Responsive image

Thursday, 18 Sep 2025

หน้าแรก > INSURANCE / ประกันภัย - ประกันชีวิต


ไทยพาณิชย์ - เอฟดับบลิวดี ฉลองความสำเร็จ 5 ปี จุดพลุประกันแห่งปี “ประกันยิ่งอยู่นาน ยิ่งพิเศษ” คุ้มเลือกได้ รับเงินคืนทุกปี

Tue 09/07/2567


ธนาคารไทยพาณิชย์ และเอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต ฉลองความสำเร็จ 5 ปี ในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ที่ร่วมมอบทางเลือกผลิตภัณฑ์ความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ ด้วยช่องทางที่เชื่อมถึงกันอย่างไร้รอยต่อ โดยมอบความคุ้มครองให้ลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ เดินหน้าสานต่อความร่วมมือเพื่ออนาคตที่มั่นคงทางสุขภาพการเงินของคนไทย จุดพลุ “ประกันยิ่งอยู่นาน ยิ่งพิเศษ” มอบทางเลือกประกันชีวิตสะสมทรัพย์ระยะยาว ให้ลูกค้าเลือกระยะเวลาชำระเบี้ย 7 ปี 8 ปี หรือ 9 ปี พร้อมรับเงินคืนทุกปี สมัครง่ายไม่ต้องตรวจสุขภาพ ไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ พิเศษกว่าที่เคยด้วย โปรโมชัน 5 ต่อ พร้อมทั้งดึง “ตู่ ภพธร สุนทรญาณกิจ” ศิลปิน-นักแต่งเพลงฟีล อบอุ่น นั่งแท่นพรีเซนเตอร์คนใหม่ ร่วมสื่อสารและตอกย้ำความตั้งใจของสององค์กรที่เดินหน้าสนับสนุนคนไทยวางแผนชีวิตระยะยาวด้วยประกันชีวิตสะสมทรัพย์ระยะยาว

 

นางสาวปรมาศิริ มโนลม้าย รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจประกัน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2019 ธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (“เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต”) ประกาศความร่วมมือด้านประกันภัยที่มีมูลค่าสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยวิสัยทัศน์ร่วมกันที่ส่งมอบความคุ้มครองและความยั่งยืนในด้านการเงินและด้านสุขภาพของคนไทยผ่านช่องทางธนาคารไทยพาณิชย์ที่ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลให้วงการประกันชีวิต และความมุ่งหวังให้คนไทยมีโอกาสเข้าถึงประกันที่ดีมีมาตรฐานระดับโลก ผ่านนวัตกรรมประกันที่สร้างปรากฏการณ์ให้แก่วงการประกันอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยไทยพาณิชย์ครองตำแหน่งผู้นำตลาดประกันผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านธนาคาร หรือ แบงก์แอสชัวรันส์ (Bancassurance) ต่อเนื่อง และในช่วงสี่เดือนแรก ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายน ปี 2567 ธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับที่ 1*

 

“ตลอดระยะเวลา 5 ปี เราได้มีโอกาสดูแลการเจ็บป่วยให้กับลูกค้า ส่งมอบเงินมรดกให้ทายาท รวมทั้งส่งมอบความมั่นคงในชีวิตในรูปแบบเงินคืน รวมเป็นผลประโยชน์ ทั้งสิ้นกว่า 86,888 ล้านบาท** นับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ได้มีส่วนช่วยแบ่งเบาผลกระทบในด้านค่าใช้จ่ายในกรณีที่ไม่คาดฝันให้กับคนไทยจำนวนมาก เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์จากการช่วยลูกค้าวางแผนชีวิตและสุขภาพ และเนื่องจากการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย คนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น ธนาคารเล็งเห็นความสำคัญในการสนับสนุนให้คนไทยวางแผนระยะยาว จึงได้ร่วมกับเอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต มอบทางเลือกประกันสะสมทรัพย์ระยะยาว ด้วยจุดเด่น ชำระเบี้ยฯในระยะสั้น เพื่อสร้างความคุ้มครองชีวิตยาวตลอดชีพ และยังให้ผลตอบแทนกลับคืนในรูปของเงินคืนทุกปี เพื่อเป็นหลักประกันที่มั่นคงให้แก่ตัวเองและคนข้างหลัง” นางสาวปรมาศิริ กล่าว

 

นายเดวิด โครูนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประจำประเทศไทยและกัมพูชา บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “นับตั้งแต่เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต ร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ในปี 2019 จนถึงวันนี้เป็นเวลา 5 ปี แล้ว เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกันขยายการเติบโตธุรกิจประกันชีวิต จนประสบความสำเร็จสามารถครองตำแหน่งผู้นำธุรกิจประกันชีวิตอันดับ 1 ในช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านธนาคารมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 28.68%*** ด้วยแนวคิดการทำงานที่ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก (Customer-led) เราทำการศึกษาข้อมูลเชิงลึก เพื่อออกแบบนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการของเอฟดับบลิวดี ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกไลฟ์สไตล์และช่วงชีวิต”

“เรายังคงมุ่งมั่นและให้ความสำคัญในการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองหลากหลาย เพื่อเป็นทางเลือกและเป็นเครื่องมือที่ช่วยบริหารความเสี่ยงและวางแผนทางการเงินให้แก่ลูกค้า พร้อมสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคตให้แก่ตัวเองและครอบครัว เนื่องในโอกาสพิเศษฉลองความสำเร็จครบรอบ 5 ปี เราได้ร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ ออกแบบประกันสะสมทรัพย์ระยะยาว การันตีผลตอบแทนที่แน่นอนในทุกสภาวะเศรษฐกิจ  ซึ่งเป็นแผนประกันที่เหมาะสำหรับกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องการเริ่มออมเงินเพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว ช่วยรองรับแผนค่าใช้จ่ายรายปีในอนาคต รวมทั้งเป็นการวางแผนเงินก้อนหลังเกษียณ หรือวางแผนออมเงินเป็นมรดกให้กับคนที่รัก ซึ่งนับเป็นความคุ้มค่าที่ช่วยเติมเต็มรอยยิ้มและความสุขให้ทุกคนในครอบครัว ด้วยผลประโยชน์ตลอดเส้นทางในทุกช่วงเวลาของชีวิต สะท้อนเจตนารมณ์ของเอฟดับบลิวดี ประกันชีวิตที่ต้องการสนับสนุนให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตในแบบที่ชอบได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวล เพราะมีประกันเอฟดับบลิวดี ดูแลให้” นายเดวิด กล่าว

 

ในโอกาสที่ธนาคารไทยพาณิชย์และเอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต เฉลิมฉลองความสำเร็จในการร่วมมือกันมอบสิ่งดีๆ ให้แก่อุตสาหกรรมประกันตลอด 5 ปี จึงได้เปิดตัว “ประกันยิ่งอยู่นาน ยิ่งพิเศษ” พร้อมกับเปิดตัวพรีเซนเตอร์ “ตู่ ภพธร” ศิลปิน/นักแต่งเพลงและครอบครัว ร่วมสื่อสารถึงความสำคัญของการวางแผนชีวิตระยะยาวเพื่อครอบครัว พร้อมแต่งเพลงพิเศษ “ยิ่งอยู่นาน ยิ่งพิเศษ” เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกดีๆ ซึ่งสะท้อนภาพของ 2 องค์กรที่จับมือกันสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ดีๆ แก่สังคมไทย  พร้อมกันนี้ ตู่ ภพธร ยังได้ร่วมพูดคุยและแบ่งปันประสบการณ์ของการวางแผนชีวิตระยะยาวตั้งแต่เริ่มต้นทำงานจนปัจจุบันเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงให้แก่ตัวเองและครอบครัวอีกด้วย

 

“ประกันยิ่งอยู่นาน ยิ่งพิเศษ” เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันสะสมทรัพย์ระยะยาว ประกอบด้วย 3 ผลิตภัณฑ์เรือธง ได้แก่ ประกันทริปเปิ้ล เซเว่น (77/7) ประกันคุ้มครอง มั่งคั่ง 85/8 และ ประกันมรดก มั่งคั่ง 90/9 ที่ลูกค้าสามารถเลือกระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยได้ 3 ระยะเวลาคือ 7 ปี 8 ปี หรือ 9 ปี หรือแบ่งเงินซื้อได้ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ เพื่อรับเงินก้อนเมื่อปีกรมธรรม์ที่อายุ 77 ปี 85 ปี และ 90 ปี อีกทั้งยังได้รับเงินคืนรายปี ปีละ10% – 14% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยตามที่กรมธรรม์กำหนด สมัครง่ายไม่ต้องตรวจสุขภาพ ไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ ตอบโจทย์สังคมไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

พร้อมกันนี้ ลูกค้าที่ซื้อประกันภัยในกลุ่ม “ประกันยิ่งอยู่นาน ยิ่งพิเศษ” นี้ จะได้รับสิทธิพิเศษสุด 5 ต่อ****

ต่อที่ 1 : รับเงินคืน สูงสุดถึง 10% ของค่าเบี้ยประกันภัยปีแรกรายปี

ต่อที่ 2 : แบ่งชำระ 0% สูงสุด 10 เดือน เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิตไทยพาณิชย์/ บัตรเครดิตคาร์ดเอกซ์

ต่อที่ 3 : รับสิทธิพิเศษกับบริการ FWD MyWell, บริการพิเศษด้านสุขภาพแบบครบวงจร หลากหลายการดูแลที่ส่งเสริมสุขภาพของคุณและคนที่คุณรัก ด้วยการสร้างประสบการณ์พร้อมสิทธิประโยชน์ต่างๆ ก่อนการเคลม (Pre-Claim) นอกเหนือจากความคุ้มครองในกรมธรรม์

ต่อที่ 4 : ลุ้นรางวัล Hong Kong Disneyland package และอื่นๆ กว่า 160 รางวัล  

ต่อที่ 5 : รับบัตร Priority Pass อายุ 1 ปี (เมื่อชำระเบี้ยประกันภัยรายปีตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป) ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์แห่งการเดินทางทั่วโลกดั่งคนพิเศษ สามารถเข้าใช้บริการห้องรับรองของบัตร Priority Pass สำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ ณ สนามบินชั้นนำทั่วโลกกว่า 1,500 แห่ง ที่พร้อมให้บริการอาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งอำนวยความสะดวกที่คัดสรรมาเพื่อให้การเดินทางต่างประเทศของท่านสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นไม่จำกัดจำนวนครั้ง

สนใจติดต่อได้ที่ SCB ทุกสาขา หรือ เจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจ (RM) ของท่าน

 


Tags : FWDประกันชีวิต เอฟดับบลิวดีประกันชีวิต FWD เดวิดโครูนิช ปรมาศิริมโนลม้าย ธนาคารไทยพาณิชย์ SCB ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ระยะยาว ตู่ภพธร


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสินเปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังเผชิญแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกที่ชะลอจากนโยบายภาษีทางการค้าและการท่องเที่ยวที่หดตัว ทั้งยังต้องเผชิญปัญหาโครงสร้าง อาทิ ภาวะหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินในระบบ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs ประชาชนกลุ่มฐานราก และผู้ประกอบการรายย่อย ธนาคารออมสินจึงเดินหน้ายุทธศาสตร์การเป็นธนาคารเพื่อสังคม ภายใต้ 4 ภารกิจหลัก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินและสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ให้กับประชาชนกลุ่มฐานรากและผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะบทบาทการสนับสนุนภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ธนาคารพร้อมเป็นเครื่องยนต์ทางการเงินในการให้ความช่วยเหลือและประคับประคองผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจ ให้ฟื้นตัวและก้าวข้ามช่วงเวลาที่ท้าทาย ธนาคารออมสินตระหนักถึงข้อจำกัดที่ผู้ประกอบการ SMEs ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการขาดสภาพคล่อง เงินทุนหมุนเวียน หรือภาระดอกเบี้ยที่สูง ธนาคารจึงพร้อมทำหน้าที่เป็น “แหล่งทุนต่อยอด” เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง เติมทุน และฟื้นฟูกิจการอย่างยั่งยืน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อในระบบด้วยเงื่อนไขที่เป็นธรรมและต่อเนื่อง ที่ผ่านมา ธนาคารได้ดำเนินโครงการสินเชื่อสำคัญหลายโครงการ เช่น สินเชื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ GSB D-Home สร้างบ้านเพื่อคนไทย วงเงิน 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 3.50% ต่อปี อนุมัติแล้ว 6,000 ล้านบาท โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up Plus วงเงิน 100,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี อนุมัติแล้ว 98,700 ล้านบาท   รวมถึงมีโครงการใหม่ ทั้ง Soft Loan เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย และโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องประมง ระยะ 3 วงเงินโครงการ 2,000 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประกอบการประมงและสนับสนุนนโยบายรัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ล่าสุด เตรียมออก Soft Loan เพิ่มเติม วงเงินโครงการ 100,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.01% ต่อปี ให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการนำไปปล่อยต่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3.50% ต่อปี ใน 2 ปีแรก เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและพัฒนาศักยภาพธุรกิจไทยให้เข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกัน ธนาคารยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย รวมถึงผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินมาก่อน โดย ณ 30 มิถุนายน 2568 ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการปล่อยสินเชื่อผ่าน 3 ภารกิจสำคัญแบ่งเป็น การสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินผ่านนวัตกรรมสินเชื่อเพื่อสังคมกว่า 680,000 ราย การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ช่วยลูกหนี้ไม่ให้เสียประวัติทางการเงินกว่า 800,000 ราย และการพัฒนาศักยภาพชุมชนผ่านการสร้างอาชีพ และส่งเสริมการออม โดยมีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 250,000 ราย   ธนาคารจะยังเดินหน้าขยายผลสร้าง Social Impact อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ผ่าน 4 ภารกิจหลัก ควบคู่กับการบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI เข้ามาช่วยยกระดับการดำเนินงานและการให้บริการทางการเงิน ไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ “AI Optimized Loan Processing and Underwriting” ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอนุมัติสินเชื่ออย่างรวดเร็วและแม่นยำ ตลอดจนลดระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อและต้นทุนการดำเนินงาน และ “AI Chatbot for Branch” ผู้ช่วยพนักงานสาขาในการค้นหาข้อมูลอย่างสะดวก รวดเร็ว และช่วยเพิ่มความแม่นยำในการให้บริการมากขึ้น โดยจะเริ่มใช้งานในไตรมาส 4 ของปีนี้ ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับบริการทางการเงินให้ครบวงจร และเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน    

18 Sep 2025

...

เอไอเอ ประเทศไทย สานต่อโครงการ “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยได้รับความร่วมมืออย่างต่อเนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดรับสมัครโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการเพื่อชิงรางวัลรวมกว่า 2 ล้านบาท และมีโอกาสได้เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติ เพื่อชิงรางวัลอีกกว่า 3.5 ล้านบาท รวมมูลค่ารางวัลสูงสุดถึง 5.5 ล้านบาท ตอกย้ำถึงพันธกิจ AIA One Billion ของเอไอเอ ที่มุ่งสนับสนุนเยาวชนและผู้คนในภูมิภาคเอเชียกว่าหนึ่งพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โครงการแข่งขัน “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” เป็นโครงการที่กลุ่มบริษัทเอไอเอ และเอไอเอ ประเทศไทย ริเริ่มขึ้นเพื่อมุ่งเสริมสร้างและปลูกฝังพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพของนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 5 - 16 ปี โดยมุ่งเน้นใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1) การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 2) การใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉง 3) การมีสุขภาพใจที่ดี และ 4) การดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน โดยปีที่ผ่านมา โครงการฯ ได้รับเสียงตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากโรงเรียนทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการจำนวนมากกว่า 1,100 โรงเรียน และส่งผลงานเข้าประกวดถึง 130 โรงเรียน ซึ่งมีโรงเรียนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศทั้งสิ้น 27 โรงเรียน โดยโรงเรียนที่ชนะระดับประถมศึกษา ได้แก่ โรงเรียนบ้านจันทัย จังหวัดอุบลราชธานี และโรงเรียนที่ชนะระดับมัธยมศึกษา ได้แก่ โรงเรียนเทศบาล 1 กิตติขจร จังหวัดตาก ซึ่งยังสามารถคว้ารางวัล ชนะเลิศด้านการดูแลสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จากเวทีระดับภูมิภาค สำหรับโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่สนใจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” ปีที่ 4  และดาวน์โหลดสื่อการสอนได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ www.ahs.aia.com/th/th/ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 10 มีนาคม 2569  

16 Sep 2025

...

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank โดยนายเขมชาติ อภิรัชตานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ  พร้อมผู้บริหาร และพนักงานธนาคาร เป็นตัวแทนเข้ารับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2568  จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภทเปิดใจใกล้ชิดประชาชน ระดับดี จากโครงการ “Smart SME : นวัตกรรมเพื่อผู้ประกอบการ SMEs สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน”  จากการดำเนินงานโดดเด่นตลอดปี 2567 ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มาสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้เข้าถึงบริการ “พัฒนาคู่เติมทุน” ช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ผลักดันธุรกิจเติบโต สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และวางรากฐานสู่ความยั่งยืน  เช่น มีแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank  เติมเต็มความรู้ครบวงจรได้ตลอด 24 ชม.  มีกระบวนการรับฟังเสียง เช่น  VOCs , Chatbot , Social Listening และระบบการจัดการความรู้ (KM Platform) บน Microsoft SharePoint เพื่อจัดเก็บและเผยแพร่องค์ความรู้ภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการเสริมสร้างวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Culture) ให้เกิดขึ้นในทุกระดับขององค์กร ผ่านกิจกรรมส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และการสื่อสารอย่างเป็นระบบ พร้อมขับเคลื่อนองค์กรภายใต้หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) มุ่งเน้นความโปร่งใส การมีส่วนร่วม และความรับผิดชอบ   สำหรับรางวัลเลิศรัฐ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อมอบรางวัลให้กับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่มีความโดดเด่น ในการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการ การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมและการบริหารจัดการภาครัฐเพื่อให้ภาครัฐพัฒนาไปสู่ความทันสมัย สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อระบบราชการและส่งผลให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีและเกิดความเชื่อมั่นในระบบราชการ  โดยปีนี้ (2568) ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ กรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ เป็นประธานในพิธีและมอบรางวัล  อีกทั้ง นายไมตรี อินทุสุต ประธานคณะทำงานเสริมสร้างประสิทธิภาพการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ และผู้ทรงคุณวุฒิในคณะทำงานตรวจประเมินรางวัลเลิศรัฐ  สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นผู้ร่วมมอบรางวัล  จัด ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี    

12 Sep 2025

...

ธ.ก.ส. เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง-นาปี กว่า 4.63 ล้านครัวเรือน ได้แก่ โครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 โครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 กรอบวงเงินรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ รวมสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท โอนเงินรอบแรกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป วงเงินรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท เกษตรกรผู้รับประโยชน์กว่า 2.48 ล้านราย พร้อมจัดมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 ได้แก่ สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี    โดยรัฐบาลชำระดอกเบี้ยแทนเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร พร้อมสนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกอีก 1,500 บาทต่อตัน และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 สถาบันฯ ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลและ ธ.ก.ส. รับชำระดอกเบี้ยแทน ตั้งเป้ารองรับปริมาณข้าวเปลือกรวม 4.5 ล้านตัน นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ ลดค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกข้าว รวมถึงสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพของการผลิตข้าว ธ.ก.ส. พร้อมดำเนินงานตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 และที่ประชุมคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 โดยมี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เป็นประธานในที่ประชุม ได้เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริม การเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 จำนวนรวมกว่า 4.63 ล้านครัวเรือน โดยพร้อมสนับสนุนเงินช่วย/เหลือให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปีการผลิต 2568/69 ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับผู้ปลูกข้าวนาปรัง ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2568 จนถึง 31 ธันวาคม 2568 และสำหรับผู้ปลูกข้าวนาปี ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 19 สิงหาคม 2568 – 30 กันยายน 2569 ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบสถานะโอนเงินและจำนวนเงินที่ได้รับได้ทาง https://govtransfer.baac.or.th หรือ Line Official : @baacfamily   สำหรับการโอนเงินให้เกษตรกร ธ.ก.ส. ได้จัดทำแผนการโอนเงินให้แก่เกษตรกรรอบแรก ตามรายชื่อผู้ที่ขึ้นทะเบียนสำเร็จจากกรมส่งเสริมการเกษตร โดยจะเริ่มโอนเงินครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป กรอบวงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท เกษตรกรผู้รับประโยชน์กว่า 2.48 ล้านราย โดยมีรายละเอียดการโอนเงิน ดังนี้ สำหรับโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 ธ.ก.ส. จะดำเนินการโอนเงินไปยังเกษตรกรทั่วประเทศในวันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2568 จำนวนเกษตรกรผู้ได้รับประโยชน์ จำนวน 769,461 ราย  กรอบวงเงินกว่า 6,280 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 ธ.ก.ส. จะดำเนินการโอนเงินแบ่งเป็น 3 รอบตามภูมิภาค ได้แก่  รอบที่ 1 : วันอังคารที่ 2 กันยายน 2568 เกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 286,831 ราย  กรอบวงเงิน 2,459 ล้านบาท รอบที่ 2 : วันพุธที่ 3 กันยายน 2568 เกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 1,291,298 ราย กรอบวงเงิน 10,586 ล้านบาท และรอบที่ 3 : วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน 2568 เกษตรในภูมิภาคอื่น ๆ ที่เหลือ จำนวน 137,478 ราย กรอบวงเงิน 1,254 ล้านบาท ทั้งนี้ ส่วนที่เหลือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะดำเนินการตรวจสอบและยืนยันการผลิตข้าวจากเกษตรกร และหลังจากได้รับการยืนยัน จะดำเนินการส่งข้อมูลให้กับ ธ.ก.ส. เพื่อดำเนินการโอนเงินช่วยเหลือต่อไป   นอกจากนี้ ธ.ก.ส. พร้อมเติมทุนสนับสนุนผ่านมาตรการรักษาเสถียรภาพข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 กรอบวงเงินรวมกว่า 50,000 ล้านบาท ได้แก่ สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท เพื่อป้องกันผลผลิตข้าวเปลือกล้นตลาด รวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางจนกว่าจะถึงช่วงที่ขายได้ราคาดี โดยรัฐบาลชำระดอกเบี้ยแทนเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เกษตรกรกู้ได้รายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตรและชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งละไม่เกิน 300 ล้านบาท กลุ่มเกษตรกรแห่งละไม่เกิน 20 ล้านบาท และวิสาหกิจชุมชนแห่งละไม่เกิน 5 ล้านบาท เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรไม่ต้องชำระดอกเบี้ย เนื่องจากรัฐบาลรับภาระในการชำระดอกเบี้ยแทน ตั้งเป้าหมายรองรับปริมาณข้าวเปลือกจากท้องตลาด 3 ล้านตัน โดยมีประเภทข้าวเปลือกที่เข้าร่วมโครงการ ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิในเขต 23 จังหวัด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด และภาคเหนือ 3 จังหวัด (เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา)  ข้าวเปลือกหอมมะลินอกเขต 23 จังหวัด ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกปทุมธานีและข้าวเปลือกเหนียว นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกให้อีก 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรเก็บข้าวเองได้รับ 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรฝากข้าวกับสถาบันเกษตรกร เกษตรกรจะได้รับ 500 บาทต่อตัน และสถาบันฯ จะได้รับ 1,000 บาทต่อตัน โดยแจ้งความประสงค์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และทำสัญญาภายใน 28 กุมภาพันธ์ 2569 และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้สถาบันเกษตรกรในการรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกร หรือการนำผลผลิตมาแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อจำหน่ายในตลาด โดยสถาบันฯ ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลและ ธ.ก.ส. รับชำระดอกเบี้ยแทน ระยะเวลาดำเนินโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2569 และจ่ายเงินกู้ภายใน 30 กันยายน 2569 โดยทั้ง 2 โครงการ ตั้งเป้ารองรับปริมาณข้าวเปลือกรวม 4.5 ล้านตัน นอกจากนี้ สำหรับเกษตรกรรายย่อยที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล สามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ได้ตามปกติ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555  

04 Sep 2025

Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner