Responsive image

Saturday, 06 Dec 2025

หน้าแรก > TECHNOLOGY - AUTO - PROPERTY


แลนดี้ โฮม เจาะตลาดสร้างบ้านไฮเอนด์ 15 ล้านอัพ ปักหมุดย่านฝั่งธนฯ เปิด Sale Gallery Landy Grand Flagship Store ตอกย้ำศูนย์รับสร้างบ้าน อันดับ 1

Sun 28/03/2564


ตลาดรับสร้างบ้านหรูยังเนื้อหอม แลนดี้ โฮมเปิดเกมรุกเจาะกลุ่มลูกค้าไฮเอนด์ ปักหมุดย่านฝั่งธนฯ ทุ่มงบ 20 ล้านเปิดสาขาใหม่ พร้อมอวดโฉม Sale Gallery Landy Grand Flagship Store (เซลล์ แกลอรี่ แลนดี้ แกรนด์ แฟล็กชิพ สโตร์) ที่แรกในประเทศไทยรับสร้างบ้านหรูราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป พร้อมบริการเหนือระดับครบวงจรในที่เดียว อัดโปรโมชั่นฉลองเปิดสาขาส่วนลดสูงถึง 30% คาดปีนี้โต 15%

นางสาวพรรัตน์ มณีรัตนะพร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการและผู้อำนวยการฝ่ายขาย บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า ผลประกอบการปี 2563 เติบโต 15 % จากปี 2562 คิดเป็นมูลค่า 2,100 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นกรุงเทพและปริมณฑล 80% และต่างจังหวัด 20% ซึ่งสวนทางกับภาพรวมตลาดธุรกิจรับสร้างบ้านปี 2563 ที่ลดลงประมาณ 5% คิดเป็น 12,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับภาพรวมตลาดธุรกิจรับสร้างบ้าน ปี 2562 อยู่ที่ 12,500 ล้านบาท โดยในปีที่ผ่านมากลุ่มบ้านหลังเล็ก ราคา 2 - 5 ล้านบาท และ กลุ่มบ้านขนาดกลาง ราคา 5 - 15 ล้านบาท มียอดขายเป็นไปตามเป้าหมาย อีกทั้งกลุ่มลูกค้าที่ต้องการสร้างบ้านลักชัวรี่ตั้งแต่ราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป มียอดขายที่เติบโตเพิ่มขึ้นถึง 16%

ในปีนี้ทางแลนดี้โฮมจึงหันมาเจาะตลาดไฮเอนด์เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นกลุ่มนิชมาร์เก็ตที่มีกำลังซื้อและความต้องการบ้านหรูในราคาที่คุ้มค่าสูง ประกอบกับความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของบริษัทรับสร้างบ้านยังถือเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกใช้บริการโดยเฉพาะในสถานการณ์ Covid-19 ยิ่งส่งผลให้ลูกค้าเลือกพิจารณาบริษัทรับสร้างบ้านรายใหญ่มากกว่ารายย่อย ทั้งนี้คาดว่าในปีนี้ (2564) บริษัทจะเติบโต 15% คิดเป็นมูลค่า 2,400 ล้านบาท

นางสาวภัทรา มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า จากความต้องการของกลุ่มลูกค้าในการสร้างบ้านหลังใหญ่ราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป ทางบริษัทจึงเปิดแลนดี้ โฮม สาขาราชพฤกษ์ และเปิด Sale Gallery Landy Grand Flagship Store (เซลล์ แกลอรี่ แลนดี้ แกรนด์ แฟล็กชิพ สโตร์) ที่แรกในประเทศไทย เพื่อเจาะกลุ่มตลาดไฮเอนด์ย่านฝั่งธนฯ เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพในหลายด้าน อาทิ กลุ่มผู้อยู่อาศัยระดับ B+ ถึง A มีสิ่งอำนวยความสะดวก การเดินทางสะดวกเชื่อมสู่ CDB ตัวเมืองสาทรได้ง่าย มีแนวโน้มความเจริญสูง ประชากรหนาแน่น และเชื่อมโยงสู่ถนนหลักได้หลายสาย เช่น จรัญ 13 (บางแวก), พรานนก-พุธมณฑล, เพชรเกษม, บรมราชชนนี และยังสามารถรองรับลูกค้าจากฝั่งธนฯ ได้อีกด้วย ซึ่งจากฐานข้อมูลของบริษัทฯ พบว่าลูกค้ามีความต้องการปลูกสร้างบ้านในย่านฝั่งธน พอๆ กับฝั่งกรุงเทพฯ



สำหรับ แลนดี้ โฮม สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ในโครงการ The Perfect สามารถรองรับการบริการรับสร้างบ้านในทุกระดับราคา ได้แก่ Trendy Home (บ้านหลังเล็ก ราคา 2-5 ล้านบาท), Landy Home (บ้านขนาดกลาง ราคา 5 -15 ล้านบาท) และ Landy Grand (บ้านขนาดใหญ่ ราคา 15 ล้านบาทขึ้นไป) โดยแลนดี้ โฮม สาขาราชพฤกษ์ แบ่งเป็น 2 ชั้น คือ ชั้น 1 เป็นพื้นที่บริการรับสร้างบ้าน และSale Gallery ของ Trendy Home และ Landy Home ส่วนชั้น 2 เป็น พื้นที่บริการรับสร้างบ้าน และ Sale Gallery Landy Grand Flagship Store มีการจัดแสดงแบบบ้าน Brand Landy Grand บ้านหลังใหญ่ ราคาคุ้มค่า เพียง 23,000 บาท ต่อ ตารางเมตร ซึ่งจะมีแบบบ้านดีไซน์ใหม่ล่าสุดมาให้บริการด้วย ลูกค้าสามารถปรับเปลี่ยนแบบได้ตามความต้องการโดยมีทีมสถาปนิกผู้มีประสบการณ์ออกแบบบ้านหรูโดยเฉพาะคอยให้คำแนะนำ และยังมีโซน Landy Grand Exclusive Lounge ไว้บริการ เนื่องจากต้องการให้แลนดี้ โฮม สาขาราชพฤกษ์ เป็นศูนย์รับสร้างบ้านหรู บริการ One stop service และยังจัดโปรโมชั่นฉลองเปิดสาขาส่วนลดสร้างบ้านสูงถึง 30% และ Gift Voucher รวมมูลค่าสูงสุด 450,000 บาท


นายพานิช มณีรัตนะพร ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ บริษัท แลนดี้ โฮม (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึงเทรนด์การสร้างบ้านว่าด้วยไลฟ์สไตล์ยุคใหม่คนส่วนใหญ่หันมาใส่ใจสุขภาพ และใช้ชีวิตอยู่ในบ้านมากขึ้น ทางบริษัทฯ จึงเน้นพัฒนาเทคโนโนโลยีเพื่อการอยู่อาศัยภายในบ้าน ให้ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ ภายใต้ Concept Landy Life โดยหวังให้คนไทยได้บ้านที่มีมาตรฐาน และมีคุณภาพชีวิตที่ดีในราคาที่จับต้องได้ เช่น เทคโนโลยีใหม่ล่าสุด CAP+ (แค็พพลัส) ระบบเติมอากาศบริสุทธิ์ภายในบ้าน ช่วยกรองฝุ่น PM 2.5, ป้องกันเชื้อโรคเข้าสู่ภายในห้องด้วยการสร้าง Positive Pressure ช่วยสร้างพื้นที่ที่ปลอดภัยจากเชื้อโรค ฝุ่นละออง PM 2.5 และสามารถรักษาระดับก๊าซออกซิเจน พร้อมลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และพัฒนาไปอีกขั้น กับ CAP+ V.2 ด้วย Zeolite Filter ที่มีคุณสมบัติ ลดสารภูมิแพ้ ดูดซับสารเคมีสังเคราะห์ และสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย พร้อมรองรับ Mobile Control ที่ควบคุมการใช้งานผ่าน Application สามารถใช้งานร่วมกับ Google Assistant และ Alexa  ซึ่งแลนดี้ โฮม พร้อมนำเทคโนโลยี Smart Home เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบและก่อสร้าง เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปของลูกค้าในปัจจุบัน และในด้านการบริการ ลูกค้า แลนดี้ แกรนด์ ก็จะได้รับประสบการณ์ในการสร้างบ้านในรูปแบบใหม่ ที่จะมี Personal Consultant และ Relationship Manager ที่มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญในการก่อสร้างบ้านหลังใหญ่ ซึ่งจะดูแลลูกค้า แลนดี้
แกรนด์ ทุกขั้นตอนการสร้างบ้านในทุกจุดการบริการเพื่อให้ลูกค้ารู้สึกอุ่นใจ และได้รับประสบการณ์ที่ดีที่สุดในทุกๆ Touch Point

ร่วมสัมผัสบริการเหนือระดับครบจบในที่เดียวได้ที่ Sale Gallery Landy Grand Flagship Store ณ แลนดี้ โฮม สาขาราชพฤกษ์ ตั้งอยู่ในโครงการ The Perfect ตรงข้าม The Circle  ตั้งแต่เวลา 09.00-17.30 น. สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 02-938-3456

 


Tags : แลนดี้ โฮม พรรัตน์ มณีรัตนะพร ภัทรา มณีรัตนะพร พานิช มณีรัตนะพร


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

ทิพยประกันภัยเดินหน้าต่อยอดประสบการณ์ด้านประกันภัยรถยนต์ เปิดตัวแคมเปญใหญ่ “TIP MOTOR EXTRA PRO ประกันรถสุดปัง อลังการสุดโปร” ในงาน Motor Expo 2025 เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าที่มองหาความคุ้มครองและสิทธิประโยชน์ครบวงจร พร้อมคัดสรรผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์หลากหลาย อาทิ TIP Premium Garage Plus, TIP Lady, TIP Rainbow, TIP Up to Mile และประกันรถยนต์ 2+ คุ้มทุน พร้อมทีมให้คำปรึกษา คำนวณเบี้ย และบริการต่ออายุกรมธรรม์ภายในงาน แคมเปญ “TIP MOTOR EXTRA PRO” มอบข้อเสนอสุดคุ้มสำหรับลูกค้า อาทิ • ส่วนลดเบี้ยประกันภัยสูงสุด 15% สำหรับลูกค้าใหม่ • รับของสมนาคุณ รวมมูลค่ากว่า 300,000 บาท • ลุ้นรับรถยนต์ MITSUBISHI XFORCE รุ่น ULTIMATE มูลค่า 1,059,000 บาท • ผ่อน 0% นานสูงสุด 10 เดือน • พิเศษ! ลูกค้าที่ต่ออายุประกันภัยรถยนต์ภายในงาน รับ บัตร Lotus’s มูลค่าสูงสุด 1,000 บาท ทิพยประกันภัยขอเชิญทุกท่านร่วมรับข้อเสนอสุดพิเศษเฉพาะงาน Motor Expo 2025 ได้ที่บูธ V07–V08 ณ อิมแพ็ค เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 29 พฤศจิกายน – 10 ธันวาคม 2568

30 Nov 2025

...

นายวิทัย รัตนากร ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นประธานและสักขีพยานในพิธีลงนามความร่วมมือ โครงการศึกษาครัวเรือนฐานรากเพื่อสร้างการเข้าถึงแหล่งเงินในระบบ ระหว่าง ธนาคารออมสิน และ สถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เพื่อศึกษาความเป็นอยู่และพฤติกรรมทางการเงินของกลุ่มครัวเรือนฐานรากที่ยังไม่สามารถเข้าถึงการเงินในระบบ ที่จะนำไปสู่การต่อยอดองค์ความรู้ จากการวิจัยในการพัฒนาระบบการเงินที่เหมาะสม ช่วยยกระดับเศรษฐกิจและความเข้มแข็งทางการเงินของภาคครัวเรือนไทย โดยมี นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน และ ดร.โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงดังกล่าว เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2568 ณ ธนาคารออมสินสำนักงานใหญ่   นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ภายใต้บทบาทการเป็น Social Bank ที่มุ่งลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินและสร้างการเข้าถึงแหล่งทุนที่เป็นธรรม ธนาคารเดินหน้าภารกิจหลักที่ 1 ในการสร้างการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงิน ซึ่งหากพิจารณาจากสถานการณ์การเข้าถึงสินเชื่อของคนไทย ปัจจุบันยังพบว่าครัวเรือนกว่าร้อยละ 30 ยังอยู่ในกลุ่ม Unserved และ Underserved โดยเป็นผู้มีรายได้น้อยและ/หรือรายได้ไม่แน่นอน ทำให้ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อในระบบจากการขาดประวัติเครดิตทางการเงิน และกว่าครึ่งยังต้องพึ่งพาหนี้นอกระบบเพิ่มขึ้นและต้องเผชิญภาระดอกเบี้ยสูง ดังนั้น เพื่อให้สามารถขับเคลื่อนบทบาทการส่งเสริมการเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ธนาคารจึงได้จัดตั้งสถาบันวิจัยเศรษฐกิจฐานรากขึ้นเป็นครั้งแรก และได้ร่วมมือกับสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เพื่อคิกออฟงานวิจัย “โครงการศึกษาครัวเรือนฐานรากเพื่อสร้างการเข้าถึงแหล่งเงินในระบบ” โดยกำหนดกลุ่มเป้าหมายของการศึกษาเป็นผู้เข้าร่วมโครงการสินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส ที่ธนาคารได้ดำเนินการมาตั้งแต่ต้นปี 2568 เพื่อปล่อยสินเชื่อแก่ผู้ที่มีรายได้ แต่ไม่เคยมีประวัติเครดิตทางการเงิน หรือไม่เคยใช้บริการสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินอย่างน้อย 2 ปี ซึ่งลูกค้าส่วนใหญ่ของโครงการนี้มีลักษณะตัวตน หรือ Customer Persona ที่สอดคล้องกับกลุ่มเป้าหมายของงานศึกษาวิจัยครั้งนี้ ทั้งนี้ ธนาคารหวังว่าจะสามารถนำผลลัพธ์ของงานวิจัยไปออกแบบเครื่องมือทางการเงิน หรือมาตรการสินเชื่อที่ตรงจุด สามารถตอบโจทย์ความคาดหวัง และสร้างระบบการเงินที่ทุกคนเข้าถึงได้อย่างเท่าเทียม ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งการพัฒนาที่ยั่งยืนตามเป้าหมาย SDGs และสอดคล้องตามบทบาทของธนาคารเพื่อสังคม   ดร. โสมรัศมิ์ จันทรัตน์ ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยเศรษฐกิจป๋วย อึ๊งภากรณ์ เปิดเผยว่า ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการศึกษาข้อมูลเชิงลึกของลูกหนี้ภายใต้โครงการ “สินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส” ของธนาคารออมสิน ซึ่งเป็นต้นแบบสินเชื่อดิจิทัลที่เปิดโอกาสให้ผู้มีรายได้แต่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อในระบบสามารถกู้เงินได้เป็นครั้งแรก โดยธนาคารออมสินได้ปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยคนไทยสร้างประวัติเครดิตทางการเงินไปแล้วกว่า 200,000 ราย สะท้อนถึงความต้องการเข้าถึงสินเชื่อในระบบที่ยังมีอยู่จำนวนมาก การศึกษาครั้งนี้จึงมุ่งขยาย “ประตูสู่ระบบการเงิน” ให้กว้างขึ้น ผ่านการเก็บข้อมูลเชิงลึกของกลุ่มคนที่อยู่นอกระบบเป็นครั้งแรก ใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่ 1) ปัญหาเศรษฐกิจการเงิน พฤติกรรมและความต้องการทางการเงิน 2) โมเดลผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยให้ลูกหนี้ชำระคืนได้จริง 3) การทดลองใช้ข้อมูลใหม่และข้อมูลทางเลือกเพื่อค้นหาตัวชี้วัดความเสี่ยงที่แม่นยำยิ่งขึ้นให้กับสถาบันการเงิน 4) การติดตามผลการเข้าถึงสินเชื่อต่อรายได้และคุณภาพชีวิตของลูกหนี้ตลอดระยะเวลา 1 ปี เพื่อนำไปใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่เหมาะสม ซึ่งผลการศึกษาจะช่วยให้ธนาคารออมสินออกแบบผลิตภัณฑ์และกระบวนการพิจารณาสินเชื่อที่เข้าถึงได้ง่ายขึ้น สอดคล้องกับศักยภาพของลูกหนี้ และเพิ่มโอกาสในการชำระคืน   ขณะเดียวกัน สถาบัน ฯ จะมีองค์ความรู้เชิงลึกเพื่อนำไปสนับสนุนนโยบาย Your Data และโครงการ Risk-Based Pricing ของธนาคารแห่งประเทศไทย ช่วยให้สถาบันการเงินประเมินความเสี่ยงได้โปร่งใส เป็นธรรม และเปิดโอกาสให้ประชาชนที่ “เคยถูกมองไม่เห็น” เข้าสู่ระบบการเงินได้มากขึ้น ถือเป็นก้าวสำคัญที่เปลี่ยนงานวิจัยให้เกิดผลจริงต่อประชาชนฐานราก เสริมรากฐานระบบการเงินที่เข้าถึงง่าย ยั่งยืน และช่วยยกระดับศักยภาพและคุณภาพชีวิตของครัวเรือนไทยได้อย่างมั่นคงในระยะยาว  

30 Nov 2025

...

จากสถานการณ์อุทกภัยส่งผลให้เกิดน้ำท่วมฉับพลันในหลายพื้นที่ของภาคใต้ โดยขณะนี้จังหวัดสงขลาประกาศเป็นเขตภัยพิบัติ บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้คำนึงถึงความปลอดภัยของลูกค้าและพนักงาน จึงขอแจ้งปิดทำการกรุงเทพประกันภัย สาขาหาดใหญ่ เป็นการชั่วคราว ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน 2568 จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย โดยลูกค้าสาขาหาดใหญ่และใกล้เคียงสามารถติดต่อบริการด้านประกันภัยได้ที่ กรุงเทพประกันภัย สาขาสุราษฎร์ธานี โทร. 0 7727 3806 ทั้งนี้ กรุงเทพประกันภัยขอแสดงความห่วงใยและเป็นกำลังใจให้แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมในภาคใต้ และเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดต่อรับคำปรึกษาต่างๆ และแจ้งเคลมสินไหมทดแทนสำหรับบ้านที่อยู่อาศัยและสถานประกอบการ รวมถึงประกันภัยรถยนต์ หรือรับบริการรถยกเพื่อเคลื่อนย้ายรถไปยังพื้นที่ปลอดภัยได้ที่ช่องทางต่างๆ ดังนี้ - LINE @bangkokinsurance - โทร. 1620 ตลอด 24 ชั่วโมง

25 Nov 2025

...

นางลภาวรรณ จันทร์กระจ่าง รองผู้อำนวยการธนาคารออมสิน รักษาการแทนผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 เห็นชอบให้ดำเนินโครงการพัฒนาความรู้ทักษะ (Upskill) หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ (Reskill) สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เพื่อช่วยยกระดับความสามารถในการหารายได้ของผู้ประกอบการรายเล็กบนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้งที่เป็นทักษะความรู้ด้านการเงินและด้านดิจิทัล โดยรัฐบาลสนับสนุนเงินเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท/ราย สำหรับร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการ Upskill/Reskill และได้ดำเนินการตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งโครงการดังกล่าวมีหน่วยงานพันธมิตรหลายรายเป็นผู้ให้บริการเรียนรู้และพัฒนาทักษะแก่ร้านค้า โดยมีธนาคารออมสินรับผิดชอบการพัฒนาทักษะแก่ผู้ประกอบการร้านค้ารายย่อย “ประเภทบุคคลธรรมดา” หลักสูตร “Smart Finance Upskill : การพัฒนาความรู้ทางการเงินเพื่อร้านค้ารายย่อยโครงการคนละครึ่ง พลัส” สำหรับผู้ประกอบการร้านค้าบุคคลธรรมดา เน้นให้ความรู้ทางการเงินที่จำเป็นสำหรับผู้ประกอบการร้านค้ายุคใหม่ ประกอบด้วยเนื้อหาสำคัญ 4 ด้าน ได้แก่ การทำบัญชี การคิดต้นทุน เทคนิคการตั้งราคาขาย และความรู้ก่อนยื่นขอกู้ พร้อมแบบจำลองการยื่นกู้ให้ผู้ประกอบการได้ฝึกเรียนรู้ด้วยตนเอง และสามารถนำแบบจำลองนั้นไปใช้ประกอบการยื่นกู้กับสถาบันการเงินได้ โดยผู้ที่ได้สมัครเรียนและผ่านการทดสอบตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับประกาศนียบัตรรับรองการผ่านหลักสูตรเพื่อเป็นหลักฐานประกอบการรับสิทธิ์เงินเพิ่มสูงสุด 2,000 บาท ร้านค้าที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าเรียนได้แล้วตั้งแต่วันนี้ - 19 ธันวาคม 2568 ที่เว็บไซต์ธนาคารออมสิน www.gsb.or.th ตลอด 24 ชม. โดยผู้ที่สำเร็จหลักสูตรตามเงื่อนไขที่กำหนด จะมีการแจ้งผลการรับสิทธิ์เงินสนับสนุนจากภาครัฐ ผ่านแอปถุงเงินและข้อความ SMS ในวันที่ 23 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ ธนาคารขอแนะนำโปรดหลีกเลี่ยงช่วงเวลาที่มีผู้ใช้งานหนาแน่น ซึ่งอาจทำให้ประสบปัญหาเว็บไซต์ตอบสนองช้ากว่าปกติได้ กรณีประสบปัญหาการใช้บริการ หรือต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการลงทะเบียนเรียนหลักสูตร Smart Finance Upskill และข้อมูลทั่วไปเกี่ยวกับโครงการ Upskill/Reskill คนละครึ่ง พลัส สามารถติดต่อที่ GSB Contact Center โทร.1115 กด 7 ตลอด 24 ชม.   นอกจากนี้ ผู้ประกอบการที่สำเร็จหลักสูตร Smart Finance Upskill แล้ว ยังมีสิทธิ์ยื่นขอกู้เงื่อนไขพิเศษกับสินเชื่อ “สร้างงานสร้างอาชีพ พลัส” โดยกดยื่นขอกู้ได้จากหน้าเว็บไซต์หลังเรียนจบหลักสูตร เพื่อเชื่อมต่อกระบวนการยื่นขอกู้ทางแอป MyMo ได้โดยสะดวก ด้วยอัตราดอกเบี้ยคงที่ (Flat Rate) = 0.75% ต่อเดือน แบบไม่มีหลักประกัน (Clean Loan) ตั้งแต่วันที่ 24 พฤศจิกายน – 15 ธันวาคม 2568 ทั้งนี้ ธนาคารพิจารณาให้กู้ตามความจำเป็นเพื่อใช้เป็นทุนหมุนเวียนหรือเสริมสภาพคล่อง และตามความสามารถในการชำระคืน ศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.gsb.or.th    

23 Nov 2025

Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner