมาณการทั้งปี 2567 คาดเติบโต 0.0%-1.0% มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 285,790-288,650 ล้านบาท และคาดการณ์แนวโน้มปี 2568 มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 291,240-294,100 ล้านบาท เติบโต 1.5%-2.5% จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยว รวมถึงแนวโน้มการขยายตัวของประกันสุขภาพ รวมถึงประชาชนตระหนักถึงความเสี่ยงภัยธรรมชาติมากขึ้น

 

ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย เปิดเผยถึงภาพรวมผลประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัยในปี 2567 ว่า จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลให้ผู้คนระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ทำให้เงินหมุนเวียนในระบบน้อยลง หนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง การแข่งขันที่เพิ่มมากขึ้น กระทบต่อภาคธุรกิจต่าง ๆ เป็นวงกว้าง ธุรกิจประกันวินาศภัยเองก็เผชิญกับความท้าทายจากทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ ในส่วนของธุรกิจประกันวินาศภัยปี 2567 ต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจหลัง COVID-19 การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่มีความรุนแรงมากขึ้น ความท้าทายในการรับประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า และการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ ล้วนส่งผลต่อการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัยทั้งสิ้น

 

โดยผลประกอบการในรอบ 9 เดือนที่ผ่านมา ตั้งแต่เดือนมกราคม-เดือนกันยายน 2567 ธุรกิจประกันวินาศภัย มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 209,060 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตติดลบ 0.5% เมื่อเทียบกับปีก่อน ส่วนแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัย ปี 2567 ทั้งปีนั้น คาดการณ์ว่าจะเติบโตราว 0.0%-1.0% มีเบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 285,790-288,650 ล้านบาท ซึ่งเป็นผลมาจากการฟื้นตัวของยอดขายรถใหม่ในช่วงปลายปีที่ได้รับแรงกระตุ้นและมาตรการสินเชื่อที่เริ่มผ่อนคลาย รวมถึงการท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศที่ฟื้นตัวเต็มที่ ประกอบกับภาวะเศรษฐกิจซบเซาอาจส่งผลให้คนผ่อนสินเชื่อที่อยู่อาศัยนานขึ้นทำให้มีความจำเป็นต้องต่ออายุกรมธรรม์

ขณะที่ผลประกอบการธุรกิจประกันวินาศภัยประเภทต่าง ๆ ณ 3 ไตรมาส (มกราคม-กันยายน) ของปี 2567 ในส่วนของเบี้ยประกันภัยรถยนต์ จำนวน 116,909 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตลดลง -1.3% ซึ่งมีผลมาจากภาวะเศรษฐกิจทำให้ยอดขายรถใหม่หดตัวจากปีก่อน 26% และเบี้ยประกันภัยเฉลี่ยลดลงจากความนิยมในการซื้อกรมธรรม์ประเภท 1 น้อยลง ในขณะที่เบี้ยประกันอัคคีภัย จำนวน 8,329 ล้านบาท มีอัตราการเติบโต 7.3% ส่วนเบี้ยประกันภัยทางทะเลและขนส่ง จำนวน 5,216 ล้านบาท มีอัตราการเติบโตลดลง -2.1% มาจากปัญหาสินค้าส่งออกล้นตลาดจากประเทศจีน ส่งผลกระทบการส่งออกสินค้าไทย ประกอบกับเบี้ยประกันภัยการขนส่งสินค้าทางทะเลและการขนส่งสินค้าทางรถบรรทุกหดตัว ด้านเบี้ยประกันภัยเบ็ดเตล็ด จำนวน 78,606 ล้านบาท ซึ่งมีอัตราการเติบโตลดลง จากประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล ประกันสุขภาพ และประกันความเสี่ยงภัย

 

นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวต่อว่า ในส่วนของอัตราความเสียหาย (Loss Ratio) ของการประกันวินาศภัยประเภทต่าง ๆ ในรอบ 9 เดือน (มกราคม-กันยายน) ของปี 2567 นั้น พบว่า อัตราความเสียหายโดยรวมของการประกันภัยทุกประเภทนั้นเท่ากับ 56.9% ซึ่งสูงขึ้นเมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเฉพาะในกลุ่มประกันภัยรถยนต์และประกันสุขภาพ ซึ่งสะท้อนถึงความจำเป็นในการบริหารความเสี่ยงและปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ โดยอัตราความเสียหายของการประกันภัยรถยนต์  61.7% อัตราความเสียหายของการประกันอัคคีภัย 23.7% อัตราความเสียหายของการประกันภัยทางทะเล 30.0% และอัตราความเสียหายของการประกันภัยเบ็ดเตล็ด 50.9% (ประกันความเสี่ยงภัยทุกชนิด (44.0%) ประกันภัยความรับผิดตามกฎหมาย (32.2%) ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (48.8%) ประกันสุขภาพ (65.5%) ประกันภัยการเดินทาง (32.8%) และการประกันภัยอื่น ๆ (40.9%)) ซึ่งจากผลการดำเนินการของธุรกิจประกันวินาศภัย ณ ไตรมาส 3 ปี 2567 มีกำไรจากการรับประกันภัยลดลงจากอัตราความเสียหาย (Loss Ratio) ที่เพิ่มขึ้นใน 3 ประเภทงานหลัก คือ รถยนต์ ประกันความเสี่ยงภัยทุกชนิด และประกันสุขภาพ

 

ทั้งนี้ สมาคมประกันวินาศภัยไทย คาดการณ์แนวโน้มการเติบโตของธุรกิจประกันวินาศภัย ปี 2568 ว่าจะมีอัตราการเติบโตราว 1.5%-2.5% เบี้ยประกันภัยรับโดยตรงรวม 291,240 - 294,100 ล้านบาท จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกที่ชัดเจนขึ้น โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งช่วยสนับสนุนการขยายตัวของธุรกิจประกันภัย ขณะที่การใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีดิจิทัล (InsurTech) เป็นปัจจัยหลักในการผลักดันธุรกิจประกันภัยไปข้างหน้า ทั้งการลดต้นทุน เพิ่มประสิทธิภาพ และทำให้ลูกค้าเข้าถึงผลิตภัณฑ์ได้ง่ายขึ้น รวมถึงปัจจุบันประชาชนต่างตระหนักถึงความสำคัญของการประกันภัยและการเสี่ยงภัยธรรมชาติมากขึ้น ส่งผลให้ปีหน้าประกันอัคคีภัยจึงได้รับความสนใจเพิ่มขึ้น ด้านประกันภัยการเดินทางยังคงเติบโต ด้วยปัจจัยบวกจากการแข็งค่าของเงินบาทและการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านการท่องเที่ยวของรัฐบาล ทั้งนี้ในระยะยาวการประกันภัยความรับผิดตามกฎหมายมีแนวโน้มความต้องการมากขึ้นเช่นกัน เนื่องจากประชาชนรับรู้ถึงสิทธิในการเรียกร้องค่าเสียหายเมื่อถูกละเมิด ทำให้ภาพรวมในปี 2568 ธุรกิจประกันภัยยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง

 

นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในปี 2568 นี้ถือเป็นปีแห่งการเปลี่ยนแปลงและการเติบโตในอัตราที่ดีกว่าปีที่ผ่านมาอย่างแน่นอนสำหรับธุรกิจประกันวินาศภัย แม้จะยังต้องเผชิญกับความท้าทายต่าง ๆ ทั้งภัยธรรมชาติและการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นทุกปี การจัดการความเสี่ยงด้านไซเบอร์ ซึ่งส่งผลกระทบกับองค์กรทุกระดับ การแข่งขันที่รุนแรงในอุตสาหกรรม ทำให้ต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าอยู่เสมอ

“ธุรกิจประกันวินาศภัย จึงมีบทบาทสำคัญในการช่วยให้บุคคลและธุรกิจสามารถก้าวผ่านความเสี่ยงต่าง ๆ ไปได้ ไม่เพียงแต่ให้ความคุ้มครองทางการเงินเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงในระยะยาว ธุรกิจประกันวินาศภัย จึงถือเป็นหัวใจสำคัญในการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจ การเข้าใจความเสี่ยงและบริหารจัดการอย่างมีประสิทธิภาพ คือหัวใจสำคัญที่ทำให้อุตสาหกรรมนี้ดำรงอยู่ และเติบโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนต่อไป” นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวในตอนท้าย


Tags : สมาคมประกันวินาศภัยไทย ดร.สมพร สืบถวิลกุล


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ขับเคลื่อนนโยบายรัฐ เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ยกขบวนบริการ “พัฒนาคู่เติมทุน” เสิร์ฟผู้ประกอบการเอสเอ็มอีพื้นที่ภาคใต้ ในงาน “พาแบงก์รัฐ มาช่วยราษฎร์”   ในวันที่ 30 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00-12.30 น. ณ  โรงแรมดารา จ.ภูเก็ต ภายในงานพบบริการสินเชื่อเพื่อเอสเอ็มอี อัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี  คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจและทุกความต้องการของเอสเอ็มอี พร้อมทีมให้คำปรึกษา  ยื่นกู้ได้ทันทีภายในงาน  อีกทั้ง รับโปรโมชันเสริมพิเศษ อีก 2 ต่อ ได้แก่ ต่อที่ 1 เมื่อยื่นขอสินเชื่อและได้รับอนุมัติ รับบัตรกำนัล มูลค่า 500 บาท และ ต่อที่ 2 รับสิทธิ์สมัครใช้บริการแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” เพื่อยกระดับธุรกิจครบวงจร ฟรี! ห้ามพลาด ขอเชิญผู้ประกอบการ จ.ภูเก็ต และใกล้เคียง เข้าร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น  ลงทะเบียนเข้าร่วมโดยสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

21 Aug 2025

...

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินพร้อมเดินหน้าเคียงข้างประชาชนและภาคธุรกิจไทย โดยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ต่อปี สอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อช่วยลดภาระทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่อง และสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการและประชาชน การปรับลดครั้งนี้เป็นการสานต่อมาตรการช่วยเหลือที่ธนาคารได้ริเริ่มมาก่อนหน้านี้ ซึ่งได้เคยนำร่องลดดอกเบี้ยเงินกู้มาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2568 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินและกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในวงกว้าง ทั้งยังสะท้อนการยึดมั่นในแนวทาง “ธนาคารเพื่อสังคม” ที่พร้อมปรับลดกำไรให้อยู่ในระดับเหมาะสม เพื่อขยายความสามารถในการช่วยเหลือภารกิจทางสังคมได้มากขึ้น ธนาคารออมสินจึงประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้ารายย่อย (MRR) ลดเหลือ 6.295% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่ (MLR) ลดเหลือ 6.325% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าใช้วงเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ลดเหลือ 6.095% ต่อปี ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง 3 ประเภทของธนาคาร (MRR / MLR / MOR) ยังคงต่ำที่สุดในระบบ เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ธนาคารจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเดิม เพื่อให้ผู้ฝากยังได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมตามภารกิจส่งเสริมการออม ควบคู่กับการสนับสนุนให้เศรษฐกิจปรับตัวรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศที่กระทบกำลังซื้อและความสามารถในการแข่งขัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง    

18 Aug 2025

...

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมด้วย นายไพศาล หงษ์ทอง รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. ลงพื้นที่เยี่ยมและให้กำลังใจ 2 ครอบครัววีรชนทหารกล้าที่เสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องแผ่นดินไทยจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย – กัมพูชา ได้แก่ นางกฤษณา น้อยโคตร มารดาของ ส.อ. กฤษฎา น้อยโคตร สังกัดกองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 6 กองพลทหารราบที่ 6 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 และ นายจันดา ป้องแก้ว บิดาของ จ.ส.อ. อโณทัย ป้องแก้ว สังกัดกองพันปฏิบัติการพิเศษ กรมรบพิเศษที่ 3 (ฉก.90) หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 โดย ธ.ก.ส. ได้มอบความช่วยเหลือแก่ครอบครัวทหารตามมติที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ที่เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ กรณีบุตร หรือคู่สมรส ของลูกค้า ธ.ก.ส. เป็นทหาร หรือ ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา โดยยกหนี้ในส่วนของต้นเงินกู้ทุกสัญญา และยกหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยทั้งจำนวน ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้ความช่วยเหลือ และลดภาระให้ทั้ง 2 ครอบครัววีรชนทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อภารกิจสำคัญในการปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างมั่นคงต่อไป   ฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดย ผู้จัดการ ธ.ก.ส. ได้กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับทั้ง 2 ครอบครัววีรชนทหารกล้าที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ซึ่งความกล้าหาญเหล่านี้จะถูกจารึกไว้ในความทรงจำของคนไทยตลอดไป โดย ธ.ก.ส. รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสมาให้กำลังใจให้แก่ครอบครัววีรชนผู้เสียสละเพื่อส่งมอบความช่วยเหลือกรณีพิเศษในครั้งนี้ และพร้อมให้การสนับสนุนดูแลในด้านต่าง ๆ ตามภารกิจของธนาคารต่อไป   ในโอกาสนี้ ธ.ก.ส. ยังได้มอบข้าวพร้อมทาน ตราอุ่นอิ่ม ทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้องหอมมะลิ และข้าวไรซ์เบอร์รี ที่สามารถรับประทานได้ทันที สะดวก สะอาด ปลอดภัย พกพาง่าย โดยไม่ต้องอุ่น และสามารถเก็บรักษาได้ในอุณหภูมิห้องนานถึง 18 เดือน ให้แก่กองทัพภาคที่ 2 สำหรับเป็นเครื่องบริโภคให้กับกำลังพลในพื้นที่ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของทหารและเจ้าหน้าที่ ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาอธิปไตยและความสงบสุขให้กับประชาชนและประเทศชาติของชาติในพื้นที่ชายแดน หรือในภารกิจบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชน โดยมี พ.อ. ฐาพล อ้อชัยภูมิ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จังหวัดอำนาจเจริญ (ฝ่ายทหาร) เป็นผู้แทนในการรับมอบ นอกจากนี้ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. ยังได้พบปะพูดคุยกับเกษตรกรลูกค้าของธนาคารในพื้นที่ตำบลลือ อำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ ที่มาเข้าร่วมเป็นสักขีพยานภายในงาน   ธ.ก.ส. ขอเชิญชวนประชาชนผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อ “ข้าวพร้อมทาน ตราอุ่นอิ่ม” จาก สกต. ร้อยเอ็ด เพื่อสนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตโดยตรง และเป็นส่วนหนึ่งในการส่งขวัญและกำลังใจให้กับทหารแนวหน้าในการปฏิบัติหน้าที่ โดยสามารถติดต่อได้ที่ สกต.ร้อยเอ็ด จำกัด โทร. 088 338 2572 ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ขอแสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา ซึ่งในขณะนี้พี่น้องประชาชนในหลายพื้นที่ยังไม่สามารถกลับเข้าที่พักอาศัยหรือใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดย ธ.ก.ส. พร้อมอยู่เคียงข้างเพื่อก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน สอบถามรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือของ ธ.ก.ส. ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555 ตลอด 24 ชั่วโมง  

12 Aug 2025

...

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวในการประชุมผู้บริหารสายงานกิจการสาขา ซึ่งมีผู้บริหารธนาคารทั้งจากส่วนกลาง และสายงานกิจการสาขา กว่า 1,600 คนทั่วประเทศเข้าร่วมงาน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ จ. เชียงใหม่ เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เดินหน้าทำธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ธนาคารเพื่อสังคมต่อเนื่อง มั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2568 ธนาคารจะสามารถสร้าง Social Impact ได้มากขึ้นตามเป้าหมายเป็นเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 17,000 ล้านบาท   สำหรับนวัตกรรมการเงินเพื่อสังคมในช่วงครึ่งปีหลัง เน้นให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกค้ารายย่อย สามารถเข้าถึงแหล่งทุนที่ช่วยประคับประคองธุรกิจ และทำให้มีสภาพคล่องเพียงพอรองรับสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนไม่แน่นอนจากปัจจัยภายในและภายนอก ผ่านการให้สินเชื่อที่มอบเงื่อนไขพิเศษเพื่อผู้ประกอบการ ได้แก่ สินเชื่อ GSB Smooth Biz, GSB D-VERs, GSB D-Home และมาตรการลดดอกเบี้ยสูงสุด 3% ต่อปี แก่ลูกค้าธนาคารที่เป็นผู้ส่งออก และ Supply Chain ของผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรง/ทางอ้อม จากมาตรการภาษี Trump Tariff ซึ่งเร็ว ๆ นี้ ธนาคารเตรียมออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่อลดภาระผู้ประกอบการในเรื่องนี้ พร้อมกับช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจที่สำคัญเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย   นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อช่วยลดภาระรายย่อย ได้แก่ สินเชื่อเคหะรีไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ย 0% 3 เดือน (เฉลี่ย 3 ปีแรก ดอกเบี้ยต่ำสุดที่ 2.85% ต่อปี) สินเชื่อบ้านเติมตังค์ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ต่ำสุด 4.99% ต่อปี และ สินเชื่อบ้านแลกเงิน คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 3.59% ต่อปี (6 เดือนแรก) ตลอดจนการเร่งปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือกลุ่มฐานราก อาทิ สินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน สินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาส สินเชื่อสำหรับผู้ไม่เคยมีประวัติเครดิต สินเชื่อส่งดีมีเติมพลัส สนับสนุนลูกค้าดีให้กู้เพิ่มได้ ซึ่งธนาคารคาดว่าตลอดปี 2568 จะสามารถช่วยเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และเพิ่มสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการ รวมถึงลูกค้ารายย่อย ผ่านการปล่อยสินเชื่อวงเงินรวมกว่า 2 แสนล้านบาท     ส่วนด้านเงินฝาก เน้นส่งเสริมการออมแบบมีระยะเวลาและเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นสลากออมสินพิเศษ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษแบบมีระยะเวลา เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษเพื่อการเกษียณ 10 ปี เงินฝาก Smart Junior เพื่อส่งเสริมการออมในเยาวชน เป็นต้น ตั้งเป้าหมายเม็ดเงินการออมโดยมีเงินฝากเพิ่มสุทธิไม่ต่ำกว่า 65,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 ทั้งนี้ ธนาคารออมสินดำเนินธุรกิจเป็นธนาคารเพื่อสังคม หรือ Social Bank ด้วยบทบาทหลัก 4 ด้าน คือ 1) การเปิดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงิน 2) การแก้ไขปัญหาหนี้ 3) บทบาทการพัฒนาสังคมและชุมชน และ 4) การสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการสร้างสรรค์และขับเคลื่อนงานทั้ง 4 ด้าน โดยอิงแนวคิด Creating Shared Value (CSV) เพื่อให้ธนาคารสามารถทำกำไรทางธุรกิจในระดับที่เหมาะสม ควบคู่กับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ที่นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของธุรกิจและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม    

08 Aug 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner