Responsive image

Wednesday, 13 Aug 2025

หน้าแรก > ECONOMY- FINANCE / เศรษฐกิจ - การเงิน


กรุงศรี จัดงานแห่งปี “Krungsri-MUFG Business Forum: Thriving to Sustainable Future” ก้าวสู่การเติบโตที่ยั่งยืน ในโอกาสครบรอบ 80 ปีของกรุงศรี

Tue 12/08/2568


นายคาเนทสุกุ มิเกะ (ที่ 6 จากขวา) ประธานกรรมการ MUFG นายโนริอากิ โกโตะ (ที่ 4 จากขวา) ประธานกรรมการ และนายเคนอิจิ ยามาโตะ (ที่ 6 จากซ้าย) กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ให้การต้อนรับนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ (กลาง) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ที่งานสัมมนาสุดยิ่งใหญ่แห่งปี Krungsri-MUFG Business Forum 2025 ภายใต้แนวคิด “Thriving to Sustainable Future”


กรุงศรี (ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)) ก้าวสู่ความสำเร็จในวาระครบรอบปีที่ 80 ด้วยวิสัยทัศน์มุ่งสู่การเป็นธนาคารแห่งภูมิภาคเพื่อความยั่งยืน โดยร่วมมือกับ MUFG หนึ่งในกลุ่มสถาบันการเงินที่ใหญ่ที่สุดในโลก  จัดงานสัมมนาสุดยิ่งใหญ่แห่งปี Krungsri-MUFG Business Forum 2025 ภายใต้แนวคิด “Thriving to Sustainable Future” เวทีที่รวบรวมผู้นำจากหลากหลายอุตสาหกรรมมาร่วมแลกเปลี่ยนมุมมองและกลยุทธ์การเติบโตท่ามกลางความผันผวนของเศรษฐกิจโลก พร้อมตอกย้ำพันธกิจระยะยาวร่วมกันของทั้งสององค์กรในการขับเคลื่อนความก้าวหน้าทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศไทยอย่างยั่งยืน

นายคาเนทสุกุ มิเกะ ประธานกรรมการ MUFG กล่าวว่า “ปี 2568 เป็นโอกาสครบรอบ 80 ปีที่กรุงศรีได้ให้บริการลูกค้าทั้งในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน ในนามของ MUFG ซึ่งเป็นพันธมิตรเชิงกลยุทธ์ ขอแสดงความยินดีกับกรุงศรีในวาระนี้         อันเป็นหมุดหมายสำคัญที่แสดงให้เห็นถึงการมีส่วนร่วมของกรุงศรีต่อการเสริมสร้างเศรษฐกิจและสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง ภายใต้แผนธุรกิจระยะกลางของ MUFG (ปีงบประมาณ 2567-2569) การเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจของเราในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นเป้าหมายหลักในการขับเคลื่อนการเติบโต โดยประเทศไทยยังคงเป็นตลาดหลักที่มีความสำคัญเชิง          กลยุทธ์ ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาความร่วมมือกับกรุงศรีกว่า 12 ปี เราได้สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเสมือนคนในครอบครัว และเราจะยังคงยืนหยัดร่วมกันในการผลักดันการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเสริมสร้างความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจไม่เพียงแต่ในประเทศไทย แต่ยังครอบคลุมทั่วทั้งภูมิภาคอีกด้วย”

 

นายคาเนทสุกุ มิเกะ ประธานกรรมการ MUFG

 

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “ในโอกาสครบรอบ 80 ปีของกรุงศรี สะท้อนถึงเส้นทางการเติบโตของเราตั้งแต่จุดเริ่มต้นที่เรียบง่ายสู่การเป็นสถาบันการเงินที่ใหญ่เป็นอันดับห้าของประเทศไทย และให้บริการลูกค้ากว่า 19 ล้านรายทั่วทั้งภูมิภาคอาเซียน บนเส้นทางดังกล่าว กรุงศรีได้ก้าวข้ามวิกฤติเศรษฐกิจ รวมถึงสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเศรษฐกิจและสังคมทั่วโลก การยืนหยัดอย่างมั่นคงท่ามกลางสถานการณ์ดังกล่าวได้หล่อหลอมให้กรุงศรีมีความแข็งแกร่ง พร้อมรับมือกับความท้าทายที่ซับซ้อนในปัจจุบันทั้งระดับโลกและระดับประเทศ ไม่ว่าจะเป็นความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ รวมถึงการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีและสภาพภูมิอากาศ”  

 

นายเคนอิจิ ยามาโตะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน)

 

“เพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงในสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว กรุงศรีมุ่งเน้นการเสริมความแข็งแกร่งในธุรกิจหลัก (Core Banking) เร่งขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล สนับสนุนวัฒนธรรมเชิงนวัตกรรม และดำเนินธุรกิจบนความยั่งยืน โดยมีเป้าหมายการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ (Krungsri Net Zero Vision) ภายในปี 2573”

กรุงศรี มุ่งมั่นที่จะเป็นธนาคารพันธมิตรที่ลูกค้าธุรกิจไว้วางใจ พร้อมส่งเสริมให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงผ่านการดำเนินงานใน 3 ด้านหลัก ได้แก่

  • การเชื่อมโยงกลยุทธ์และความร่วมมือ: ขับเคลื่อนโครงการต่าง ๆ ที่สอดคล้องกับนโยบายสำคัญของประเทศไทย พร้อมใช้ประโยชน์จากเครือข่ายระดับโลกของ MUFG เพื่อส่งเสริมการพัฒนาที่ยั่งยืน ซึ่งรวมถึงการพัฒนาโซลูชันทางการเงิน ความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมต่าง ๆ และการขยายความร่วมมือในระดับภูมิภาค เพื่อเสริมศักยภาพการแข่งขันให้กับลูกค้าทั่วทั้งอาเซียน
  • นวัตกรรมดิจิทัล: ยกระดับขีดความสามารถให้เหนือกว่าการให้บริการทางการเงินแบบดั้งเดิม ด้วยการลงทุนในโซลูชันดิจิทัล และเทคโนโลยีที่ขับเคลื่อนด้วย AI ควบคู่กับการบริหารจัดการความเสี่ยงอย่างรอบด้าน เพื่อสนับสนุนการเปลี่ยนผ่านและการเติบโตของลูกค้าอย่างมีประสิทธิภาพ
  • พันธกิจด้านความยั่งยืน: บูรณาการแนวคิดด้านความยั่งยืนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินธุรกิจ พร้อมส่งเสริมสังคมที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ ความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม และคุณภาพชีวิตของประชาชน ทั้งนี้ กรุงศรีได้ตั้งเป้าหมายใหม่ที่จะเพิ่มการสนับสนุนทางการเงินให้แก่โครงการธุรกิจเพื่อสังคมและความยั่งยืน (SSF) ให้ถึง 250,000 ล้านบาทภายในปี 2573 ตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจสีเขียวและการพัฒนาอย่างยั่งยืน

งาน Krungsri-MUFG Business Forum 2025: Thriving to a Sustainable Future” ได้รับเกียรติจากผู้นำด้านเศรษฐกิจ การเงิน และธุรกิจระดับประเทศและระดับโลก มาร่วมแสดงวิสัยทัศน์ และแบ่งปันมุมมองเชิงลึกในการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน รวมทั้งกิจกรรมต่าง ๆ อาทิ การนำเสนอแผนธุรกิจเพื่อร่วมเปลี่ยนโลกในโครงการ Krungsri ESG Awards และการมอบเกียรติบัตร Krungsri ESG Academy สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจเข้าร่วมแนวทางการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืน เป็นต้น ภายในงาน กรุงศรียังได้เน้นย้ำถึงบทบาทผู้นำในการนำเสนอโซลูชันทางการเงินที่สร้างสรรค์ พร้อมแนวทางด้านความยั่งยืน ที่ครอบคลุมมากกว่ากรอบ ESG แบบดั้งเดิม โดยมุ่งมั่นส่งมอบเครื่องมือ พันธมิตร และความมั่นใจให้แก่ลูกค้า เพื่อรับมือกับความท้าทายทางเศรษฐกิจในยุคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว และเสริมศักยภาพการแข่งขันในระดับภูมิภาคอาเซียน

“งานในวันนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของกรุงศรีในการเป็นธนาคารพันธมิตรที่ลูกค้าธุรกิจเชื่อมั่นและไว้วางใจ พร้อมสนับสนุนการเติบโตและปรับตัวของลูกค้าในทุกมิติ เราเชื่อว่าพลังของความร่วมมือ นวัตกรรม รวมถึงแนวทางการดำเนินธุรกิจที่ยึดหลักความยั่งยืน คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจสามารถก้าวข้ามการเปลี่ยนแปลงและความซับซ้อนของโลกยุคใหม่ได้อย่างมั่นใจ ตลอด 80 ปีที่ผ่านมากรุงศรีได้เติบโตเคียงข้างภาคธุรกิจและสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง และจะยังคงยึดมั่นในพันธกิจที่จะไม่เพียงแค่ช่วยให้ธุรกิจอยู่รอด แต่จะต้องเติบโตอย่างแข็งแกร่งและยั่งยืน ด้วยความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทย และพลังในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนและรุ่งเรืองไปด้วยกัน” นายยามาโตะ กล่าวปิดท้าย

 


Tags : กรุงศรี ธนาคารกรุงศรี กรุงศรีอยุธยา ธนาคารกรุงศรีอยุธยา Krungsri-MUFG Business Forum 2025 กรุงศรีครบรอบ 80 ปี คาเนทสุกุ มิเกะ เคนอิจิ ยามาโตะ


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมด้วย นายไพศาล หงษ์ทอง รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. ลงพื้นที่เยี่ยมและให้กำลังใจ 2 ครอบครัววีรชนทหารกล้าที่เสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องแผ่นดินไทยจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย – กัมพูชา ได้แก่ นางกฤษณา น้อยโคตร มารดาของ ส.อ. กฤษฎา น้อยโคตร สังกัดกองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 6 กองพลทหารราบที่ 6 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 และ นายจันดา ป้องแก้ว บิดาของ จ.ส.อ. อโณทัย ป้องแก้ว สังกัดกองพันปฏิบัติการพิเศษ กรมรบพิเศษที่ 3 (ฉก.90) หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 โดย ธ.ก.ส. ได้มอบความช่วยเหลือแก่ครอบครัวทหารตามมติที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ที่เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ กรณีบุตร หรือคู่สมรส ของลูกค้า ธ.ก.ส. เป็นทหาร หรือ ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา โดยยกหนี้ในส่วนของต้นเงินกู้ทุกสัญญา และยกหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยทั้งจำนวน ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้ความช่วยเหลือ และลดภาระให้ทั้ง 2 ครอบครัววีรชนทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อภารกิจสำคัญในการปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างมั่นคงต่อไป   ฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดย ผู้จัดการ ธ.ก.ส. ได้กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับทั้ง 2 ครอบครัววีรชนทหารกล้าที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ซึ่งความกล้าหาญเหล่านี้จะถูกจารึกไว้ในความทรงจำของคนไทยตลอดไป โดย ธ.ก.ส. รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสมาให้กำลังใจให้แก่ครอบครัววีรชนผู้เสียสละเพื่อส่งมอบความช่วยเหลือกรณีพิเศษในครั้งนี้ และพร้อมให้การสนับสนุนดูแลในด้านต่าง ๆ ตามภารกิจของธนาคารต่อไป   ในโอกาสนี้ ธ.ก.ส. ยังได้มอบข้าวพร้อมทาน ตราอุ่นอิ่ม ทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้องหอมมะลิ และข้าวไรซ์เบอร์รี ที่สามารถรับประทานได้ทันที สะดวก สะอาด ปลอดภัย พกพาง่าย โดยไม่ต้องอุ่น และสามารถเก็บรักษาได้ในอุณหภูมิห้องนานถึง 18 เดือน ให้แก่กองทัพภาคที่ 2 สำหรับเป็นเครื่องบริโภคให้กับกำลังพลในพื้นที่ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของทหารและเจ้าหน้าที่ ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาอธิปไตยและความสงบสุขให้กับประชาชนและประเทศชาติของชาติในพื้นที่ชายแดน หรือในภารกิจบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชน โดยมี พ.อ. ฐาพล อ้อชัยภูมิ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จังหวัดอำนาจเจริญ (ฝ่ายทหาร) เป็นผู้แทนในการรับมอบ นอกจากนี้ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. ยังได้พบปะพูดคุยกับเกษตรกรลูกค้าของธนาคารในพื้นที่ตำบลลือ อำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ ที่มาเข้าร่วมเป็นสักขีพยานภายในงาน   ธ.ก.ส. ขอเชิญชวนประชาชนผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อ “ข้าวพร้อมทาน ตราอุ่นอิ่ม” จาก สกต. ร้อยเอ็ด เพื่อสนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตโดยตรง และเป็นส่วนหนึ่งในการส่งขวัญและกำลังใจให้กับทหารแนวหน้าในการปฏิบัติหน้าที่ โดยสามารถติดต่อได้ที่ สกต.ร้อยเอ็ด จำกัด โทร. 088 338 2572 ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ขอแสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา ซึ่งในขณะนี้พี่น้องประชาชนในหลายพื้นที่ยังไม่สามารถกลับเข้าที่พักอาศัยหรือใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดย ธ.ก.ส. พร้อมอยู่เคียงข้างเพื่อก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน สอบถามรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือของ ธ.ก.ส. ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555 ตลอด 24 ชั่วโมง  

12 Aug 2025

...

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวในการประชุมผู้บริหารสายงานกิจการสาขา ซึ่งมีผู้บริหารธนาคารทั้งจากส่วนกลาง และสายงานกิจการสาขา กว่า 1,600 คนทั่วประเทศเข้าร่วมงาน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ จ. เชียงใหม่ เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เดินหน้าทำธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ธนาคารเพื่อสังคมต่อเนื่อง มั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2568 ธนาคารจะสามารถสร้าง Social Impact ได้มากขึ้นตามเป้าหมายเป็นเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 17,000 ล้านบาท   สำหรับนวัตกรรมการเงินเพื่อสังคมในช่วงครึ่งปีหลัง เน้นให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกค้ารายย่อย สามารถเข้าถึงแหล่งทุนที่ช่วยประคับประคองธุรกิจ และทำให้มีสภาพคล่องเพียงพอรองรับสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนไม่แน่นอนจากปัจจัยภายในและภายนอก ผ่านการให้สินเชื่อที่มอบเงื่อนไขพิเศษเพื่อผู้ประกอบการ ได้แก่ สินเชื่อ GSB Smooth Biz, GSB D-VERs, GSB D-Home และมาตรการลดดอกเบี้ยสูงสุด 3% ต่อปี แก่ลูกค้าธนาคารที่เป็นผู้ส่งออก และ Supply Chain ของผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรง/ทางอ้อม จากมาตรการภาษี Trump Tariff ซึ่งเร็ว ๆ นี้ ธนาคารเตรียมออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่อลดภาระผู้ประกอบการในเรื่องนี้ พร้อมกับช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจที่สำคัญเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย   นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อช่วยลดภาระรายย่อย ได้แก่ สินเชื่อเคหะรีไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ย 0% 3 เดือน (เฉลี่ย 3 ปีแรก ดอกเบี้ยต่ำสุดที่ 2.85% ต่อปี) สินเชื่อบ้านเติมตังค์ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ต่ำสุด 4.99% ต่อปี และ สินเชื่อบ้านแลกเงิน คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 3.59% ต่อปี (6 เดือนแรก) ตลอดจนการเร่งปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือกลุ่มฐานราก อาทิ สินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน สินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาส สินเชื่อสำหรับผู้ไม่เคยมีประวัติเครดิต สินเชื่อส่งดีมีเติมพลัส สนับสนุนลูกค้าดีให้กู้เพิ่มได้ ซึ่งธนาคารคาดว่าตลอดปี 2568 จะสามารถช่วยเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และเพิ่มสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการ รวมถึงลูกค้ารายย่อย ผ่านการปล่อยสินเชื่อวงเงินรวมกว่า 2 แสนล้านบาท     ส่วนด้านเงินฝาก เน้นส่งเสริมการออมแบบมีระยะเวลาและเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นสลากออมสินพิเศษ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษแบบมีระยะเวลา เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษเพื่อการเกษียณ 10 ปี เงินฝาก Smart Junior เพื่อส่งเสริมการออมในเยาวชน เป็นต้น ตั้งเป้าหมายเม็ดเงินการออมโดยมีเงินฝากเพิ่มสุทธิไม่ต่ำกว่า 65,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 ทั้งนี้ ธนาคารออมสินดำเนินธุรกิจเป็นธนาคารเพื่อสังคม หรือ Social Bank ด้วยบทบาทหลัก 4 ด้าน คือ 1) การเปิดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงิน 2) การแก้ไขปัญหาหนี้ 3) บทบาทการพัฒนาสังคมและชุมชน และ 4) การสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการสร้างสรรค์และขับเคลื่อนงานทั้ง 4 ด้าน โดยอิงแนวคิด Creating Shared Value (CSV) เพื่อให้ธนาคารสามารถทำกำไรทางธุรกิจในระดับที่เหมาะสม ควบคู่กับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ที่นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของธุรกิจและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม    

08 Aug 2025

...

SME D Bank ห่วงใยประชาชน และเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม สอดคล้องนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และ ธปท. ได้แก่ พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย  สูงสุด 12 เดือน ควบคู่เติมทุนฉุกเฉิน เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูกิจการ  ครอบคลุมพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สระแก้ว จันทบุรี และตราด นอกจากนั้น เปิดสายด่วน 1357 รับแจ้งขอความช่วยเหลือทันท่วงที พร้อมเปิดรับบริจาคสิ่งของนำไปมอบให้แก่ผู้ประสบภัยและทหารหาญ    นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ  ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์ความไม่สงบจากเหตุปะทะตามแนวพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน รวมถึง การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทั้งทางตรงและทางอ้อม SME D Bank มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม หลังจากมีมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนเบื้องต้นไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ต้องการให้สถาบันการของรัฐเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา   สำหรับมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมดังกล่าว  ครอบคลุมความช่วยเหลือในพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สระแก้ว จันทบุรี และตราด มุ่งเน้นช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ลดภาระทางการเงิน สามารถประคับประคองธุรกิจ  ก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ด้วยดี และฟื้นฟูกิจการได้โดยเร็ววัน  ได้แก่  มาตรการ “พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย” สำหรับลูกค้าธนาคารที่ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อม   ด้วยการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย สำหรับกลุ่มเงินกู้ยืมแบบมีระยะเวลา (Term loan) สูงสุดไม่เกิน 12 เดือน สัญญาเบิกเงินทุนหมุนเวียนประเภทตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) และสินเชื่อแฟคตอริ่ง ขยายระยะเวลาชำระตั๋วสัญญาใช้เงินออกไปอีกสูงสุด 180 วัน และสามารถพักชำระดอกเบี้ยได้   มาตรการ “เติมทุนฉุกเฉิน เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูกิจการ” สำหรับลูกค้าเดิมได้รับผลกระทบทางตรง เพื่อให้มีวงเงินกู้ฉุกเฉิน นำไปฟื้นฟูธุรกิจเฉพาะหน้า วงเงินกู้ 10% ของวงเงินเดิม ขั้นต่ำ 30,000 บาท ถึงสูงสุด 200,000 บาท (บุคคลธรรมดา สูงสุด 100,000 บาท และนิติบุคคล สูงสุด 200,000 บาท)  อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี ระยะเวลากู้ 3 ปี ปลอดชำระเงินต้น 12 เดือน ไม่ต้องมีหลักประกัน ยกเว้นค่าธรรมเนียม ลดกระบวนการนำส่งเอกสารในการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางตรงเป็นการเร่งด่วน อีกทั้ง ธนาคารยังมีสินเชื่อช่วยเหลือเพิ่มเติม สำหรับเสริมสภาพคล่อง  ลงทุน ยกระดับธุรกิจ ภายหลังสถานการณ์คลี่คลาย อัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท ได้แก่ 1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” 2.สินเชื่อ “ปลุกพลัง SME” และ 3.สินเชื่อ “Beyond ติดปีก SME”   นอกจากนั้น SME D Bank  ยังเปิดศูนย์รับแจ้งขอความช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับประชาชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึง สาธารณภัยต่างๆ  ผ่าน Call Center 1357 และเปิดศูนย์รับบริจาคอาหาร ของใช้ ยารักษาโรค หรือสมทบทุน  เพื่อนำไปมอบให้แก่ประชาชน ทหาร และผู้ปฏิบัติหน้าที่ ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมาไปจนถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568 นี้  ณ หน้าสำนักงานใหญ่ SME D Bank อาคาร SME Bank Tower   ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการเข้ารับมาตรการต่าง ๆ สามารถแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของธนาคาร เช่น สาขา SME D Bank ทุกแห่งทั่วประเทศ ,  LINE Official Account : SME Development Bank , เว็บไซต์  www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

03 Aug 2025

...

บอร์ด ธ.ก.ส. มีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือครอบครัวทหาร และ ตชด. วีรบุรุษผู้เสียสละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา ที่บิดา - มารดา หรือคู่สมรสเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. โดยยกหนี้ในส่วนของต้นเงินกู้ทุกสัญญา และยกหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยทั้งจำนวน ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เพื่อให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์ลูกหนี้ และลดภาระให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างมั่นคง นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา อันส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ของเกษตรกรลูกค้าของธนาคาร โดยมีทั้งทหารและประชาชนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ตลอดจนที่อยู่อาศัยรวมถึงพื้นที่ทำกินได้รับความเสียหาย และเพื่อให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์ลูกหนี้  และลดภาระให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างมั่นคง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ กรณีบุตร คู่สมรส ของลูกค้า ธ.ก.ส. ที่เป็นทหาร หรือ ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา โดยธนาคารจะยกหนี้ในส่วนของต้นเงินกู้ทุกสัญญา และยกหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยค้างรับและดอกเบี้ยปรับทั้งจำนวน ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เป็นกรณีพิเศษ ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ขอแสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา คนข้างหลังไม่ต้องกังวล ธ.ก.ส. อยู่เคียงข้างและพร้อมก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555 ตลอด 24 ชั่วโมง  

01 Aug 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner