Responsive image

Monday, 15 Sep 2025

หน้าแรก > INSURANCE / ประกันภัย - ประกันชีวิต


OCEAN LIFE ไทยสมุทร สู่ปีที่ 75 ก้าวกระโดดสู่ HEALTHIVERSE ยุคใหม่เพื่อโลกที่ยั่งยืนและสุขภาพที่ดีของคนไทย

Fri 29/03/2567


บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) รักคือพลังของชีวิต โดย คุณนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ (CEO) เผยว่าในปี 2567 ซึ่งเป็นปีแห่งการเฉลิมฉลองครบรอบ 75 ปี จึงเป็นโอกาสที่ดีในการนำความพร้อมที่เราได้เตรียมไว้ เพื่อเริ่มต้นก้าวสู่โลกยุคใหม่ที่เราจะใช้ทั้งพลังความรักและศักยภาพด้านการประกันชีวิตที่เรามีทั้งหมด มาร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างโลกที่ดีและยั่งยืนทั้งวันนี้และอนาคตให้กับทุกคน ทุกเจนเนอเรชั่นให้สามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างมั่นคง มั่นใจ ปลอดภัย และมีความสุข นอกจากการใช้พลังความรักเป็นแรงขับเคลื่อนด้วย Tagline “รักคือพลังของชีวิต” และแคมเปญ Love Mindset ที่สนับสนุนการใช้ชีวิตด้วยรัก 3 ด้านให้พร้อมรับมือกับทุกการเปลี่ยนแปลง ทั้ง Love Your Health, Love Your Wealth และ Love The World ในปี 2567 เราจะเน้นใช้กลยุทธ์ “HEALTHIVERSE สู่โลกใหม่…เพื่อชีวิตและสุขภาพที่ดีของคนไทย” โดยนำศักยภาพในเรื่องสุขภาพทั้ง 8 ด้าน มาช่วยให้คนไทยเข้าใจการดูแลสุขภาพที่ถูกต้อง เพื่อที่จะไม่ป่วย อายุยืนแบบมีคุณภาพชีวิตที่ดี ตอบโจทย์สังคมผู้สูงอายุในปัจจุบัน ด้วยแนวคิด LOVE’s Evolution into the NEW ERA รักคือพลังก้าวเข้าสู่โลกยุคใหม่ด้วยแนวคิดใหม่ ๆ ประกอบด้วย

  • LOVE YOUR HEALTH for HEALTHIVERSE โลกใหม่ที่ทุกคนรักและดูแลสุขภาพตัวเองเป็นอย่างดี “เราจะไม่ป่วย” ด้วยการส่งเสริมการดูแลสุขภาพครอบคลุมทั้งสุขภาพกายใจ พร้อมสร้างความตระหนักรู้ในมิติต่าง ๆ ช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพ และยกระดับคุณภาพชีวิตอย่างยั่งยืน
  • LOVE YOUR WEALTH for WEALTHIVERSE  โลกใหม่ที่ทุกคนรู้จักวางแผนการเงิน ปิดความเสี่ยงในชีวิต โดยส่งเสริมให้ทุกคนมีความรู้พื้นฐานสำคัญด้านการเงิน ใช้เงินให้เป็น มีเงินออม มีทางเลือกการลงทุน เพิ่มความมั่งคั่ง และปิดความเสี่ยงด้วยประกันชีวิต 
  • LOVE THE WORLD for HAPPiVERSE รักษาโลกอย่างยั่งยืน ให้คนรุ่นหลังมีความสุข สนับสนุนการสร้างความยั่งยืนทุกด้านตามแนวทาง ESG และ SDGs ทั้งในด้านปลูกฝัง Mindset และมุ่งทำให้เกิดขึ้นจริง

 

โดยตลอดปี 2567 OCEAN LIFE ไทยสมุทร จะใช้พลังความรักรับมือโลกยุคใหม่ด้วยโครงการแคมเปญ กิจกรรม และสื่อต่าง ๆ ผ่านแนวคิด HEALTHIVERSE เพื่อให้คนไทย TOP FORM ไม่ป่วย ช่วยคนไทยด้วยศักยภาพทั้งหมดที่มี และได้เกิดเป็น NEW ERA ในมิติต่าง ๆ  ดังนี้

NEW ERA, NEW CAMPAIGN
เปิดตัวแคมเปญโฆษณาชุดใหม่ “Supreme Health” ยกระดับประกันสุขภาพคุ้มครอง 100 ล้านบาท

ในวาระครบรอบ 75 ปี OCEAN LIFE ไทยสมุทร ได้ยกระดับประกันสุขภาพ เปิดแคมเปญโฆษณาใหม่ล่าสุด ชวนคนไทยมา TOP FORM ไปกับ “โอ้” มาริโอ้ เมาเร่อ กับประกันสุขภาพแบบเหมาจ่ายระดับพรีเมี่ยม ที่ดีที่สุดของเรา โอเชี่ยนไลฟ์ ซูพรีม เฮลท์ (OCEAN LIEF SUPREME HEALTH) ที่คุ้มครองการรักษาสูงสุดถึง 100 ล้านบาท ตอบโจทย์การรักษาพยาบาลในทุกมิติ ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงนวัตกรรมการรักษาที่ล้ำสมัย พร้อมนวัตกรรมและบริการมากมาย จากพันธมิตรและโรงพยาบาลชั้นนำ อีกทั้งยังมีบริการปรึกษาแพทย์ออนไลน์ (Telemedicine) ให้ลูกค้าได้รับสิ่งที่ดีที่สุดอย่างเหนือระดับ ในทุกที่ ทุกเวลา เพื่อปิด Gap ด้านสุขภาพให้ทุกคน TOP FORM

แต่เนื่องในสภาพแวดล้อมปัจจุบันโรคร้ายแรงเป็นสิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงถึง จะดีกว่าไหมถ้ามีตัวช่วยมาปิดความเสี่ยงเรื่องโรคร้ายแรงที่มีสถิติเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยเหตุนี้เราจึงได้สร้างสรรค์แบบประกันคุ้มครองโรคร้ายแรงที่ดีที่สุด และคุ้มครองโรคร้ายแรงได้มากที่สุดของ OCEAN LIFE ไทยสมุทร กับสัญญาเพิ่มเติม    โอเชี่ยนไลฟ์ ซูเปอร์ ซีไอ 120 (CI120)  คุ้มครอง 6 กลุ่มโรคร้ายแรงและกลุ่มความคุ้มครองพิเศษของโรคมะเร็งระยะลุกลาม รวมสูงสุดถึง 120 โรคร้ายแรง ที่เป็นสาเหตุของการเสียชีวิตอันดับต้น ๆ ของคนไทย นอกจากนี้ วิกฤตที่ผ่านมายังทำให้คนรุ่นใหม่ตระหนักถึงความสำคัญของประกันสุขภาพ และความไม่แน่นอนของชีวิต  OCEAN LIFE ไทยสมุทร จึงได้นำเสนอประกันสุขภาพ โอชิ สมอล เฮลท์ ประกันสุขภาพไซซ์เล็ก  (OCHI SMALL HEALTH)  เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของคนรุ่นใหม่ที่มองหาความสะดวกสบายและคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ด้วยเบี้ยประกันที่จับต้องได้ เริ่มต้นแค่วันละ 13 บาท ได้รับความคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) สูงสุด 1,000 บาทต่อครั้ง พร้อมทั้งคุ้มครองค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน (IPD) เหมาจ่ายตามจริงสูงสุด 50,000 บาทต่อครั้ง อีกทั้งยังสามารถปรึกษาเภสัชกรออนไลน์ (Telepharmacy) และรับยาจากร้านยาเครือข่ายใกล้บ้านได้อีกด้วย

NEW ERA >> NEW INNOVATION
เตรียมพบกับ NEW!! OCEAN CLUB APP 2024 ที่มาพร้อมกับ HEALTHIVERSE FUNCTION

จากแบบประกันทั้ง 3 ตัวที่กล่าวมา ช่วยปิด Gap ด้านสุขภาพของคนไทยได้ครอบคลุมทุก Segment ช่วยผลักดันให้คนไทยเข้าถึงนวัตกรรมการรักษาที่ล้ำสมัย นอกจากนี้ OCEAN LIFE ไทยสมุทร ยังช่วยให้คนไทยได้รับเทคโนโลยีด้านสุขภาพได้แบบไม่มีค่าใช้จ่าย โดยได้พัฒนา NEW!! OCEAN CLUB APP : HEALTHIVERSE FUNCTION ฟังก์ชั่นใหม่ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อชีวิตและสุขภาพที่ดีของคนไทย นอกเหนือจากการสนับสนุนให้คนไทยดูแลสุขภาพด้วยการออกกำลังกาย เดิน วิ่ง ขี่จักรยาน และพักผ่อนให้เพียงพอแล้ว เรายังส่งนวัตกรรมดูแลสุขภาพเพิ่มเติม เพื่อทำให้คนไทยมีสุขภาวะที่ดี มีร่างกายแข็งแรงครอบคลุมทั้ง 3 ฟังก์ชั่น 1.Nutrition การรับประทานอาหาร ที่มีทั้งเรื่อง Food Diet Tracking วางแผนการรับประทานอาหารที่เหมาะสม Water reminder ดื่มน้ำที่ร่างกายต้องการ หรือแม้แต่การทำ Intermittent Fasting (IF) 2.Exercise การออกกำลังกาย ไม่ว่าจะเป็นการแสดงข้อมูลแคลอรี่จากการเดิน วัด Heart Rate จากการวิ่ง หรือ Trackข้อมูลความเร็วในการปั่นจักรยาน และสุดท้ายคือ 3.Relax การพักผ่อน ครอบคลุมทั้งการนอนที่เพียงพอ การเต้นของชีพจร  และอัตราความเครียดของผู้ใช้งาน ยิ่งไปกว่านั้นยังมีฟังก์ชั่นพิเศษ CANCER SCREENING เช็คความเสี่ยงโรคมะเร็ง ประเมินความเสี่ยงโรคมะเร็งเบื้องต้น พร้อมด้วยฟังก์ชั่น COMPETITION การแข่งขัน ทำให้ได้ท้าทายและสนุกกับการดูแลสุขภาพมากขึ้น ซึ่งข้อมูลทั้งหมดได้รับคำแนะนำและการดูแลจากแพทย์และผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง นับว่าเป็นตัวช่วยที่จะทำให้คนไทยไม่ป่วยอีกทางเลือกหนึ่ง

 

NEW ERA, NEW ACTIVITIES
พบกับ HEALTHIVERSE SYMPOSIUM งานสัมมนาออนไลน์ด้านสุขภาพแนวใหม่ เร็ว ๆ นี้

เมื่อครบทั้งแบบประกันสุขภาพที่ดี APPLICATION ที่เป็นตัวช่วย OCEAN LIFE ไทยสมุทร ยังมุ่งหวังให้คนไทยมีความรู้ด้านสุขภาพ การออม และรักษ์โลกที่มากกว่าเดิม โดยในปี 2567 เราจะมีกิจกรรมอัดแน่นตลอดทั้งปี เพื่อเสริมทักษะความรู้ครบทั้งด้าน HEALTHIVERSE ความรู้ด้านสุขภาพ  ในงาน HEALTHIVERSE SYMPOSIUM งานสัมมนาออนไลน์ด้านสุขภาพแนวใหม่ ที่จะส่งเสริมให้ทุกคนเข้าถึงความรู้ด้านสุขภาพได้อย่างเท่าเทียมจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ และกูรูด้านสุขภาพชั้นนำของประเทศ เพื่อช่วยแนะนำให้คุณปิด Gap ด้านสุขภาพได้อย่างถูกต้องและตรงประเด็น นอกจากนั้น เรายังทำกิจกรรมอีกหลากหลาย ทั้งในส่วนของ WEALTHIVERSE ความรู้เรื่องการออมเงิน  และ HAPPiVERSE กิจกรรมตอบแทนสังคม ดูแลสิ่งแวดล้อม และยึดมั่นในธรรมาภิบาลตามแนวทาง ESG ตลอดทั้งปี พร้อมด้วยการจัดแคมเปญส่งมอบความสุขตอบแทนความไว้วางใจที่ลูกค้ามีให้กับเรามาตลอด 75 ปี  กับกิจกรรม “OCEAN LIFE ไทยสมุทร 75 ปี แจกทอง 75 บาท” ให้ลูกค้าลุ้นรับทองคำรูปโอชิหนัก 1 สลึงจำนวน 300 รางวัลตลอดปี  มูลค่ารวมกว่า 2.5 ล้านบาทอีกด้วย 

NEW ERA, NEW EXPERIENCE
เปิดตัวอย่างเป็นทางการ “OCEAN LIFE LOVE SPACE” พื้นที่ของทุก Generation เพื่อส่งมอบประสบการณ์ความรัก

เมื่อครบองค์ประกอบทั้งผลิตภัณฑ์ APPLICATION และกิจกรรมแบบอัดแน่นแล้ว ล่าสุด!! ได้เปิดตัว Flagship Store Concept โลกยุคใหม่ OCEAN LIFE LOVE SPACE” ที่ตกแต่งโดยใช้สีฟ้าและสีเมทัลไอซ์บลู ที่เปรียบเสมือนการผสานโลกเก่ากับโลกใหม่เป็นโลกที่ดีและยั่งยืนให้กับทุกเจเนอเรชั่นได้อยู่ด้วยกันอย่างมีความสุข OCEAN LIFE LOVE SPACE พร้อมเปิดให้บริการเพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ให้กับลูกค้า และที่ปรึกษาประกันชีวิต ใช้เป็นพื้นที่แบ่งปันความรู้ Co-Working Space โดยมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ภายใต้สภาพแวดล้อมที่เหมาะสม ทำเลที่ตั้งสะดวกสบายเดินทางใกล้ทั้ง BTS / MRT และ Airport Rail Link 

NEW ERA, NEW SERVICES ยกระดับการบริการครอบคลุมครบทุกมิติ

OCEAN LIFE ไทยสมุทร ไม่หยุดพัฒนานวัตกรรมการบริการต่าง ๆ เดินหน้าพัฒนาระบบ E-Service ครอบคลุมครบตั้งแต่การค้นหาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต จนถึงการสมัครทำประกัน การเคลมประกัน การรับผลประโยชน์ต่าง ๆ ตลอดจนการบริการหลังการขาย ไม่ว่าจะเป็น E-Buy ซื้อประกัน ผ่านทางเว็บไซต์ E-Application ลูกค้าสมัครทำประกันผ่านใบคำขอทำประกันอิเล็กทรอนิกส์ E-Policy เลือกรับกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ผ่านทาง Email  E-Claim เคลมสินไหมออนไลน์ด้วยตนเองตลอด 24 ชั่วโมง E-Loan การกู้เงินตามกรมธรรม์ได้ง่าย ๆ โดยไม่ต้องเดินทางติดต่อสาขา ซึ่งทั้งหมดนี้ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อบริการ OCEAN CONNECT ผ่าน LINE @oceanlife หรือ OCEAN CLUB APP ได้ทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ

ขณะเดียวกัน ได้ยกระดับการบริการ ด้วยการเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์ OCEAN LIFE CONTACT CENTER ให้จำง่าย ติดต่อได้สะดวกยิ่งขึ้นด้วยหมายเลข 4 หลัก “1503” พร้อมเป็นศูนย์กลางการติดต่อสอบถาม สามารถรับบริการได้สะดวก รวดเร็ว พร้อมส่งมอบประสบการณ์ประทับใจด้วยภาษาถิ่น ให้ลูกค้ารู้สึกคุ้นเคย สบายใจ และได้รับความพึงพอใจสูงสุด

 

ปี 2566 ตอกย้ำความเชื่อมั่นด้วยการสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน

ในปี 2566 ที่ผ่านมา นับเป็นปีที่ OCEAN LIFE ไทยสมุทร เตรียมความพร้อมทุกด้านเพื่อสร้างความมั่นคงและพัฒนาศักยภาพในการดูแลลูกค้าในทุกมิติ ทั้งคุณค่าแบรนด์ นวัตกรรมประกันและบริการ ช่องทางการขาย การจัดการข้อมูลดิจิทัล และการร่วมมือกับพันธมิตรด้านต่าง ๆ รวมทั้งการพัฒนาบุคลากรให้มีความพร้อมรับมือกับโลกยุคใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ในปี 2566 บริษัทสามารถสร้างความมั่นคงให้กับธุรกิจโดยเน้นการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยสินทรัพย์ จำนวน 100,622 ล้านบาท เงินสำรองประกันชีวิต จำนวน 80,072 ล้านบาท และมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio - CAR) ที่ร้อยละ 361.54 สูงกว่าเงินกองทุนขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดที่ร้อยละ 120 นับว่าอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งเป็นอันดับแนวหน้าของธุรกิจประกันชีวิต ในขณะที่บริษัทสามารถสร้างรายได้จากเบี้ยประกันชีวิตรับรวม จำนวน 14,983 ล้านบาท มีเบี้ยประกันชีวิตรับปีแรก จำนวน 1,923 ล้านบาท และเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อที่ 12,450 ล้านบาท โดยมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ที่ร้อยละ 87 ยิ่งไปกว่านั้น ด้วยแผนกลยุทธ์ที่มุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และนโยบายการลงทุนที่รอบคอบรัดกุมทำให้บริษัทมีผลตอบแทนจากการลงทุนสูงเป็นอันดับต้น ๆ ของธุรกิจประกันชีวิตที่ร้อยละ 4.90 ส่งผลให้ในปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิรวมทั้งสิ้น 1,184 ล้านบาท

พิสูจน์กลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง ด้วยรางวัลเกียรติยศระดับสากล

จากผลของการวางรากฐานทางกลยุทธ์ที่แข็งแกร่ง โดยใช้พลังความรักสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน และคำนึงถึงความเสมอภาคและเท่าเทียม ควบคู่ไปกับการสร้างนวัตกรรมโดยใช้เทคโนโลยีดิจิทัล  ช่วยทำให้การบริการลูกค้าสะดวก รวดเร็ว ปลอดภัย ส่งผลให้ในปี 2566 บริษัทและผู้นำองค์กรได้รับรางวัลแห่งความภาคภูมิใจทั้งในระดับประเทศ ระดับเอเชียแปซิฟิก และระดับโลก  ทั้งรางวัล International Finance Awards 2023 : Most Innovative Health Insurance Campaign (Love Mindset) จาก International Finance Magazine (IFM) รางวัล ASIA CORPORATE EXCELLENCE & SUSTAINABILITY AWARDS 2023 : Outstanding Leaders in Asia จาก  Mors Group (Malaysia) รางวัลบริษัทประกันชีวิตที่มีการพัฒนาด้านความยั่งยืน จากสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) รางวัลองค์กรที่ส่งเสริมการจ้างงานคนพิการ ในระดับดีเด่น จากกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ รางวัลองค์กรภาคเอกชนที่รักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในระดับ “ยอดเยี่ยม” จากสำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) และรางวัล “บุคคลดีเด่นด้านการต่อต้านการทุจริต” จาก มูลนิธิต่อต้านการทุจริต

คุณนุสราฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ทั้งหมดนี้ คือสิ่งที่เราเตรียมพร้อมตลอดปีที่ผ่านมา และวันนี้เราพร้อมแล้วที่จะนำองค์กรก้าวสู่ยุคใหม่ของ OCEAN LIFE ไทยสมุทร ที่จะขับเคลื่อนด้วยพลังความรัก และเชื่อว่าโลกจะดีขึ้นหากทุกคนใช้ความรักเป็นพลัง ไม่ว่าจะเป็นความรักในธุรกิจ รักทีมงาน รักลูกค้า รักสังคม เพื่อสร้างโลกใหม่ที่ดีขึ้นเพื่อคนรักสุขภาพ HEALTHIVERSE ให้เกิดขึ้นในปีนี้ และเราจะส่งมอบสิ่งดี ๆ อีกมากมายให้กับคนไทยตลอดทั้งปี” 

ร่วมก้าวสู่โลกใหม่เพื่อชีวิตและสุขภาพที่ดีกับ OCEAN LIFE ไทยสมุทร ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมที่หลากหลายผ่านทาง OCEAN CLUB APPLICATION / LINE : @oceanlife / Facebook : Oceanlifepage และเว็บไซต์ www.ocean.co.th หรือ OCEAN LIFE CONTACT CENTER  1503
 


Tags : OCEANLIFEไทยสมุทร นุสรา(อัสสกุล)บัญญัติปิยพจน์ ไทยสมุทรประกันชีวิต ไทยสมุทรเผยรายได้ปี2566 ไทยสมุทรเผยแผนงานปี2567 ครบรอบ75ปีOCEANLIFEไทยสมุทร โอเชี่ยนไลฟ์ซูพรีมเฮลท์ มาริโอ้เมาเร่อ แผนประกันไทยสมุทรประกันชีวิต


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank โดยนายเขมชาติ อภิรัชตานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ  พร้อมผู้บริหาร และพนักงานธนาคาร เป็นตัวแทนเข้ารับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2568  จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภทเปิดใจใกล้ชิดประชาชน ระดับดี จากโครงการ “Smart SME : นวัตกรรมเพื่อผู้ประกอบการ SMEs สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน”  จากการดำเนินงานโดดเด่นตลอดปี 2567 ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มาสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้เข้าถึงบริการ “พัฒนาคู่เติมทุน” ช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ผลักดันธุรกิจเติบโต สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และวางรากฐานสู่ความยั่งยืน  เช่น มีแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank  เติมเต็มความรู้ครบวงจรได้ตลอด 24 ชม.  มีกระบวนการรับฟังเสียง เช่น  VOCs , Chatbot , Social Listening และระบบการจัดการความรู้ (KM Platform) บน Microsoft SharePoint เพื่อจัดเก็บและเผยแพร่องค์ความรู้ภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการเสริมสร้างวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Culture) ให้เกิดขึ้นในทุกระดับขององค์กร ผ่านกิจกรรมส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และการสื่อสารอย่างเป็นระบบ พร้อมขับเคลื่อนองค์กรภายใต้หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) มุ่งเน้นความโปร่งใส การมีส่วนร่วม และความรับผิดชอบ   สำหรับรางวัลเลิศรัฐ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อมอบรางวัลให้กับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่มีความโดดเด่น ในการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการ การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมและการบริหารจัดการภาครัฐเพื่อให้ภาครัฐพัฒนาไปสู่ความทันสมัย สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อระบบราชการและส่งผลให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีและเกิดความเชื่อมั่นในระบบราชการ  โดยปีนี้ (2568) ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ กรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ เป็นประธานในพิธีและมอบรางวัล  อีกทั้ง นายไมตรี อินทุสุต ประธานคณะทำงานเสริมสร้างประสิทธิภาพการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ และผู้ทรงคุณวุฒิในคณะทำงานตรวจประเมินรางวัลเลิศรัฐ  สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นผู้ร่วมมอบรางวัล  จัด ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี    

12 Sep 2025

...

ธ.ก.ส. เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง-นาปี กว่า 4.63 ล้านครัวเรือน ได้แก่ โครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 โครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 กรอบวงเงินรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ รวมสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท โอนเงินรอบแรกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป วงเงินรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท เกษตรกรผู้รับประโยชน์กว่า 2.48 ล้านราย พร้อมจัดมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 ได้แก่ สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี    โดยรัฐบาลชำระดอกเบี้ยแทนเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร พร้อมสนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกอีก 1,500 บาทต่อตัน และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 สถาบันฯ ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลและ ธ.ก.ส. รับชำระดอกเบี้ยแทน ตั้งเป้ารองรับปริมาณข้าวเปลือกรวม 4.5 ล้านตัน นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ ลดค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกข้าว รวมถึงสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพของการผลิตข้าว ธ.ก.ส. พร้อมดำเนินงานตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 และที่ประชุมคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 โดยมี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เป็นประธานในที่ประชุม ได้เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริม การเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 จำนวนรวมกว่า 4.63 ล้านครัวเรือน โดยพร้อมสนับสนุนเงินช่วย/เหลือให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปีการผลิต 2568/69 ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับผู้ปลูกข้าวนาปรัง ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2568 จนถึง 31 ธันวาคม 2568 และสำหรับผู้ปลูกข้าวนาปี ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 19 สิงหาคม 2568 – 30 กันยายน 2569 ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบสถานะโอนเงินและจำนวนเงินที่ได้รับได้ทาง https://govtransfer.baac.or.th หรือ Line Official : @baacfamily   สำหรับการโอนเงินให้เกษตรกร ธ.ก.ส. ได้จัดทำแผนการโอนเงินให้แก่เกษตรกรรอบแรก ตามรายชื่อผู้ที่ขึ้นทะเบียนสำเร็จจากกรมส่งเสริมการเกษตร โดยจะเริ่มโอนเงินครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป กรอบวงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท เกษตรกรผู้รับประโยชน์กว่า 2.48 ล้านราย โดยมีรายละเอียดการโอนเงิน ดังนี้ สำหรับโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 ธ.ก.ส. จะดำเนินการโอนเงินไปยังเกษตรกรทั่วประเทศในวันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2568 จำนวนเกษตรกรผู้ได้รับประโยชน์ จำนวน 769,461 ราย  กรอบวงเงินกว่า 6,280 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 ธ.ก.ส. จะดำเนินการโอนเงินแบ่งเป็น 3 รอบตามภูมิภาค ได้แก่  รอบที่ 1 : วันอังคารที่ 2 กันยายน 2568 เกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 286,831 ราย  กรอบวงเงิน 2,459 ล้านบาท รอบที่ 2 : วันพุธที่ 3 กันยายน 2568 เกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 1,291,298 ราย กรอบวงเงิน 10,586 ล้านบาท และรอบที่ 3 : วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน 2568 เกษตรในภูมิภาคอื่น ๆ ที่เหลือ จำนวน 137,478 ราย กรอบวงเงิน 1,254 ล้านบาท ทั้งนี้ ส่วนที่เหลือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะดำเนินการตรวจสอบและยืนยันการผลิตข้าวจากเกษตรกร และหลังจากได้รับการยืนยัน จะดำเนินการส่งข้อมูลให้กับ ธ.ก.ส. เพื่อดำเนินการโอนเงินช่วยเหลือต่อไป   นอกจากนี้ ธ.ก.ส. พร้อมเติมทุนสนับสนุนผ่านมาตรการรักษาเสถียรภาพข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 กรอบวงเงินรวมกว่า 50,000 ล้านบาท ได้แก่ สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท เพื่อป้องกันผลผลิตข้าวเปลือกล้นตลาด รวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางจนกว่าจะถึงช่วงที่ขายได้ราคาดี โดยรัฐบาลชำระดอกเบี้ยแทนเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เกษตรกรกู้ได้รายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตรและชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งละไม่เกิน 300 ล้านบาท กลุ่มเกษตรกรแห่งละไม่เกิน 20 ล้านบาท และวิสาหกิจชุมชนแห่งละไม่เกิน 5 ล้านบาท เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรไม่ต้องชำระดอกเบี้ย เนื่องจากรัฐบาลรับภาระในการชำระดอกเบี้ยแทน ตั้งเป้าหมายรองรับปริมาณข้าวเปลือกจากท้องตลาด 3 ล้านตัน โดยมีประเภทข้าวเปลือกที่เข้าร่วมโครงการ ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิในเขต 23 จังหวัด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด และภาคเหนือ 3 จังหวัด (เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา)  ข้าวเปลือกหอมมะลินอกเขต 23 จังหวัด ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกปทุมธานีและข้าวเปลือกเหนียว นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกให้อีก 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรเก็บข้าวเองได้รับ 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรฝากข้าวกับสถาบันเกษตรกร เกษตรกรจะได้รับ 500 บาทต่อตัน และสถาบันฯ จะได้รับ 1,000 บาทต่อตัน โดยแจ้งความประสงค์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และทำสัญญาภายใน 28 กุมภาพันธ์ 2569 และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้สถาบันเกษตรกรในการรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกร หรือการนำผลผลิตมาแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อจำหน่ายในตลาด โดยสถาบันฯ ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลและ ธ.ก.ส. รับชำระดอกเบี้ยแทน ระยะเวลาดำเนินโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2569 และจ่ายเงินกู้ภายใน 30 กันยายน 2569 โดยทั้ง 2 โครงการ ตั้งเป้ารองรับปริมาณข้าวเปลือกรวม 4.5 ล้านตัน นอกจากนี้ สำหรับเกษตรกรรายย่อยที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล สามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ได้ตามปกติ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555  

04 Sep 2025

...

เอไอเอ ประเทศไทย เปิดตัววิดีโอโฆษณา “AIA Financial Advisor” ชุดใหม่ล่าสุด มุ่งขับเคลื่อนเป้าหมายในการสร้างคนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหาอาชีพที่ให้อิสระด้านเวลา รายได้ และการเติบโต พร้อมกับการมอบโอกาสและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับอาชีพ “ที่ปรึกษาด้านประกันชีวิต การเงิน และสุขภาพ หรือ AIA Financial Advisor (AIA FA)” ให้แก่คนรุ่นใหม่ ซึ่งปัจจุบันนับเป็นอาชีพที่อยู่ในความสนใจของหลายคน ผ่านวิดีโอโฆษณาทั้ง 4 เวอร์ชั่น ที่สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้คอนเซปท์ “เปลี่ยนความโป๊ะให้เป็นความเป๊ะ” ถ่ายทอดเรื่องราวในมุมมองชีวิตจริงของคนยุคดิจิทัล ที่ชอบแชร์หรือโพสต์ Lifestyle บนโลกโซเชียล และอยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ชีวิตจริงกลับตรงกันข้าม ด้วยความเข้าใจในความต้องการของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง เอไอเอ จึงอยากชวนทุกคนมาสร้างอนาคตที่มั่นคงกับอาชีพ AIA FA เพื่อเปลี่ยนให้ความฝันเป็นความจริง ซึ่งยังเป็นการตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจและวิสัยทัศน์ที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของเอไอเอ ด้วยความพร้อมยกระดับตัวแทนสู่การเป็นที่ปรึกษาด้านประกันชีวิต การเงิน และสุขภาพ (AIA FA) มืออาชีพ เพื่อส่งมอบความคุ้มครองและช่วยคนไทยวางแผนชีวิต สุขภาพ และการเงินให้มั่นคงและมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา “Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น”   นางอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการ AIA FA ไม่ได้เป็นเพียงอาชีพที่ให้รายได้ แต่เป็นอาชีพที่ให้โอกาสในการสร้างชีวิตที่เลือกได้ด้วยตัวเอง ด้วยโครงสร้างผลประโยชน์รายได้ที่ชัดเจน มีแผนรับรองรายได้ 12 เดือน มีโบนัส CAB ทำงาน 5 ปี 5 ล้านบาท* ไม่มีเพดานรายได้ และมีรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น ทำให้สามารถจัดสรรเวลาตัวเองได้ พร้อมกับมีเครื่องมือดิจิทัลเฉพาะของเอไอเอที่รองรับการทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ให้คุณค่าในเรื่องการใช้ชีวิตควบคู่ไปกับอิสระด้านรายได้และความมั่นคงในชีวิต อีกทั้งอาชีพนี้ยังตอบโจทย์ความต้องการคนรุ่นใหม่ที่อยากประสบความสำเร็จเร็ว หรืออยากมีธุรกิจของตัวเอง โดยสามาถเติบโตเป็นผู้บริหารหน่วยได้เร็วตามความสามารถ หรือเป็นเจ้าของสำนักงานตัวแทนซึ่งเปรียบเสมือนการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง” นางอลิสา เสริมถึงความพร้อมในการพัฒนาตัวแทนว่า “เอไอเอ เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาที่ปรึกษามืออาชีพ โดยเริ่มจัดตั้งโครงการ AIA FA ตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรก ๆ ในตลาดประเทศไทย อีกทั้งยังมีการเปิดศูนย์ฝึกอบรม AIA FA Center กว่า 15 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความพร้อมในการรองรับและพัฒนา AIA FA ให้ประสบความสำเร็จในอาชีพ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมมานานกว่า 16 ปีของเอไอเอ โดยมีทั้งหลักสูตรที่ได้รับรองโดยสถาบันชั้นนำระดับโลก หรือการร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในการพัฒนาหลักสูตรพิเศษด้านการเงิน (สำหรับ FA Prime) หลักสูตรฝึกอบรมเหล่านี้จะช่วยพัฒนาและเสริมทักษะให้ AIA FA เป็นที่ปรึกษามืออาชีพ มีความรู้ครอบคลุมทั้งมิติด้านการวางแผนประกันชีวิตและด้านการเงิน ยิ่งไปกว่านั้น เรามีการนำเทคโลยีทันสมัยอย่าง AI เข้ามาใช้ในการคัดกรอง วิเคราะจุดอ่อนจุดแข็ง และพัฒนาศักยภาพตัวแทนด้วยวิธี Role Play เป็นลูกค้าเสมือนเพื่อให้ตัวแทนได้ฝึกสนทนากับลูกค้า ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจและยกระดับตัวแทนคุณภาพที่สามารถส่งมอบความคุ้มครองให้คนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในทุกช่วงชีวิต” สำหรับโครงการ AIA FA เปิดรับคนรุ่นใหม่ที่มี วุฒิปริญญาตรีสาขาใดก็ได้ และมองหาอาชีพที่ให้อิสระในการบริหารจัดการเวลาได้ด้วยตัวเอง สามารถสร้างรายได้แบบไร้เพดาน พร้อมโอกาสเติบโตอย่างมืออาชีพ อีกทั้งยังได้ทำงานพร้อมสร้างสมดุลให้กับชีวิต และมีเวลาสำหรับครอบครัว หรือ Passion ของตัวเอง ที่สำคัญโครงการ AIA FA ยังให้ผลตอบแทนพิเศษกับแคมเปญ “โบนัส 5 ปี 5 ล้าน” เพื่อเป็นเป้าหมายความสำเร็จของผู้เข้าร่วมโครงการฯ โดยเอไอเอ อยากเชิญชวนคนรุ่นใหม่ที่สนใจ รับชมวิดีโอโฆษณาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจได้ผ่านช่องทางออนไลน์ของเอไอเอ ทั้ง Facebook, Instagram, YouTube, TikTok และสื่อประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ หรือคลิกลิงก์ https://youtu.be/Ky66staK19Q ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมหรือสมัครเข้าร่วมโครงการ AIA FA ได้ทางเว็บไซต์ www.aia.co.th/FA

03 Sep 2025

...

  สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 51/2568  ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เรื่อง ให้แก้ไขแบบ ข้อความ ของกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า โดยกำหนดให้ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้งของกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จากเดิม 5 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท เป็น 20 ล้านบาท และปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้ง ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ให้มีจำนวนเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท เพื่อรองรับกรณีเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่ที่มีผู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงบ่อยครั้ง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายไพบูลย์ เปี่ยมเมตตา ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย และประธาน คณะทำงานแนวทางพัฒนาการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่บ่อยครั้ง ส่งผลให้จำนวนเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้งของกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งกำหนดไว้เพียง 5 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท ต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้ง รวมถึงกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ที่ส่วนใหญ่กำหนดวงเงินความคุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย และอนามัยของบุคคลภายนอกไว้ที่ 10 ล้านบาทต่อครั้ง ไม่เพียงพอต่อการชดใช้  ค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อคน ที่กำหนดไว้ 500,000 บาท ดังนั้น สำนักงาน คปภ. โดยสายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย จึงได้นำประเด็นดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะทำงานแนวทางพัฒนาการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้ง  สำหรับการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เป็น 20 ล้านบาท โดยไม่มีการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัย และให้ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำต่อครั้ง สำหรับการประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจ เป็น 20 ล้านบาท โดยให้ใช้อัตราเบี้ยประกันภัยเดิมที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุรายใหญ่ ที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงเกิน 20 รายขึ้นไป มีโอกาสได้รับค่าสินไหมทดแทน  เต็มจำนวนเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อคนที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย โดยสาระสำคัญของคำสั่งนายทะเบียนมี ดังนี้ 1. ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) กำหนดวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้งเป็น 20 ล้านบาท สำหรับทุกประเภทรถ โดยไม่เพิ่มเบี้ยประกันภัย และให้มีผลบังคับใช้ทันทีกับทุกกรมธรรม์ ทั้งกรมธรรม์ที่ยังมีผลคุ้มครองและกรมธรรม์ที่ทำสัญญาใหม่ โดยกำหนดให้  บริษัทประกันวินาศภัยต้องใช้แบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัยให้เป็นไปตามคำสั่งนายทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป 2. ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ กำหนดวงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำต่อครั้งในหมวดความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท สำหรับทุกประเภทรถ โดยให้เริ่มมีผลใช้บังคับกับกรมธรรม์ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป “แม้ว่าเมื่อปี 2563 สำนักงาน คปภ. ได้ปรับเพิ่มจำนวนเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับในส่วนของการคุ้มครองต่อคนจาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท แต่ยังคงวงเงินความรับผิดสูงสุดต่อครั้งไม่เกิน 5 ล้านบาทสำหรับรถยนต์นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง และไม่เกิน 10 ล้านบาทสำหรับรถยนต์นั่งเกิน 7 ที่นั่ง ขณะที่กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจได้มีการปรับเพิ่มจำนวนเงินคุ้มครองขั้นต่ำเป็น 500,000 บาทต่อคน แต่ส่วนใหญ่ยังคงกำหนดวงเงินสูงสุดต่อครั้งไว้ที่ 10 ล้านบาท การออกคำสั่งนายทะเบียนในครั้งนี้ จึงนับเป็นการยกระดับความคุ้มครองให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและเพียงพอต่อการดูแลผู้ประสบภัยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เป็นภาระเพิ่มขึ้นต่อผู้เอาประกันภัย เนื่องจากไม่มีการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัยแต่อย่างใด”  ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย กล่าวในตอนท้าย

31 Aug 2025

Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner