Responsive image

Friday, 13 Jun 2025

หน้าแรก > BUSINESS-MARKETING-SME /ธุรกิจ-การตลาด-ขายตรง-เอสเอ็มอี


เมื่อ Digital Transformation คือจุดเปลี่ยนของธุรกิจอุตสาหกรรมเสื้อผ้าไทย

Fri 15/04/2565


อุตสาหกรรมเสื้อผ้าไทย ต้องเผชิญกับความท้าทายครั้งใหญ่จากสถานการณ์การระบาดของโควิด-19  รายงานจากศูนย์ข้อมูลและดิจิทัลอุตสาหกรรม สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ ระบุว่าครึ่งปีแรกของปี 2563 มีโรงงานผลิตสิ่งทอที่ได้รับผลกระทบและต้องปิดตัวไปถึง 32 ราย ผู้ประกอบการค้าปลีกและส่งต้องประสบปัญหาการดำเนินธุรกิจจากการ lockdown ในขณะที่พฤติกรรมของผู้บริโภคก็เปลี่ยนมาใช้บริการผ่านช่องทางออนไลน์กันมากขึ้น ทำให้ผู้ประกอบการต้องหันมาพิจารณาช่องทางออนไลน์

การปรับตัวด้วยการเปลี่ยนผ่านสู่ความเป็นดิจิทัล หรือ Digital Transformation จึงเป็นโอกาสและความท้าทายของผู้ประกอบการ SMEs และสิ่งสำคัญของการปรับธุรกิจสู่ดิจิทัลคือองค์ความรู้ ล่าสุดธนาคารยูโอบี ประเทศไทย  ร่วมมือกับ The FinLab จัดงานสัมมนาภายใต้โครงการ Smart Business Transformation (SBTP) ในหัวข้อ “เมื่อ Digital Transformation คือจุดเปลี่ยนของอุตสาหกรรมเสื้อผ้าไทย” โดยเชิญ 3 ผู้ประกอบการที่อยู่ในโครงการ SBTP เจ้าของแบรนด์ที่ใครๆ ต่างรู้จัก ได้แก่ คุณวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล CEO บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด เจ้าของแบรนด์ “วอริกซ์” แบรนด์เสื้อผ้า รองเท้ากีฬาสัญชาติไทย ที่ท้าชนแบรนด์ระดับโลกด้วยกลยุทธ์ออนไลน์ คุณคุณากร ธนสารสมบัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานไทยแลนด์ นิตติ้ง จำกัด เจ้าของแบรนด์เสื้อยืดตราห่านคู่ แบรนด์เสื้อยืดที่ อยู่คู่กับคนไทยมาหลายทศวรรษ และมีความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวชัดเจน และคุณศิพิมพ์ อุ่นวรวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด และอีคอมเมิร์ซ บริษัท วี.พี.อาร์.เอส. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เจ้าของแบรนด์เสื้อผ้าแฟชั่นผู้ชาย DAVIE JONES  แบรนด์ไทยที่กำลังเป็นที่นิยมมาร่วมแบ่งปันประสบการณ์ องค์ความรู้รวมถึงมุมมองที่มีต่อการทำ Digital Transformation ที่ทำให้ทั้ง 3 แบรนด์ยังเติบโตได้ท่ามกลางความท้าทายที่เกิดขึ้น

ความท้าทายของธุรกิจอุตสาหกรรมเสื้อผ้า

เทคโนโลยีดิจิทัลและแพลตฟอร์มออนไลน์เข้ามามีบทบาทสำคัญทำให้ผู้คนสามารถปลดล็อกการใช้ชีวิตแบบเดิม ผู้บริโภคสามารถเลือกซื้อสินค้าได้โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังร้านค้า และพฤติกรรมดังกล่าวก็เพิ่มจำนวนมากขึ้นโดยข้อมูลจากสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ETDA ระบุว่า มูลค่าของ e-commerce ไทยในช่วงปี 2563 ซึ่งเป็นช่วงที่โควิด-19 กำลังระบาดนั้นมีมูลค่าสูงถึง 3.78 ล้านบาทและยังมีแนวโน้มที่จะเติบโตขึ้นอีก นั่นจึงทำให้ผู้ประกอบการที่มองเห็นโอกาสตัดสินใจหันมาปรับตัวเข้าสู่ความเป็นดิจิทัล

คุณวิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล CEO บริษัท วอริกซ์ สปอร์ต จำกัด กล่าวว่า “เราตัดสินใจก้าวเข้าสู่ดิจิทัล ตั้งแต่ที่เราชนะงานประมูลชุดกีฬาทีมไทยได้ในช่วงปี 2560 ตั้งแต่ก่อนโควิด-19 จะเริ่มระบาด โดยฝ่ายบริหารของเรามองเห็นความท้าทายและตัดสินใจที่จะเปิดใจรับคำท้าทายนี้ ซึ่งเป็นเรื่องของเทคโนโลยีดิจิทัลที่กำลังเข้ามามีผลต่อการดำเนินธุรกิจ โดยตัวผมได้เข้าฝึกอบรมหลักสูตรในด้าน customer journey และอีกหลายๆ อย่าง ถือเป็นการเปิดโลกทัศน์ และสร้างวิสัยทัศน์ที่ช่วยเร่งความเร็วของการปรับปรุงส่วนต่างๆ ถ้าเราไม่ตัดสินใจลงทุนในเรื่องของ Digital Transformation ตั้งแต่ปี 2560 เราคงไม่ได้มาอยู่ตรงจุดนี้”

 

ขณะที่ คุณคุณากร ธนสารสมบัติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โรงงานไทยแลนด์ นิตติ้ง จำกัด กล่าวว่า “แบรนด์ห่านคู่มีการปรับตัวตามยุคสมัยและเข้ากับเทรนด์ตามช่วงเวลามาโดยตลอด  เรามองว่าช่องทางออนไลน์เป็นเครื่องมือที่จำเป็นมากถ้าหากเราตั้งเป้าจะอยู่ดำเนินธุรกิจให้คงอยู่ได้ถึง 100 ปี เราต้องตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม และการได้เข้าร่วมโครงการ SBTP ถือเป็นก้าวสำคัญที่ช่วยเราได้มาก”

 

ด้านคุณศิพิมพ์ อุ่นวรวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด และอีคอมเมิร์ซ บริษัท วี.พี.อาร์.เอส. อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า “เราเห็นการเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภคได้อย่างชัดเจน ทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนให้ทัน เราต้องการที่จะรวบรวมข้อมูลให้ได้มากที่สุด เพื่อรู้จักลูกค้าและความต้องการของพวกเขา เพราะความท้าทายของแบรนด์ DAVIE JONES คือการเกิดของแบรนด์เสื้อผ้ารายใหม่ที่เข้ามาแข่งขันชิงพื้นที่ในตลาดกับเรา ดังนั้นเราจึงต้องสร้างตัวตนที่ชัดเจนและมีคุณภาพของสินค้าที่ดี เมื่อเรา transform มาสู่แพลตฟอร์มออนไลน์แล้ว เราสามารถรู้จักลูกค้าของเราได้รวดเร็วขึ้น แพลตฟอร์มการขายทางออนไลน์ช่วยให้เรามียอดขายพุ่งทะยานได้ ขณะที่ยอดขายจากออฟไลน์มีประมาณ 20% เท่านั้น”

ก้าวแรกที่มั่นคงสู่ความเป็นดิจิทัล

ธุรกิจจะยั่งยืนด้วยก้าวแรกที่มั่นคง การปรับเปลี่ยนสู่ความเป็นดิจิทัลก็เช่นเดียวกัน SMEs ต้องมีกลยุทธ์และแนวทางที่ชัดเจนในการเลือกแนวทางและเทคโนโลยีที่จะใช้ในการปรับตัวเองให้เข้าสู่ความเป็นดิจิทัลและมีศักยภาพในการแข่งขันได้อย่างยั่งยืน โดยทั้ง 3 แบรนด์ วอริกซ์ ห่านคู่ และ DAVIE JONES ต่างก็มีแนวทางที่น่าสนใจสำหรับก้าวแรกในการติดอาวุธสู่ความเป็นดิจิทัล

คุณวิศัลย์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “เราเริ่มต้นจากจุดปลายทางที่ช่องทาง e-commerce เป็นอันดับแรก และเราเห็นความสำคัญของการทำ Data Management การลงทุนกับเว็บไซต์ การมี AI เราเพิ่มการลงทุนทางด้านเว็บไซต์มากขึ้น เพราะเราตระหนักเป็นอย่างดีว่าช่องทางนี้มีความสำคัญ  สำหรับระบบบริหารจัดการส่วนกลางเราได้เชื่อมระบบซัพพลายต่างๆ และใช้ SAP B1 ในส่วนของระบบการทำงานหลังบ้านให้สามารถดำเนินงานได้เรียบร้อย เชื่อมต่อได้ดีขึ้น จากนั้น เราจึงกลับมาลงทุนในส่วนของการปรับปรุงหน้าร้านให้ดีขึ้น ซึ่งเรามองว่าจะสามารถทำได้อย่างต่อเนื่อง”

“เรายังมองไปถึง Metaverse เพียงแต่ยังเป็นเรื่องใหม่ เราต้องอัปเดตองค์ความรู้อยู่เสมอเพราะการเรียนรู้ไม่มีวันจบสิ้น ทุกวันนี้มีเครื่องมือทางการตลาดออกมาใหม่มากมาย  ในขณะที่ธนาคารยูโอบีก็ช่วยเสริมสร้างองค์ความรู้และมอบประโยชน์กับ SMEs ให้ก้าวสู่ความสำเร็จ พร้อมยังช่วยสนับสนุนการเปิดธุรกิจในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ผ่านเครือข่ายของธนาคารที่แข็งแกร่งได้อีกด้วย”

คุณคุณากร กล่าวว่า “ในส่วนของห่านคู่นั้น เราต้องการเน้นไปที่ e-commerce, social commerce รวมทั้งการมีระบบจัดการหลังบ้านที่แข็งแกร่ง โดยเราได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญของ The FinLab และได้ติดตั้ง ERP เพื่อเชื่อมต่อกับระบบ supply chain เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานภายในให้ดีขึ้นได้มาก การมีเทคโนโลยีดิจิทัลช่วยให้เรามองภาพได้ชัดขึ้น  เห็น segment กลุ่มลูกค้าต่าง ๆ ได้ชัดเจน สามารถที่จะรวบรวมข้อมูลเพื่อทำการประเมินได้อย่างรวดเร็ว ครอบคลุมมากขึ้น จากการประเมินด้วยข้อมูลที่เคยเป็น mass ก็มาสู่ประเมินได้อย่างเรียลไทม์เหมาะสำหรับปรับตัวให้สามารถรองรับลูกค้าได้มากขึ้น”

คุณศิพิมพ์ กล่าวว่า “โครงการ SBTP ช่วยให้เราสามารถสร้างแบรนด์ของตัวเองได้ ซึ่งสร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์เราได้ ทำให้เรามีศักยภาพสามารถทำอะไรได้มากกว่าเดิม และยังขยายธุรกิจไปที่ต่าง ๆ ได้ทั่วโลก นอกจากนี้ เรายังได้รู้จักกับพันธมิตรรายอื่นๆ ที่เข้าร่วมโครงการ และได้เข้ามาร่วมให้การสนับสนุนเราตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำของการทำการตลาด เช่นการถ่ายภาพผลิตภัณฑ์ ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเราซึ่งเป็นเสื้อผ้า การที่เราได้รับความช่วยเหลือในด้านองค์ความรู้ของการถ่ายภาพผลิตภัณฑ์ จะช่วยให้เราสามารถนำเสนอสินค้าของเราออกมาได้อย่างชัดเจนในทุกองค์ประกอบที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นจุดแข็งของผลิตภัณฑ์ของเรา”

ต้องกล้าถ้าไม่อยากหายไปจากตลาด

เพราะ Digital Transformation คือการลงทุนกับเทคโนโลยีและสิ่งใหม่ๆ ขณะที่ SMEs ก็ต้องพิจารณาประเมินความเสี่ยงและความคุ้มค่าต่อการลงทุน จึงทำให้ผู้ประกอบการบางรายยังมีความลังเลอยู่ ในประเด็นดังกล่าว SMEs ทั้ง 3 รายที่มาร่วมแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ ก็ให้ข้อคิดที่น่าสนใจไว้ดังนี้

“ผู้ประกอบการต้องตระหนักเสมอว่าทุกวันนี้เต็มไปด้วยความเสี่ยง คิดแล้วต้องลงมือทำ ประเมินความเสี่ยง  แล้วเดินหน้า และมองไปยังตลาดดิจิทัล อย่าคิดว่าสายแล้วเลยจะทำ เพราะถ้าเราไม่ทำ เราก็จะหายไปเลย” คุณคุณากร กล่าว

“ตอนที่เริ่มลงมาทำธุรกิจด้านเสื้อผ้าเราเคยได้รับคำเตือนว่าตลาดเสื้อผ้าอยู่ในช่วงขาลงแต่นั่นไม่ใช่ความจริงเลย เพราะเราเห็นแล้วว่าตลาดนี้มีโอกาสเกิดใหม่ สามารถสร้างโอกาสใหม่ได้มากมาย ผู้บริหารต้องสร้างแบรนด์ให้มีความแปลกใหม่ ต้องหาทางฉีกออกมาจากตลาดที่แข่งขันด้วยราคาให้ได้หันมาสร้างแบรนด์ให้มีคุณค่า เพราะตราบใดที่คนยังต้องใส่เสื้อผ้าออกจากบ้าน ดีมานด์ก็จะเกิดขึ้น ผู้ประกอบการต้องเดินให้ถูกทางกับความต้องการของลูกค้า ดังนั้นการสร้างแบรนด์ที่ตอบโจทย์จึงมีความสำคัญมากๆ” คุณวิศัลย์ กล่าว

“การที่เรากระโดดเข้าในโลกดิจิทัลนั้นเรามองว่า เป็นสิ่งที่ทำให้เรามีตัวตนที่ชัดเจนขึ้น เราสามารถเข้าหาลูกค้าได้ตรง ลูกค้าก็เข้าหาเราได้โดยตรง การมีตัวตนนั้นไม่ว่าเราจะทำธุรกิจใด หรือเสื้อผ้าประเภทใดก็ตาม ตัวตนของเราจะต้องมีความชัดเจนทั้งในด้านคาแรคเตอร์ของสินค้าและจุดยืนอันเป็นเอกลักษณ์ที่ลูกค้าเห็นแล้วรู้ทันทีว่านี่คือเรา ซึ่ง Digital Transformation เป็นเครื่องมือที่จะเสริมให้ตัวตนของเราบนโลกออนไลน์นี้มีความเด่นชัดยิ่งขึ้น อีกทั้งพฤติกรรมผู้บริโภคในปัจจุบันก็หันมาซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น เราจึงมองว่าการเข้าสู่ช่องทางออนไลน์ ไม่มีคำว่าช้าไป เพราะเทคโนโลยียังมีอะไรใหม่ ๆ ที่พัฒนาออกมาช่วยเสริมในด้านธุรกิจอีกมากมาย” คุณศิพิมพ์ กล่าว

 นางสาวสิรินันท์ จิรดิลก ผู้อำนวยการอาวุโส Digital Engagement & FinTech Innovation ธนาคารยูโอบี ประเทศไทย กล่าวเสริมว่า เพราะSMEs เปรียบเสมือนกระดูกสันหลังของเศรษฐกิจประเทศ หาก SMEs มีความแข็งแกร่ง เศรษฐกิจของชาติก็จะเข้มแข็งตามไปด้วย ด้วยจุดแข็งจากการที่เราเป็นธนาคารระดับภูมิภาค เราเชื่อมั่นว่าจะสามารถสนับสนุนการปรับธุรกิจสู่ดิจิทัลและเติบโตของลูกค้าอย่างยั่งยืนได้ทั้งภายในและต่างประเทศ

โครงการ Smart Business Transformation หรือ SBTP ดำเนินการโดยธนาคารยูโอบี ประเทศไทยจับมือกับ The FinLab หน่วยงานบ่มเพาะนวัตกรรม (Innovation Accelerator) พร้อมด้วยความร่วมมือและการสนับสนุนจากหลากหลายองค์กรพันธมิตร ได้แก่ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) สำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) องค์กรพันธมิตรภาคเอกชน รวมถึงผู้ให้บริการดิจิทัลโซลูชันต่างๆ เพื่อสนับสนุนและพัฒนาขีดความสามารถผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs) ในประเทศไทยให้สามารถเปลี่ยนแปลงองค์กรสู่ดิจิทัลเต็มรูปแบบ

SMEs ที่มีความต้องการและความพร้อมปรับธุรกิจสู่ดิจิทัล สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ Smart Business Transformation ได้จนถึงวันที่ 18 เม.ย. 2565 ได้ทาง https://go.uob.com/34u5f60 ดูข้อมูลโครงการเพิ่มเติมหรือติดตามข่าวสารได้ทาง www.Thefinlab.com/Thailand


Tags : อุตสาหกรรมเสื้อผ้าไทย วิศัลย์ วนะศักดิ์ศรีสกุล วอริกซ์ สปอร์ต คุณากร ธนสารสมบัติ ศิพิมพ์ อุ่นวรวงศ์


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

SME D Bank ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดผลกระทบให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจากสถานการณ์เศรษฐกิจ คิกออฟโครงการ “SME D ให้ใจ ไปถึงถิ่น” ยกทัพทีมงานสาขา พร้อมหน่วยสนับสนุนจากทั่วประเทศ ลงพื้นที่พร้อมกันไปมอบบริการถึงสถานประกอบการ แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจ ตลอดเดือนมิถุนายน 2568  อำนวยความสะดวกพาเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ เพียง 3%ต่อปี และการพัฒนา ช่วยยกระดับเพิ่มศักยภาพธุรกิจ  นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย" (ธพว.) หรือ SME D Bank   กล่าวว่า  SME D Bank ขานรับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงการคลัง ที่ต้องการให้สถาบันการเงินของรัฐ เป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึง ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ  ทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกา การล้นทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ เป็นต้น  ดังนั้น SME D Bank จึงทำงานเชิงรุกด้วยการดำเนินโครงการ “SME D ให้ใจ ไปถึงถิ่น” ยกทัพทีมงานสาขา พร้อมทีมสนับสนุนจากทั่วประเทศ กระจายลงพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อไปมอบบริการสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีถึงสถานประกอบการ รวมถึง แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจสำคัญต่างๆ ทั่วประเทศ จังหวัดละ 4-5 จุด  ตลอดเดือนมิถุนายน 2568 โดยกำหนดคิกออฟพร้อมกันในวันที่ 7 มิถุนายน 2568      ทั้งนี้ พร้อมให้บริการ ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ของธนาคารในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิดและทั่วถึงมากที่สุด  ประกอบด้วยบริการพาถึงเงินทุน ผ่านโครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) วงเงินรวมกว่า 30,000 ล้านบาท ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจและทุกความต้องการเอสเอ็มอีไทย จุดเด่นอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3% ปีแรก  ผ่อนนานสูงสุดถึง 10 ปี  และปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 12 เดือน สามารถแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ได้ทันที หากเอกสารพร้อม รู้ผลการพิจารณาภายใน 10 วันทำการ ประกอบด้วย 1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท  สนับสนุนผู้ประกอบการลงทุนติดตั้งระบบอุปกรณ์ โดยเฉพาะแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าพลังงาน และมุ่งสู่ธุรกิจสีเขียว   2.สินเชื่อ "ปลุกพลัง SME"  วงเงินกู้สูงสุด 1.5 ล้านบาท  สำหรับผู้ประกอบการรายเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท ช่วยต่อยอดเพิ่มสภาพคล่องในธุรกิจ และ 3.สินเชื่อ "Beyond ติดปีก SME"  วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 2 ล้านบาทขึ้นไป  เพื่อเพิ่มศักยภาพยกระดับการดำเนินธุรกิจ  และเสริมสภาพคล่องในธุรกิจ สำหรับวงเงิน 30,000 ล้านบาท ที่จะอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จะมีส่วนสำคัญผลักดันให้เอสเอ็มอียกระดับเพิ่มศักยภาพ  เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ ในทุกพื้นที่    ตั้งเป้าสนับสนุนเข้าถึงแหล่งทุนได้กว่า 14,000 กิจการ  รักษาการจ้างงานได้ประมาณ 198,000 คน และกระตุ้นเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 160,000 ล้านบาท      อีกทั้ง ยังสนับสนุนด้านการพัฒนา ผ่านแพลตฟอร์ม "DX by SME D Bank" ช่วยเสริมแกร่งครบวงจร สามารถสมัครใช้บริการได้ทันทีเช่นกัน  มีฟังก์ชันสำคัญ เช่น ระบบ  “Business Health Check”  ตรวจสุขภาพทางธุรกิจ  ระบบ E-Learning รวบรวมหลักสูตรความรู้สำคัญ ช่วยเพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ เรียนรู้ได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง ระบบ SME D Activity  สามารถจองเข้าร่วมกิจกรรมเติมความรู้ได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ระบบ SME D Coach มีโค้ชมืออาชีพคอยเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำธุรกิจ  ระบบ SME D Market ช่วยขยายตลาดด้วย E-marketplace หนุนจับคู่ธุรกิจ  และระบบ SME D Privilege  ที่มอบสิทธิประโยชน์พิเศษมากมาย การลงพื้นที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ธนาคารจะรับแจ้งความต้องการจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี  ผ่านการลงทะเบียนออนไลน์เพียงสแกน QR Code ด้วยสมาร์ตโฟน และกรอกข้อมูลเข้าระบบ ซึ่งข้อมูลจะถูกส่งไปยังสาขาธนาคารในพื้นที่ที่ผู้ประกอบการระบุทันที จากนั้น เจ้าหน้าที่สาขาจะติดต่อกลับ เพื่อดำเนินการตอบความต้องการต่างๆ ของผู้ประกอบการอย่างฉับไวที่สุด      นอกจากนั้น ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังสามารถแจ้งความประสงค์รับบริการด้านการเงินและการพัฒนาจาก SME D Bank  ได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น สาขาของ SME D Bank ทุกแห่งทั่วประเทศ  ,  LINE Official Account : SME Development Bank  และเว็บไซต์  www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

10 Jun 2025

...

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ขานรับนโยบายนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมกรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) เพื่อช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ให้กลับมามีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวดได้ตามปกติ เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและเงินงวด นานสูงสุด 1 ปี ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL BFRIEND และสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน – 31 ธันวาคม 2568   นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากการที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ ช่วยเหลือภาคธุรกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 256 และมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้มีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวด เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป ดังนั้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงขานรับนโยบายดังกล่าว โดยการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ให้กับลูกค้าธนาคาร จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) สำหรับลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปีให้กลับมามีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวดได้ตามปกติ เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป โดยมีรายละเอียด ดังนี้             เดือนที่ 1 – 6      : คิดอัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรก 0% ต่อปี โดยผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาทต่อเดือน             เดือนที่ 7 - 9      : ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 1.90 % +100 บาท             เดือนที่ 10 -12   : ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 3.90 % +100 บาท                                       กรณีลูกค้าชำระเกินที่ธนาคารกำหนดให้นำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระ (หากมี) “การจัดทำมาตรการ DC3 ของ ธอส. ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยลูกค้ารักษาบ้านของตนเองแล้ว ยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยให้ปรับตัวลดลงได้ด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังให้ความสำคัญ ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวควบคู่ไปกับการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ฯ ซึ่ง ธอส. ได้จัดทำสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำรองรับการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 240,000 ล้านบาทในปีนี้” นายกมลภพ กล่าว   อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ธอส. มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ กลุ่มลูกค้า NPL อีกจำนวน  4 มาตรการ นอกจากนี้ ธอส. ยังดำเนินการตามนโยบายกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการเปิดขยายเวลาการเข้าร่วม “โครงการคุณสู้ เราช่วย” ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เพื่อช่วยลูกหนี้ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน แต่เคยมีประวัติการค้างชำระเกิน 30 วัน ก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน  2567 และได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ให้ได้รับความช่วยเหลือต่อเนื่อง และยังจัดทำมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทา ความเดือดร้อนให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมาด้วย ลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL BFRIEND และสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน – 31 ธันวาคม 2568 โดยแสดงหลักฐานการได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ / ธุรกิจ / การค้า หรือจากสภาวะทางเศรษฐกิจ เพื่อประกอบการพิจารณา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ G H Bank Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th  

02 Jun 2025

...

ตามที่รัฐบาลโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ ช่วยเหลือภาคธุรกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ผ่านการลดเป้าหมายกำไรทางธุรกิจเพื่อนำเม็ดเงินงบประมาณมาจัดทำโครงการ/มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการนั้น   นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารจึงได้เร่งรัดดำเนินการ ประกาศลดดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการกลุ่มสินเชื่อธุรกิจที่เป็นลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร ในอัตรา 2 - 3% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกธุรกิจ Supply Chain และผู้ผลิตสินค้าที่ต้องมีการแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ เนื่องจากนโยบายกำแพงภาษีฯ ส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนสินค้าไทยเพิ่มขึ้น การส่งออกชะลอตัว และอาจทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงจนนำไปสู่ปัญหาการขาดสภาพคล่อง และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงิน เสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจสามารถประคองตัวและดำเนินกิจการต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย มาตรการลดดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ครอบคลุมลูกค้าปัจจุบันกลุ่มสินเชื่อธุรกิจธนาคารออมสินทุกประเภทที่มีสถานะบัญชีปกติ โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่ได้รับผลกระทบ ธุรกิจ Supply Chain และผู้ผลิตที่ต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ ลดดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 3% ต่อปี จากอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิม ระยะเวลาการลดดอกเบี้ย ไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่จัดทำนิติกรรมสัญญา ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด ลูกค้าที่เข้าหลักเกณฑ์สามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่ สาขาธนาคารออมสินที่มีบัญชีเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2568 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115  

25 May 2025

...

SME D Bank เผยผลตรวจสุขภาพธุรกิจผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านระบบ Business Health Check ในแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” (dx.smebank.co.th)   พบจุดอ่อนสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านบริหารการเงิน  ด้านจัดการนวัตกรรม-เทคโนโลยี และด้านการตลาด  ประกาศเดินหน้าช่วย “เติมความรู้คู่เงินทุน” เสริมศักยภาพให้เข้มแข็ง ปิดจุดอ่อน สามารถก้าวผ่านอุปสรรคได้ในทุกสถานการณ์   นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากที่ SME D Bank มีบริการ “ตรวจสุขภาพทางธุรกิจ” หรือ “Business Health Check”  แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th)  เพื่อให้รับรู้ข้อมูลและเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนในกิจการตัวเอง ก่อนนำไปสู่การเติมทักษะ ปิดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งได้ตรงกับความต้องการของแต่ละกิจการ  ทั้งนี้  ระยะเวลาประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้ารับบริการตรวจสุขภาพทางธุรกิจ รวมกว่า 9,200 กิจการ  พบทักษะ 3 ด้านที่เป็นจุดอ่อนสำคัญ ได้แก่  อันดับ 1  ด้านการบริหารจัดการเงิน  ระดับคะแนนประเมินผลอยู่ที่ 1.8 จากคะแนนเต็ม 5 ตามด้วย อันดับ 2  ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี (2.6 คะแนน) และอันดับ 3 ด้านการสื่อสารการตลาด (3.6 คะแนน) โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในทุกขนาดธุรกิจ ล้วนมีจุดอ่อนใน 3 ด้านนี้เหมือนกัน แตกต่างกันในรายละเอียดและความซับซ้อนในทักษะที่ต้องพัฒนา   สำหรับด้านการบริหารจัดการเงิน กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) มีคะแนนต่ำที่สุด ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นความสำคัญของการทำบัญชี ไม่แยกเงินส่วนตัวกับธุรกิจ ไม่เข้าใจหลักการบัญชีเบื้องต้น ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการคำนวณกำไรขาดทุน รวมถึงความสามารถในการเข้าถึงแหล่งทุน  ส่วนกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก (Small) มีการบันทึกข้อมูลทางการเงิน แต่ขาดเครื่องมือหรือการลงทุนในระบบบัญชีที่เป็นมาตรฐาน รวมถึงขาดการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อวางแผนระยะยาว ขณะที่ ผู้ประกอบการขนาดกลาง (Medium) ต้องการทักษะการวิเคราะห์ทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น และในหลายกิจการขาดการบูรณาการข้อมูล ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ผู้ประกอบการรายย่อย ไม่รู้ว่ามีเทคโนโลยีอะไรที่ช่วยธุรกิจเล็กๆ ได้บ้าง และยังไม่สามารถเชื่อมโยงการใช้เทคโนโลยีด้านการตลาดได้อย่างเต็มศักยภาพ ส่วนผู้ประกอบการขนาดเล็ก ไม่รู้ว่าเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมรูปแบบใดเหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง และไม่มีแผนหรือนโยบายที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายของธุรกิจ รวมถึงไม่กล้ารับความเสี่ยงที่จะล้มเหลวจากการลงทุนในนวัตกรรม  สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง ไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมนวัตกรรมได้อย่างแท้จริง ด้านการสื่อสารการตลาด ผู้ประกอบการรายย่อย  ขาดทักษะในการใช้ Social Media ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับการตลาด รวมถึงไม่เข้าใจการตลาดพื้นฐาน ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดเล็ก  ขาดทักษะในการใช้เครื่องมือและการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด ไม่รู้วิธีวัดผลลัพธ์จากการทำการตลาด ทำให้กระทบต่อการวางแผนการตลาดอย่างเป็นระบบ ส่วนผู้ประกอบการขนาดกลาง ขาดการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดเชิงลึกและการบูรณาการข้อมูลจากทุกช่องทาง ทั้งนี้ ผลการตรวจสุขภาพทางธุรกิจ พบว่า ในภาพรวม ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยมีทักษะที่เข้มแข็ง  2 ด้าน ได้แก่ การบริหารประสิทธิภาพการผลิตหรือบริการ และการบริหารจัดการองค์กร ซึ่งเป็นศักยภาพที่ควรเสริมให้แกร่งขึ้นในยุคที่ความไม่แน่นอนสูง การบริหารจัดการต้นทุนทำได้ยากขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการประสิทธิภาพตามแนวทางธุรกิจสีเขียว เพื่อให้กำไรสูงสุดภายใต้เงื่อนไขการปล่อยคาร์บอนต่ำสุด   นายพิชิต กล่าวต่อว่า  จากที่เห็นจุดอ่อนสำคัญของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย  SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐเดินหน้ายกระดับพัฒนาศักยภาพให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ผ่านบริการ “เติมความรู้คู่เงินทุน” ช่วยเสริมศักยภาพในหลากหลายรูปแบบ เพื่อช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ปิดจุดอ่อนใน 3 ด้านดังกล่าว สำหรับด้านการพัฒนาผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน จัดโครงการพัฒนาทั้งออนไซต์ควบคู่ออนไลน์ เช่น โครงการ “ทุนก็มี ภาษีก็รู้ ก้าวสู่ความยั่งยืน” จับมือกรมสรรพากร   ให้ความรู้ด้านการเงิน ในรูปแบบ One Stop Service ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โครงการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยี โครงการสนับสนุนด้านการตลาด เช่น สอนการสร้างคอนเทนต์ด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ กิจการ SME D Market รวมถึง Business Matching ช่วยเพิ่มรายได้ขยายตลาด เป็นต้น อีกทั้ง มีบริการแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th) ช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจครบวงจร ใช้บริการได้สะดวกสบาย ตลอด 24 ชม. เช่น  E-Learning รวบรวมหลักสูตรความรู้เพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ ทั้งการบริหารจัดการธุรกิจ นวัตกรรม เทคโนโลยี มาตรฐาน การตลาด การเงิน และเตรียมพร้อมเข้าถึงแหล่งเงินทุน  , SME D Coach ที่ปรึกษาและให้คำแนะนำธุรกิจจากโค้ชมืออาชีพ  , E-marketplace ช่วยขยายช่องทางขยายตลาด และเชื่อมโยงจับคู่ธุรกิจ และ Privilege สิทธิประโยชน์เพื่อยกระดับธุรกิจ เป็นต้น ควบคู่กับให้บริการด้านการเงิน ช่วยให้มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อลงทุน ปรับปรุง ขยายกิจการ  หมุนเวียน หรือลดต้นทุนทางการเงิน เป็นต้น  จุดเด่นอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปี  คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน  ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถแจ้งความประสงค์ใช้บริการด้านการพัฒนาและการเงินได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น  แพลตฟอร์ม DX by SME D Bank , LINE Official Account : SME Development Bank และเว็บไซต์ www.smebank.co.th  เป็นต้น  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357   

24 May 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner