Responsive image

Saturday, 14 Jun 2025

หน้าแรก > INSURANCE / ประกันภัย - ประกันชีวิต


เมืองไทยประกันชีวิต เข้าใจทุกความ “ห่วง” ชู “เมืองไทย พรีเมียร์ เลกาซี่ 99/1 (แบบเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์คงที่)” และ “เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น 99/20” ช่วยส่งต่อความมั่นคงเพื่อคนที่คุณรัก

Fri 13/06/2568


เมืองไทยประกันชีวิต  เข้าใจทุกความ  “ห่วง”  ชูแบบประกันภัยเพื่อวางแผนมรดก “เมืองไทย พรีเมียร์ เลกาซี่ 99/1 (แบบเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์คงที่)” และ “เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น 99/20” ตอบโจทย์การสร้างความมั่นคงเพื่อคนที่คุณรัก พร้อมเปิดตัวบริการ “MTL Legacy Consultant” มอบสิทธิพิเศษจาก ติลลิกีแอนด์กิบบินส์ (Tilleke & Gibbins) และ “ชีวามิตร” ช่วยตอบโจทย์การวางแผนการส่งต่อมรดก การออกแบบพินัยกรรมชีวิต การวางแผนการเงินที่ครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

 

นายสาระ ล่ำซำ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า เมืองไทยประกันชีวิต ตอกย้ำความเป็นผู้นำด้านประกันชีวิตและสุขภาพ ที่คอยเคียงข้างดูแลในทุกช่วงของชีวิต (Trusted Lifetime Partner)  พร้อมเข้าใจทุกความ “ห่วง”  เพราะชีวิตไม่แน่นอน การเตรียมพร้อมเพื่อคนที่รักจึงสำคัญ  ล่าสุดเมืองไทยประกันชีวิต เดินหน้าตอบโจทย์การสร้างความมั่นคงเพื่อคนที่คุณรัก เปิดตัว 2 แบบประกันภัย แบบประกันภัย เมืองไทย พรีเมียร์ เลกาซี่ 99/1 (แบบเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์คงที่) และแบบประกันภัย เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น 99/20  ช่วยเตรียมพร้อมวางแผนมรดกเพื่อส่งต่อความมั่นคงด้วยประกันชีวิต เลือกได้ตามความต้องการ ให้คุณเบาใจในวันที่ไม่อยู่

โดยแบบประกันภัย เมืองไทย พรีเมียร์ เลกาซี่ 99/1 (แบบเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์คงที่) ตอบโจทย์การสร้าง “หลักประกันก้อนใหญ่” ได้ด้วย “เงินก้อนเล็ก” หมดห่วงเรื่องการส่งต่อมรดกจากรุ่นสู่รุ่น และมั่นใจได้ว่าคนที่คุณรักจะไม่สะดุดกับปัญหาสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้ ในยามที่คุณไม่อยู่ โดดเด่นด้วยเบี้ยประกันภัยที่ถูกกว่าและได้ความคุ้มครองชีวิตเท่าเดิม พร้อมรับหลักประกันก้อนโตจากความคุ้มครองชีวิต 100%*  ชำระเบี้ยเพียงครั้งเดียว แต่ให้ความดูแลไปตลอดชีวิต สมัครได้ตั้งแต่อายุ 30 วัน – 80 ปี จำนวนเอาประกันภัยขั้นต่ำ 10 ล้านบาท  ผลประโยชน์ที่ได้รับไม่ต้องเสียภาษี

แบบประกันภัย เมืองไทย เฟล็กซี่ โพรเทคชั่น 99/20  โดดเด่นด้วยความคุ้มครองที่ครอบคลุมทั้งชีวิตและสุขภาพ ครบจบในกรมธรรม์เดียว จ่ายสั้นแต่ได้รับความคุ้มครองยาวไปจนถึงอายุ 99 ปี จ่ายเบี้ยประกันภัยแค่ 20 ปี ไม่ต้องมีภาระจ่ายเบี้ยในวัยเกษียณ  พร้อมวงเงินสุขภาพพร้อมใช้ในวัยเกษียณ คุ้มครองค่ารักษาพยาบาลตั้งแต่อายุ 65 ปี ทั้งกรณีผู้ป่วยในและผู้ป่วยนอกด้วยวงเงินเหมาจ่าย ปรับได้ตามใจด้วยการปรับเปลี่ยนวงเงินคุ้มครองชีวิตให้เป็นวงเงินค่ารักษาพยาบาลได้ในวัยเกษียณ เบี้ยคงที่ไม่ปรับเพิ่มตามอายุ ลดหย่อนภาษีได้เต็มก้อน สูงสุด 100,000 บาทต่อปี

 

นายสาระ กล่าวเพิ่มเติมว่า เพื่อเป็นการตอบโจทย์ด้านการวางแผนการส่งต่อมรดกและการวางแผนทางการเงินอย่างครบถ้วน เมืองไทยประกันชีวิต ได้เปิดตัวบริการMTL Legacy Consultant” เพื่อมอบสิทธิพิเศษแก่ลูกค้าคนสำคัญ โดยได้ร่วมมือกับ บริษัท ติลลิกีแอนด์กิบบินส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (Tilleke & Gibbins International) ผู้เชี่ยวชาญในการบริการให้คำปรึกษากฎหมายและภาษีอากร รวมถึงการวางแผนออกแบบพินัยกรรมและธุรกิจครอบครัว และ บริษัท ชีวามิตร วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการวางแผนออกแบบพินัยกรรมชีวิต การให้องค์ความรู้สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพในระยะท้ายที่ดี และจากไปอย่างมีความสุขและการจัดทำหนังสือแสดงเจตนาเลือกวิธีการรักษาในช่วงสุดท้ายของชีวิต (Living Will) จัดทำสมุดบันทึกเพื่อนชีวิต (Living & Leaving Note) 

 

ทั้งนี้ลูกค้าที่ซื้อแบบประกันภัย เมืองไทย พรีเมียร์ เลกาซี่ 99/1 (แบบเงินค่าเวนคืนกรมธรรม์คงที่) ทุนประกันเริ่มต้น 10 ล้านบาทขึ้นไป จะได้รับสิทธิพิเศษ MTL Legacy Consultant” ประกอบด้วย

  • Tilleke & Gibbins รับบริการให้คำปรึกษาในรูปแบบ Online Private Consultant ( 2 ชั่วโมง/ 1 สิทธิ์)
  • กิจกรรม Exclusive Workshop by Cheevamitr วางแผนออกแบบพินัยกรรมชีวิต จัดทำหนังสือแสดงเจตนา (Living Will) และจัดทำสมุดบันทึกเพื่อนชีวิต (Living & Leaving Note) (1 คู่/ 1 สิทธิ์ เข้ากิจกรรม Exclusive Workshop)
  • เข้าร่วม Online Private Consultant บริการให้คำปรึกษาวางแผนการเงินส่วนบุคคล: แผนการลงทุน บริหารความเสี่ยง การวางแผนภาษีและมรดก (1 ชั่วโมง/ 1 สิทธิ์)   

 

 

ระยะเวลาการใช้สิทธิ์ สำหรับลูกค้าที่ซื้อกรมธรรม์ในโครงการตามเงื่อนไข โดยกรมธรรม์อนุมัติตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2568 สามารถใช้สิทธิ์เข้ารับคำปรึกษาภายใน 31 มีนาคม 2569 และสำรองสิทธิ์เข้าร่วมกิจกรรม Exclusive Workshop ตามรอบที่บริษัทฯ กำหนด

“เมืองไทยประกันชีวิตให้ความสำคัญกับทุกความห่วง เราจึงได้มีการพัฒนาแบบประกันภัยที่หลากหลาย เพื่อตอบโจทย์ในเรื่องของการวางแผนมรดกเพื่อส่งต่อความมั่นคงให้คนที่คุณรัก ครอบคลุมทั้งแบบที่ต้องการวงเงินความคุ้มครองสูงเพื่อสร้างหลักประกันก้อนใหญ่ การสร้างหลักประกันก้อนใหญ่ด้วยเงินก้อนเล็ก จะจ่ายเบี้ยระยะสั้นหรือระยะยาวก็เลือกได้ รวมถึงสิทธิพิเศษจาก MTL Legacy Consultant ยังให้บริการครอบคลุมไปถึงสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ ที่สามารถเลือกแลกคะแนนสะสม Smile Point เพื่อเข้ารับบริการได้อีกด้วย ถือเป็นการเปิดกว้างให้ทุกคนได้เข้าถึงการวางแผนส่งต่อความห่วงใยให้กับคนที่คุณรักอย่างแท้จริง” นายสาระ กล่าว

ผู้ที่สนใจแบบประกันภัยเพื่อวางแผนส่งต่อความมั่นคงให้คนที่คุณรัก จากเมืองไทยประกันชีวิต สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.muangthai.co.th  หรือโทร.1766  ตลอด 24 ชั่วโมง  หรือติดต่อตัวแทนจากเมืองไทยประกันชีวิตทั่วประเทศ สาขา ธนาคารกสิกรไทย และ ธนาคารแลนด์ แอนด์ เฮ้าส์  #เมืองไทยประกันชีวิต #MuangThaiLife

 

 

ข้อมูลชีวามิตร

คุณหญิงจำนงศรี หาญเจนลักษณ์  ผู้ก่อตั้ง และ ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ บริษัท ชีวามิตร วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด โดยชีวามิตรเป็นผู้เชี่ยวชาญในการให้คำปรึกษาด้านการวางแผนออกแบบพินัยกรรมชีวิต การให้องค์ความรู้สำหรับการเตรียมความพร้อมด้านสุขภาพในระยะท้ายที่ดี และจากไปอย่างมีความสุขและการ จัดทำหนังสือแสดงเจตนาเลือกวิธีการรักษาในช่วงสุดท้ายของชีวิต (Living Will)  และจัดทำสมุดบันทึกเพื่อนชีวิต (Living & Leaving Note)

ข้อมูล Tilleke & Gibbins

นายสราวุธ ไกรลาศศิริ Tax Partner บริษัท ติลลิกีแอนด์กิบบินส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นบริษัทผู้เชี่ยวชาญในการบริการให้คำปรึกษากฎหมายและภาษีอากร ผู้ให้บริการปรึกษาการวางแผนออกแบบพินัยกรรมและธุรกิจครอบครัว  ปรึกษาด้านกฎหมาย กฎระเบียบการลงทุน ผู้ถือหุ้น หุ้นส่วน ข้อตกลงการควบรวมกิจกรรม (สำหรับธุรกิจครอบครัว)  บริการปรึกษาด้านบัญชี ด้านภาษีอากร และภาษีมรดก

หมายเหตุ :

* ความคุ้มครองชีวิตเท่ากับ 100% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย ณ วันที่เริ่มมีผลคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัย หรือ มูลค่าเวนคืนในขณะนั้น หรือ 101% ของจำนวนเบี้ยประกันภัยที่ผู้เอาประกันภัยได้ชำระไว้แล้ว (แล้วแต่จำนวนใดจะสูงกว่า)

  • เงื่อนไขความคุ้มครองเป็นไปตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์
  • การพิจารณารับประกันภัยเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของบริษัทฯ
  • เบี้ยประกันภัยสามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ ทั้งนี้ หลักเกณฑ์เป็นไปตามที่กรมสรรพากร กำหนด
  • คะแนนสะสม Smile Point เป็นเพียงสัญลักษณ์ที่ใช้แสดงสิทธิ์เข้าร่วมโครงการเมืองไทยสไมล์คลับ ซึ่งจัดขึ้นเพื่อสร้าง ความสัมพันธ์กับลูกค้าที่สมัครสมาชิกเมืองไทยสไมล์คลับ

เงื่อนไขการสำรองสิทธิ์รับบริการ : เงื่อนไขการสำรองสิทธิ์รับบริการ : 

  •  บริการให้คำปรึกษาของ Tilleke&Gibbins : ผู้ได้รับสิทธิ์จากโครงการสามารถใช้สิทธิ์ได้ 1 สิทธิ์/ท่าน/ตลอดโครงการ โดย 1 สิทธิ์สามารถใช้บริการได้ 2 ชั่วโมง (ไม่รวมการแนะนำการให้บริการฟรีในครั้งแรก 30 นาที)
  • บริการให้คำปรึกษาของชีวามิตร : ผู้ได้รับสิทธิ์จากโครงการสามารถใช้สิทธิ์ได้ 1 สิทธิ์/ท่าน/ตลอดโครงการ
  • บริการให้คำปรึกษาโดยนักวางแผนการเงิน : ผู้ได้รับสิทธิ์จากโครงการสามารถใช้สิทธิ์ได้ 1 สิทธิ์/ท่าน/ตลอดโครงการ โดย 1 สิทธิ์สามารถใช้บริการได้ 1 ชั่วโมง
  •  ผู้ได้รับสิทธิ์จากโครงการสำรองสิทธิ์ นัดหมายล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วันก่อนการใช้บริการที่ Call Center เมืองไทยสไมล์คลับ โทร. 1766 กด 2 (จันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 น – 16.00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์)
  • ผู้ได้รับสิทธิ์จากโครงการสามารถแจ้งรหัสรับสิทธิ์ (Code) ของท่าน บน MTL Click Application แก่เจ้าหน้าที่เมืองไทยประกันชีวิต ณ วันที่โทรนัดหมายจองสิทธิ์รับบริการ
  • กรณีที่มีการยกเลิก หรือเปลี่ยนแปลงการจอง กรุณาแจ้งล่วงหน้า 5 วันทำการ ก่อนการรับบริการ ทั้งนี้ทำการแจ้งผ่าน Call Center เมืองไทยสไมล์คลับ โทร. 1766 กด 4 (จันทร์ – ศุกร์ เวลา 9.00 น – 16.00 น. ยกเว้นวันหยุดนักขัตฤกษ์) หากไม่แสดงตัวตามเวลานัดหมาย ให้ถือว่าผู้รับบริการได้ใช้สิทธิตามรหัสรับสิทธิโดยสมบูรณ์แล้ว

คำเตือน : ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง


Tags : เมืองไทยประกันชีวิต สาระล่ำซำ เมืองไทยประกันชีวิตชูแบบประกันภัยเพื่อวางแผนมรดก เมืองไทยพรีเมียร์เลกาซี่99/1 เมืองไทยเฟล็กซี่โพรเทคชั่น99/20 MTLLegacyConsultant ชีวามิตรวิสาหกิจเพื่อสังคม


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

SME D Bank ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดผลกระทบให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจากสถานการณ์เศรษฐกิจ คิกออฟโครงการ “SME D ให้ใจ ไปถึงถิ่น” ยกทัพทีมงานสาขา พร้อมหน่วยสนับสนุนจากทั่วประเทศ ลงพื้นที่พร้อมกันไปมอบบริการถึงสถานประกอบการ แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจ ตลอดเดือนมิถุนายน 2568  อำนวยความสะดวกพาเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ เพียง 3%ต่อปี และการพัฒนา ช่วยยกระดับเพิ่มศักยภาพธุรกิจ  นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย" (ธพว.) หรือ SME D Bank   กล่าวว่า  SME D Bank ขานรับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงการคลัง ที่ต้องการให้สถาบันการเงินของรัฐ เป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึง ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ  ทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกา การล้นทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ เป็นต้น  ดังนั้น SME D Bank จึงทำงานเชิงรุกด้วยการดำเนินโครงการ “SME D ให้ใจ ไปถึงถิ่น” ยกทัพทีมงานสาขา พร้อมทีมสนับสนุนจากทั่วประเทศ กระจายลงพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อไปมอบบริการสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีถึงสถานประกอบการ รวมถึง แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจสำคัญต่างๆ ทั่วประเทศ จังหวัดละ 4-5 จุด  ตลอดเดือนมิถุนายน 2568 โดยกำหนดคิกออฟพร้อมกันในวันที่ 7 มิถุนายน 2568      ทั้งนี้ พร้อมให้บริการ ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ของธนาคารในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิดและทั่วถึงมากที่สุด  ประกอบด้วยบริการพาถึงเงินทุน ผ่านโครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) วงเงินรวมกว่า 30,000 ล้านบาท ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจและทุกความต้องการเอสเอ็มอีไทย จุดเด่นอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3% ปีแรก  ผ่อนนานสูงสุดถึง 10 ปี  และปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 12 เดือน สามารถแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ได้ทันที หากเอกสารพร้อม รู้ผลการพิจารณาภายใน 10 วันทำการ ประกอบด้วย 1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท  สนับสนุนผู้ประกอบการลงทุนติดตั้งระบบอุปกรณ์ โดยเฉพาะแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าพลังงาน และมุ่งสู่ธุรกิจสีเขียว   2.สินเชื่อ "ปลุกพลัง SME"  วงเงินกู้สูงสุด 1.5 ล้านบาท  สำหรับผู้ประกอบการรายเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท ช่วยต่อยอดเพิ่มสภาพคล่องในธุรกิจ และ 3.สินเชื่อ "Beyond ติดปีก SME"  วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 2 ล้านบาทขึ้นไป  เพื่อเพิ่มศักยภาพยกระดับการดำเนินธุรกิจ  และเสริมสภาพคล่องในธุรกิจ สำหรับวงเงิน 30,000 ล้านบาท ที่จะอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จะมีส่วนสำคัญผลักดันให้เอสเอ็มอียกระดับเพิ่มศักยภาพ  เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ ในทุกพื้นที่    ตั้งเป้าสนับสนุนเข้าถึงแหล่งทุนได้กว่า 14,000 กิจการ  รักษาการจ้างงานได้ประมาณ 198,000 คน และกระตุ้นเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 160,000 ล้านบาท      อีกทั้ง ยังสนับสนุนด้านการพัฒนา ผ่านแพลตฟอร์ม "DX by SME D Bank" ช่วยเสริมแกร่งครบวงจร สามารถสมัครใช้บริการได้ทันทีเช่นกัน  มีฟังก์ชันสำคัญ เช่น ระบบ  “Business Health Check”  ตรวจสุขภาพทางธุรกิจ  ระบบ E-Learning รวบรวมหลักสูตรความรู้สำคัญ ช่วยเพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ เรียนรู้ได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง ระบบ SME D Activity  สามารถจองเข้าร่วมกิจกรรมเติมความรู้ได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ระบบ SME D Coach มีโค้ชมืออาชีพคอยเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำธุรกิจ  ระบบ SME D Market ช่วยขยายตลาดด้วย E-marketplace หนุนจับคู่ธุรกิจ  และระบบ SME D Privilege  ที่มอบสิทธิประโยชน์พิเศษมากมาย การลงพื้นที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ธนาคารจะรับแจ้งความต้องการจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี  ผ่านการลงทะเบียนออนไลน์เพียงสแกน QR Code ด้วยสมาร์ตโฟน และกรอกข้อมูลเข้าระบบ ซึ่งข้อมูลจะถูกส่งไปยังสาขาธนาคารในพื้นที่ที่ผู้ประกอบการระบุทันที จากนั้น เจ้าหน้าที่สาขาจะติดต่อกลับ เพื่อดำเนินการตอบความต้องการต่างๆ ของผู้ประกอบการอย่างฉับไวที่สุด      นอกจากนั้น ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังสามารถแจ้งความประสงค์รับบริการด้านการเงินและการพัฒนาจาก SME D Bank  ได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น สาขาของ SME D Bank ทุกแห่งทั่วประเทศ  ,  LINE Official Account : SME Development Bank  และเว็บไซต์  www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

10 Jun 2025

...

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ขานรับนโยบายนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมกรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) เพื่อช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ให้กลับมามีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวดได้ตามปกติ เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและเงินงวด นานสูงสุด 1 ปี ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL BFRIEND และสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน – 31 ธันวาคม 2568   นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากการที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ ช่วยเหลือภาคธุรกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 256 และมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้มีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวด เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป ดังนั้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงขานรับนโยบายดังกล่าว โดยการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ให้กับลูกค้าธนาคาร จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) สำหรับลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปีให้กลับมามีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวดได้ตามปกติ เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป โดยมีรายละเอียด ดังนี้             เดือนที่ 1 – 6      : คิดอัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรก 0% ต่อปี โดยผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาทต่อเดือน             เดือนที่ 7 - 9      : ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 1.90 % +100 บาท             เดือนที่ 10 -12   : ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 3.90 % +100 บาท                                       กรณีลูกค้าชำระเกินที่ธนาคารกำหนดให้นำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระ (หากมี) “การจัดทำมาตรการ DC3 ของ ธอส. ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยลูกค้ารักษาบ้านของตนเองแล้ว ยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยให้ปรับตัวลดลงได้ด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังให้ความสำคัญ ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวควบคู่ไปกับการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ฯ ซึ่ง ธอส. ได้จัดทำสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำรองรับการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 240,000 ล้านบาทในปีนี้” นายกมลภพ กล่าว   อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ธอส. มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ กลุ่มลูกค้า NPL อีกจำนวน  4 มาตรการ นอกจากนี้ ธอส. ยังดำเนินการตามนโยบายกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการเปิดขยายเวลาการเข้าร่วม “โครงการคุณสู้ เราช่วย” ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เพื่อช่วยลูกหนี้ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน แต่เคยมีประวัติการค้างชำระเกิน 30 วัน ก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน  2567 และได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ให้ได้รับความช่วยเหลือต่อเนื่อง และยังจัดทำมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทา ความเดือดร้อนให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมาด้วย ลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL BFRIEND และสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน – 31 ธันวาคม 2568 โดยแสดงหลักฐานการได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ / ธุรกิจ / การค้า หรือจากสภาวะทางเศรษฐกิจ เพื่อประกอบการพิจารณา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ G H Bank Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th  

02 Jun 2025

...

ตามที่รัฐบาลโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ ช่วยเหลือภาคธุรกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ผ่านการลดเป้าหมายกำไรทางธุรกิจเพื่อนำเม็ดเงินงบประมาณมาจัดทำโครงการ/มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการนั้น   นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารจึงได้เร่งรัดดำเนินการ ประกาศลดดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการกลุ่มสินเชื่อธุรกิจที่เป็นลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร ในอัตรา 2 - 3% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกธุรกิจ Supply Chain และผู้ผลิตสินค้าที่ต้องมีการแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ เนื่องจากนโยบายกำแพงภาษีฯ ส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนสินค้าไทยเพิ่มขึ้น การส่งออกชะลอตัว และอาจทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงจนนำไปสู่ปัญหาการขาดสภาพคล่อง และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงิน เสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจสามารถประคองตัวและดำเนินกิจการต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย มาตรการลดดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ครอบคลุมลูกค้าปัจจุบันกลุ่มสินเชื่อธุรกิจธนาคารออมสินทุกประเภทที่มีสถานะบัญชีปกติ โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่ได้รับผลกระทบ ธุรกิจ Supply Chain และผู้ผลิตที่ต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ ลดดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 3% ต่อปี จากอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิม ระยะเวลาการลดดอกเบี้ย ไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่จัดทำนิติกรรมสัญญา ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด ลูกค้าที่เข้าหลักเกณฑ์สามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่ สาขาธนาคารออมสินที่มีบัญชีเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2568 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115  

25 May 2025

...

SME D Bank เผยผลตรวจสุขภาพธุรกิจผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านระบบ Business Health Check ในแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” (dx.smebank.co.th)   พบจุดอ่อนสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านบริหารการเงิน  ด้านจัดการนวัตกรรม-เทคโนโลยี และด้านการตลาด  ประกาศเดินหน้าช่วย “เติมความรู้คู่เงินทุน” เสริมศักยภาพให้เข้มแข็ง ปิดจุดอ่อน สามารถก้าวผ่านอุปสรรคได้ในทุกสถานการณ์   นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากที่ SME D Bank มีบริการ “ตรวจสุขภาพทางธุรกิจ” หรือ “Business Health Check”  แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th)  เพื่อให้รับรู้ข้อมูลและเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนในกิจการตัวเอง ก่อนนำไปสู่การเติมทักษะ ปิดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งได้ตรงกับความต้องการของแต่ละกิจการ  ทั้งนี้  ระยะเวลาประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้ารับบริการตรวจสุขภาพทางธุรกิจ รวมกว่า 9,200 กิจการ  พบทักษะ 3 ด้านที่เป็นจุดอ่อนสำคัญ ได้แก่  อันดับ 1  ด้านการบริหารจัดการเงิน  ระดับคะแนนประเมินผลอยู่ที่ 1.8 จากคะแนนเต็ม 5 ตามด้วย อันดับ 2  ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี (2.6 คะแนน) และอันดับ 3 ด้านการสื่อสารการตลาด (3.6 คะแนน) โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในทุกขนาดธุรกิจ ล้วนมีจุดอ่อนใน 3 ด้านนี้เหมือนกัน แตกต่างกันในรายละเอียดและความซับซ้อนในทักษะที่ต้องพัฒนา   สำหรับด้านการบริหารจัดการเงิน กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) มีคะแนนต่ำที่สุด ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นความสำคัญของการทำบัญชี ไม่แยกเงินส่วนตัวกับธุรกิจ ไม่เข้าใจหลักการบัญชีเบื้องต้น ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการคำนวณกำไรขาดทุน รวมถึงความสามารถในการเข้าถึงแหล่งทุน  ส่วนกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก (Small) มีการบันทึกข้อมูลทางการเงิน แต่ขาดเครื่องมือหรือการลงทุนในระบบบัญชีที่เป็นมาตรฐาน รวมถึงขาดการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อวางแผนระยะยาว ขณะที่ ผู้ประกอบการขนาดกลาง (Medium) ต้องการทักษะการวิเคราะห์ทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น และในหลายกิจการขาดการบูรณาการข้อมูล ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ผู้ประกอบการรายย่อย ไม่รู้ว่ามีเทคโนโลยีอะไรที่ช่วยธุรกิจเล็กๆ ได้บ้าง และยังไม่สามารถเชื่อมโยงการใช้เทคโนโลยีด้านการตลาดได้อย่างเต็มศักยภาพ ส่วนผู้ประกอบการขนาดเล็ก ไม่รู้ว่าเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมรูปแบบใดเหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง และไม่มีแผนหรือนโยบายที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายของธุรกิจ รวมถึงไม่กล้ารับความเสี่ยงที่จะล้มเหลวจากการลงทุนในนวัตกรรม  สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง ไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมนวัตกรรมได้อย่างแท้จริง ด้านการสื่อสารการตลาด ผู้ประกอบการรายย่อย  ขาดทักษะในการใช้ Social Media ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับการตลาด รวมถึงไม่เข้าใจการตลาดพื้นฐาน ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดเล็ก  ขาดทักษะในการใช้เครื่องมือและการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด ไม่รู้วิธีวัดผลลัพธ์จากการทำการตลาด ทำให้กระทบต่อการวางแผนการตลาดอย่างเป็นระบบ ส่วนผู้ประกอบการขนาดกลาง ขาดการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดเชิงลึกและการบูรณาการข้อมูลจากทุกช่องทาง ทั้งนี้ ผลการตรวจสุขภาพทางธุรกิจ พบว่า ในภาพรวม ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยมีทักษะที่เข้มแข็ง  2 ด้าน ได้แก่ การบริหารประสิทธิภาพการผลิตหรือบริการ และการบริหารจัดการองค์กร ซึ่งเป็นศักยภาพที่ควรเสริมให้แกร่งขึ้นในยุคที่ความไม่แน่นอนสูง การบริหารจัดการต้นทุนทำได้ยากขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการประสิทธิภาพตามแนวทางธุรกิจสีเขียว เพื่อให้กำไรสูงสุดภายใต้เงื่อนไขการปล่อยคาร์บอนต่ำสุด   นายพิชิต กล่าวต่อว่า  จากที่เห็นจุดอ่อนสำคัญของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย  SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐเดินหน้ายกระดับพัฒนาศักยภาพให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ผ่านบริการ “เติมความรู้คู่เงินทุน” ช่วยเสริมศักยภาพในหลากหลายรูปแบบ เพื่อช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ปิดจุดอ่อนใน 3 ด้านดังกล่าว สำหรับด้านการพัฒนาผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน จัดโครงการพัฒนาทั้งออนไซต์ควบคู่ออนไลน์ เช่น โครงการ “ทุนก็มี ภาษีก็รู้ ก้าวสู่ความยั่งยืน” จับมือกรมสรรพากร   ให้ความรู้ด้านการเงิน ในรูปแบบ One Stop Service ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โครงการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยี โครงการสนับสนุนด้านการตลาด เช่น สอนการสร้างคอนเทนต์ด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ กิจการ SME D Market รวมถึง Business Matching ช่วยเพิ่มรายได้ขยายตลาด เป็นต้น อีกทั้ง มีบริการแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th) ช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจครบวงจร ใช้บริการได้สะดวกสบาย ตลอด 24 ชม. เช่น  E-Learning รวบรวมหลักสูตรความรู้เพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ ทั้งการบริหารจัดการธุรกิจ นวัตกรรม เทคโนโลยี มาตรฐาน การตลาด การเงิน และเตรียมพร้อมเข้าถึงแหล่งเงินทุน  , SME D Coach ที่ปรึกษาและให้คำแนะนำธุรกิจจากโค้ชมืออาชีพ  , E-marketplace ช่วยขยายช่องทางขยายตลาด และเชื่อมโยงจับคู่ธุรกิจ และ Privilege สิทธิประโยชน์เพื่อยกระดับธุรกิจ เป็นต้น ควบคู่กับให้บริการด้านการเงิน ช่วยให้มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อลงทุน ปรับปรุง ขยายกิจการ  หมุนเวียน หรือลดต้นทุนทางการเงิน เป็นต้น  จุดเด่นอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปี  คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน  ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถแจ้งความประสงค์ใช้บริการด้านการพัฒนาและการเงินได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น  แพลตฟอร์ม DX by SME D Bank , LINE Official Account : SME Development Bank และเว็บไซต์ www.smebank.co.th  เป็นต้น  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357   

24 May 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner