Responsive image

Tuesday, 09 Sep 2025

หน้าแรก > INSURANCE / ประกันภัย - ประกันชีวิต


ไทยพาณิชย์ - เอฟดับบลิวดี ฉลองความสำเร็จ 5 ปี จุดพลุประกันแห่งปี “ประกันยิ่งอยู่นาน ยิ่งพิเศษ” คุ้มเลือกได้ รับเงินคืนทุกปี

Tue 09/07/2567


ธนาคารไทยพาณิชย์ และเอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต ฉลองความสำเร็จ 5 ปี ในการเป็นพันธมิตรทางธุรกิจ ที่ร่วมมอบทางเลือกผลิตภัณฑ์ความคุ้มครองชีวิตและสุขภาพ ด้วยช่องทางที่เชื่อมถึงกันอย่างไร้รอยต่อ โดยมอบความคุ้มครองให้ลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ เดินหน้าสานต่อความร่วมมือเพื่ออนาคตที่มั่นคงทางสุขภาพการเงินของคนไทย จุดพลุ “ประกันยิ่งอยู่นาน ยิ่งพิเศษ” มอบทางเลือกประกันชีวิตสะสมทรัพย์ระยะยาว ให้ลูกค้าเลือกระยะเวลาชำระเบี้ย 7 ปี 8 ปี หรือ 9 ปี พร้อมรับเงินคืนทุกปี สมัครง่ายไม่ต้องตรวจสุขภาพ ไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ พิเศษกว่าที่เคยด้วย โปรโมชัน 5 ต่อ พร้อมทั้งดึง “ตู่ ภพธร สุนทรญาณกิจ” ศิลปิน-นักแต่งเพลงฟีล อบอุ่น นั่งแท่นพรีเซนเตอร์คนใหม่ ร่วมสื่อสารและตอกย้ำความตั้งใจของสององค์กรที่เดินหน้าสนับสนุนคนไทยวางแผนชีวิตระยะยาวด้วยประกันชีวิตสะสมทรัพย์ระยะยาว

 

นางสาวปรมาศิริ มโนลม้าย รองผู้จัดการใหญ่อาวุโส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มธุรกิจประกัน ธนาคารไทยพาณิชย์ กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2019 ธนาคารไทยพาณิชย์ และบริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) (“เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต”) ประกาศความร่วมมือด้านประกันภัยที่มีมูลค่าสูงสุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยวิสัยทัศน์ร่วมกันที่ส่งมอบความคุ้มครองและความยั่งยืนในด้านการเงินและด้านสุขภาพของคนไทยผ่านช่องทางธนาคารไทยพาณิชย์ที่ครอบคลุมความต้องการของลูกค้าในยุคดิจิทัลให้วงการประกันชีวิต และความมุ่งหวังให้คนไทยมีโอกาสเข้าถึงประกันที่ดีมีมาตรฐานระดับโลก ผ่านนวัตกรรมประกันที่สร้างปรากฏการณ์ให้แก่วงการประกันอย่างต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา โดยไทยพาณิชย์ครองตำแหน่งผู้นำตลาดประกันผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านธนาคาร หรือ แบงก์แอสชัวรันส์ (Bancassurance) ต่อเนื่อง และในช่วงสี่เดือนแรก ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงเมษายน ปี 2567 ธนาคารมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับที่ 1*

 

“ตลอดระยะเวลา 5 ปี เราได้มีโอกาสดูแลการเจ็บป่วยให้กับลูกค้า ส่งมอบเงินมรดกให้ทายาท รวมทั้งส่งมอบความมั่นคงในชีวิตในรูปแบบเงินคืน รวมเป็นผลประโยชน์ ทั้งสิ้นกว่า 86,888 ล้านบาท** นับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของธนาคารไทยพาณิชย์ที่ได้มีส่วนช่วยแบ่งเบาผลกระทบในด้านค่าใช้จ่ายในกรณีที่ไม่คาดฝันให้กับคนไทยจำนวนมาก เหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงประโยชน์จากการช่วยลูกค้าวางแผนชีวิตและสุขภาพ และเนื่องจากการที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัย คนไทยมีอายุเฉลี่ยยืนยาวขึ้น ธนาคารเล็งเห็นความสำคัญในการสนับสนุนให้คนไทยวางแผนระยะยาว จึงได้ร่วมกับเอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต มอบทางเลือกประกันสะสมทรัพย์ระยะยาว ด้วยจุดเด่น ชำระเบี้ยฯในระยะสั้น เพื่อสร้างความคุ้มครองชีวิตยาวตลอดชีพ และยังให้ผลตอบแทนกลับคืนในรูปของเงินคืนทุกปี เพื่อเป็นหลักประกันที่มั่นคงให้แก่ตัวเองและคนข้างหลัง” นางสาวปรมาศิริ กล่าว

 

นายเดวิด โครูนิช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ประจำประเทศไทยและกัมพูชา บริษัท เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “นับตั้งแต่เอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต ร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ในปี 2019 จนถึงวันนี้เป็นเวลา 5 ปี แล้ว เรารู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสเป็นพันธมิตรทางธุรกิจร่วมกันขยายการเติบโตธุรกิจประกันชีวิต จนประสบความสำเร็จสามารถครองตำแหน่งผู้นำธุรกิจประกันชีวิตอันดับ 1 ในช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านธนาคารมาอย่างต่อเนื่อง โดยปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ที่ 28.68%*** ด้วยแนวคิดการทำงานที่ยึดความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก (Customer-led) เราทำการศึกษาข้อมูลเชิงลึก เพื่อออกแบบนวัตกรรมผลิตภัณฑ์และบริการของเอฟดับบลิวดี ให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า ครอบคลุมลูกค้าทุกกลุ่ม ทุกไลฟ์สไตล์และช่วงชีวิต”

“เรายังคงมุ่งมั่นและให้ความสำคัญในการออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองหลากหลาย เพื่อเป็นทางเลือกและเป็นเครื่องมือที่ช่วยบริหารความเสี่ยงและวางแผนทางการเงินให้แก่ลูกค้า พร้อมสร้างความมั่นคงทางการเงินในอนาคตให้แก่ตัวเองและครอบครัว เนื่องในโอกาสพิเศษฉลองความสำเร็จครบรอบ 5 ปี เราได้ร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ ออกแบบประกันสะสมทรัพย์ระยะยาว การันตีผลตอบแทนที่แน่นอนในทุกสภาวะเศรษฐกิจ  ซึ่งเป็นแผนประกันที่เหมาะสำหรับกลุ่มคนวัยทำงานที่ต้องการเริ่มออมเงินเพื่อสร้างความมั่นคงในระยะยาว ช่วยรองรับแผนค่าใช้จ่ายรายปีในอนาคต รวมทั้งเป็นการวางแผนเงินก้อนหลังเกษียณ หรือวางแผนออมเงินเป็นมรดกให้กับคนที่รัก ซึ่งนับเป็นความคุ้มค่าที่ช่วยเติมเต็มรอยยิ้มและความสุขให้ทุกคนในครอบครัว ด้วยผลประโยชน์ตลอดเส้นทางในทุกช่วงเวลาของชีวิต สะท้อนเจตนารมณ์ของเอฟดับบลิวดี ประกันชีวิตที่ต้องการสนับสนุนให้ทุกคนได้ใช้ชีวิตในแบบที่ชอบได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวล เพราะมีประกันเอฟดับบลิวดี ดูแลให้” นายเดวิด กล่าว

 

ในโอกาสที่ธนาคารไทยพาณิชย์และเอฟดับบลิวดี ประกันชีวิต เฉลิมฉลองความสำเร็จในการร่วมมือกันมอบสิ่งดีๆ ให้แก่อุตสาหกรรมประกันตลอด 5 ปี จึงได้เปิดตัว “ประกันยิ่งอยู่นาน ยิ่งพิเศษ” พร้อมกับเปิดตัวพรีเซนเตอร์ “ตู่ ภพธร” ศิลปิน/นักแต่งเพลงและครอบครัว ร่วมสื่อสารถึงความสำคัญของการวางแผนชีวิตระยะยาวเพื่อครอบครัว พร้อมแต่งเพลงพิเศษ “ยิ่งอยู่นาน ยิ่งพิเศษ” เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกดีๆ ซึ่งสะท้อนภาพของ 2 องค์กรที่จับมือกันสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ดีๆ แก่สังคมไทย  พร้อมกันนี้ ตู่ ภพธร ยังได้ร่วมพูดคุยและแบ่งปันประสบการณ์ของการวางแผนชีวิตระยะยาวตั้งแต่เริ่มต้นทำงานจนปัจจุบันเพื่อสร้างอนาคตที่มั่นคงให้แก่ตัวเองและครอบครัวอีกด้วย

 

“ประกันยิ่งอยู่นาน ยิ่งพิเศษ” เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์ประกันสะสมทรัพย์ระยะยาว ประกอบด้วย 3 ผลิตภัณฑ์เรือธง ได้แก่ ประกันทริปเปิ้ล เซเว่น (77/7) ประกันคุ้มครอง มั่งคั่ง 85/8 และ ประกันมรดก มั่งคั่ง 90/9 ที่ลูกค้าสามารถเลือกระยะเวลาชำระเบี้ยประกันภัยได้ 3 ระยะเวลาคือ 7 ปี 8 ปี หรือ 9 ปี หรือแบ่งเงินซื้อได้ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ เพื่อรับเงินก้อนเมื่อปีกรมธรรม์ที่อายุ 77 ปี 85 ปี และ 90 ปี อีกทั้งยังได้รับเงินคืนรายปี ปีละ10% – 14% ของจำนวนเงินเอาประกันภัยตามที่กรมธรรม์กำหนด สมัครง่ายไม่ต้องตรวจสุขภาพ ไม่ต้องตอบคำถามสุขภาพ ตอบโจทย์สังคมไทยที่เข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ

พร้อมกันนี้ ลูกค้าที่ซื้อประกันภัยในกลุ่ม “ประกันยิ่งอยู่นาน ยิ่งพิเศษ” นี้ จะได้รับสิทธิพิเศษสุด 5 ต่อ****

ต่อที่ 1 : รับเงินคืน สูงสุดถึง 10% ของค่าเบี้ยประกันภัยปีแรกรายปี

ต่อที่ 2 : แบ่งชำระ 0% สูงสุด 10 เดือน เมื่อชำระด้วยบัตรเครดิตไทยพาณิชย์/ บัตรเครดิตคาร์ดเอกซ์

ต่อที่ 3 : รับสิทธิพิเศษกับบริการ FWD MyWell, บริการพิเศษด้านสุขภาพแบบครบวงจร หลากหลายการดูแลที่ส่งเสริมสุขภาพของคุณและคนที่คุณรัก ด้วยการสร้างประสบการณ์พร้อมสิทธิประโยชน์ต่างๆ ก่อนการเคลม (Pre-Claim) นอกเหนือจากความคุ้มครองในกรมธรรม์

ต่อที่ 4 : ลุ้นรางวัล Hong Kong Disneyland package และอื่นๆ กว่า 160 รางวัล  

ต่อที่ 5 : รับบัตร Priority Pass อายุ 1 ปี (เมื่อชำระเบี้ยประกันภัยรายปีตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป) ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์แห่งการเดินทางทั่วโลกดั่งคนพิเศษ สามารถเข้าใช้บริการห้องรับรองของบัตร Priority Pass สำหรับการเดินทางระหว่างประเทศ ณ สนามบินชั้นนำทั่วโลกกว่า 1,500 แห่ง ที่พร้อมให้บริการอาหาร เครื่องดื่ม และสิ่งอำนวยความสะดวกที่คัดสรรมาเพื่อให้การเดินทางต่างประเทศของท่านสมบูรณ์แบบยิ่งขึ้นไม่จำกัดจำนวนครั้ง

สนใจติดต่อได้ที่ SCB ทุกสาขา หรือ เจ้าหน้าที่พัฒนาธุรกิจ (RM) ของท่าน

 


Tags : FWDประกันชีวิต เอฟดับบลิวดีประกันชีวิต FWD เดวิดโครูนิช ปรมาศิริมโนลม้าย ธนาคารไทยพาณิชย์ SCB ประกันชีวิตสะสมทรัพย์ระยะยาว ตู่ภพธร


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

ธ.ก.ส. เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง-นาปี กว่า 4.63 ล้านครัวเรือน ได้แก่ โครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 โครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 กรอบวงเงินรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ รวมสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท โอนเงินรอบแรกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป วงเงินรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท เกษตรกรผู้รับประโยชน์กว่า 2.48 ล้านราย พร้อมจัดมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 ได้แก่ สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี    โดยรัฐบาลชำระดอกเบี้ยแทนเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร พร้อมสนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกอีก 1,500 บาทต่อตัน และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 สถาบันฯ ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลและ ธ.ก.ส. รับชำระดอกเบี้ยแทน ตั้งเป้ารองรับปริมาณข้าวเปลือกรวม 4.5 ล้านตัน นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ ลดค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกข้าว รวมถึงสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพของการผลิตข้าว ธ.ก.ส. พร้อมดำเนินงานตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 และที่ประชุมคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 โดยมี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เป็นประธานในที่ประชุม ได้เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริม การเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 จำนวนรวมกว่า 4.63 ล้านครัวเรือน โดยพร้อมสนับสนุนเงินช่วย/เหลือให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปีการผลิต 2568/69 ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับผู้ปลูกข้าวนาปรัง ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2568 จนถึง 31 ธันวาคม 2568 และสำหรับผู้ปลูกข้าวนาปี ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 19 สิงหาคม 2568 – 30 กันยายน 2569 ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบสถานะโอนเงินและจำนวนเงินที่ได้รับได้ทาง https://govtransfer.baac.or.th หรือ Line Official : @baacfamily   สำหรับการโอนเงินให้เกษตรกร ธ.ก.ส. ได้จัดทำแผนการโอนเงินให้แก่เกษตรกรรอบแรก ตามรายชื่อผู้ที่ขึ้นทะเบียนสำเร็จจากกรมส่งเสริมการเกษตร โดยจะเริ่มโอนเงินครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป กรอบวงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท เกษตรกรผู้รับประโยชน์กว่า 2.48 ล้านราย โดยมีรายละเอียดการโอนเงิน ดังนี้ สำหรับโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 ธ.ก.ส. จะดำเนินการโอนเงินไปยังเกษตรกรทั่วประเทศในวันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2568 จำนวนเกษตรกรผู้ได้รับประโยชน์ จำนวน 769,461 ราย  กรอบวงเงินกว่า 6,280 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 ธ.ก.ส. จะดำเนินการโอนเงินแบ่งเป็น 3 รอบตามภูมิภาค ได้แก่  รอบที่ 1 : วันอังคารที่ 2 กันยายน 2568 เกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 286,831 ราย  กรอบวงเงิน 2,459 ล้านบาท รอบที่ 2 : วันพุธที่ 3 กันยายน 2568 เกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 1,291,298 ราย กรอบวงเงิน 10,586 ล้านบาท และรอบที่ 3 : วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน 2568 เกษตรในภูมิภาคอื่น ๆ ที่เหลือ จำนวน 137,478 ราย กรอบวงเงิน 1,254 ล้านบาท ทั้งนี้ ส่วนที่เหลือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะดำเนินการตรวจสอบและยืนยันการผลิตข้าวจากเกษตรกร และหลังจากได้รับการยืนยัน จะดำเนินการส่งข้อมูลให้กับ ธ.ก.ส. เพื่อดำเนินการโอนเงินช่วยเหลือต่อไป   นอกจากนี้ ธ.ก.ส. พร้อมเติมทุนสนับสนุนผ่านมาตรการรักษาเสถียรภาพข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 กรอบวงเงินรวมกว่า 50,000 ล้านบาท ได้แก่ สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท เพื่อป้องกันผลผลิตข้าวเปลือกล้นตลาด รวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางจนกว่าจะถึงช่วงที่ขายได้ราคาดี โดยรัฐบาลชำระดอกเบี้ยแทนเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เกษตรกรกู้ได้รายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตรและชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งละไม่เกิน 300 ล้านบาท กลุ่มเกษตรกรแห่งละไม่เกิน 20 ล้านบาท และวิสาหกิจชุมชนแห่งละไม่เกิน 5 ล้านบาท เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรไม่ต้องชำระดอกเบี้ย เนื่องจากรัฐบาลรับภาระในการชำระดอกเบี้ยแทน ตั้งเป้าหมายรองรับปริมาณข้าวเปลือกจากท้องตลาด 3 ล้านตัน โดยมีประเภทข้าวเปลือกที่เข้าร่วมโครงการ ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิในเขต 23 จังหวัด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด และภาคเหนือ 3 จังหวัด (เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา)  ข้าวเปลือกหอมมะลินอกเขต 23 จังหวัด ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกปทุมธานีและข้าวเปลือกเหนียว นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกให้อีก 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรเก็บข้าวเองได้รับ 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรฝากข้าวกับสถาบันเกษตรกร เกษตรกรจะได้รับ 500 บาทต่อตัน และสถาบันฯ จะได้รับ 1,000 บาทต่อตัน โดยแจ้งความประสงค์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และทำสัญญาภายใน 28 กุมภาพันธ์ 2569 และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้สถาบันเกษตรกรในการรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกร หรือการนำผลผลิตมาแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อจำหน่ายในตลาด โดยสถาบันฯ ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลและ ธ.ก.ส. รับชำระดอกเบี้ยแทน ระยะเวลาดำเนินโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2569 และจ่ายเงินกู้ภายใน 30 กันยายน 2569 โดยทั้ง 2 โครงการ ตั้งเป้ารองรับปริมาณข้าวเปลือกรวม 4.5 ล้านตัน นอกจากนี้ สำหรับเกษตรกรรายย่อยที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล สามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ได้ตามปกติ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555  

04 Sep 2025

...

เอไอเอ ประเทศไทย เปิดตัววิดีโอโฆษณา “AIA Financial Advisor” ชุดใหม่ล่าสุด มุ่งขับเคลื่อนเป้าหมายในการสร้างคนรุ่นใหม่ที่กำลังมองหาอาชีพที่ให้อิสระด้านเวลา รายได้ และการเติบโต พร้อมกับการมอบโอกาสและสร้างการรับรู้เกี่ยวกับอาชีพ “ที่ปรึกษาด้านประกันชีวิต การเงิน และสุขภาพ หรือ AIA Financial Advisor (AIA FA)” ให้แก่คนรุ่นใหม่ ซึ่งปัจจุบันนับเป็นอาชีพที่อยู่ในความสนใจของหลายคน ผ่านวิดีโอโฆษณาทั้ง 4 เวอร์ชั่น ที่สร้างสรรค์ขึ้นภายใต้คอนเซปท์ “เปลี่ยนความโป๊ะให้เป็นความเป๊ะ” ถ่ายทอดเรื่องราวในมุมมองชีวิตจริงของคนยุคดิจิทัล ที่ชอบแชร์หรือโพสต์ Lifestyle บนโลกโซเชียล และอยากที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ชีวิตจริงกลับตรงกันข้าม ด้วยความเข้าใจในความต้องการของคนรุ่นใหม่อย่างแท้จริง เอไอเอ จึงอยากชวนทุกคนมาสร้างอนาคตที่มั่นคงกับอาชีพ AIA FA เพื่อเปลี่ยนให้ความฝันเป็นความจริง ซึ่งยังเป็นการตอกย้ำถึงความเป็นผู้นำในธุรกิจและวิสัยทัศน์ที่ก้าวไปข้างหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของเอไอเอ ด้วยความพร้อมยกระดับตัวแทนสู่การเป็นที่ปรึกษาด้านประกันชีวิต การเงิน และสุขภาพ (AIA FA) มืออาชีพ เพื่อส่งมอบความคุ้มครองและช่วยคนไทยวางแผนชีวิต สุขภาพ และการเงินให้มั่นคงและมั่งคั่งอย่างยั่งยืน ตามคำมั่นสัญญา “Healthier, Longer, Better Lives – เพื่อสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น”   นางอลิสา สิมะโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายตัวแทนประกันชีวิต เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “โครงการ AIA FA ไม่ได้เป็นเพียงอาชีพที่ให้รายได้ แต่เป็นอาชีพที่ให้โอกาสในการสร้างชีวิตที่เลือกได้ด้วยตัวเอง ด้วยโครงสร้างผลประโยชน์รายได้ที่ชัดเจน มีแผนรับรองรายได้ 12 เดือน มีโบนัส CAB ทำงาน 5 ปี 5 ล้านบาท* ไม่มีเพดานรายได้ และมีรูปแบบการทำงานที่ยืดหยุ่น ทำให้สามารถจัดสรรเวลาตัวเองได้ พร้อมกับมีเครื่องมือดิจิทัลเฉพาะของเอไอเอที่รองรับการทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา เหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่ให้คุณค่าในเรื่องการใช้ชีวิตควบคู่ไปกับอิสระด้านรายได้และความมั่นคงในชีวิต อีกทั้งอาชีพนี้ยังตอบโจทย์ความต้องการคนรุ่นใหม่ที่อยากประสบความสำเร็จเร็ว หรืออยากมีธุรกิจของตัวเอง โดยสามาถเติบโตเป็นผู้บริหารหน่วยได้เร็วตามความสามารถ หรือเป็นเจ้าของสำนักงานตัวแทนซึ่งเปรียบเสมือนการมีธุรกิจเป็นของตัวเอง” นางอลิสา เสริมถึงความพร้อมในการพัฒนาตัวแทนว่า “เอไอเอ เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาที่ปรึกษามืออาชีพ โดยเริ่มจัดตั้งโครงการ AIA FA ตั้งแต่ปี 2551 ซึ่งถือว่าเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งแรก ๆ ในตลาดประเทศไทย อีกทั้งยังมีการเปิดศูนย์ฝึกอบรม AIA FA Center กว่า 15 แห่งทั่วประเทศ ซึ่งชี้ให้เห็นถึงความพร้อมในการรองรับและพัฒนา AIA FA ให้ประสบความสำเร็จในอาชีพ ด้วยประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในการพัฒนาหลักสูตรฝึกอบรมมานานกว่า 16 ปีของเอไอเอ โดยมีทั้งหลักสูตรที่ได้รับรองโดยสถาบันชั้นนำระดับโลก หรือการร่วมกับมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ในการพัฒนาหลักสูตรพิเศษด้านการเงิน (สำหรับ FA Prime) หลักสูตรฝึกอบรมเหล่านี้จะช่วยพัฒนาและเสริมทักษะให้ AIA FA เป็นที่ปรึกษามืออาชีพ มีความรู้ครอบคลุมทั้งมิติด้านการวางแผนประกันชีวิตและด้านการเงิน ยิ่งไปกว่านั้น เรามีการนำเทคโลยีทันสมัยอย่าง AI เข้ามาใช้ในการคัดกรอง วิเคราะจุดอ่อนจุดแข็ง และพัฒนาศักยภาพตัวแทนด้วยวิธี Role Play เป็นลูกค้าเสมือนเพื่อให้ตัวแทนได้ฝึกสนทนากับลูกค้า ซึ่งจะช่วยสร้างความมั่นใจและยกระดับตัวแทนคุณภาพที่สามารถส่งมอบความคุ้มครองให้คนไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมตอบสนองต่อความต้องการที่หลากหลายของลูกค้าในทุกช่วงชีวิต” สำหรับโครงการ AIA FA เปิดรับคนรุ่นใหม่ที่มี วุฒิปริญญาตรีสาขาใดก็ได้ และมองหาอาชีพที่ให้อิสระในการบริหารจัดการเวลาได้ด้วยตัวเอง สามารถสร้างรายได้แบบไร้เพดาน พร้อมโอกาสเติบโตอย่างมืออาชีพ อีกทั้งยังได้ทำงานพร้อมสร้างสมดุลให้กับชีวิต และมีเวลาสำหรับครอบครัว หรือ Passion ของตัวเอง ที่สำคัญโครงการ AIA FA ยังให้ผลตอบแทนพิเศษกับแคมเปญ “โบนัส 5 ปี 5 ล้าน” เพื่อเป็นเป้าหมายความสำเร็จของผู้เข้าร่วมโครงการฯ โดยเอไอเอ อยากเชิญชวนคนรุ่นใหม่ที่สนใจ รับชมวิดีโอโฆษณาเพื่อสร้างแรงบันดาลใจได้ผ่านช่องทางออนไลน์ของเอไอเอ ทั้ง Facebook, Instagram, YouTube, TikTok และสื่อประชาสัมพันธ์ทั่วประเทศ หรือคลิกลิงก์ https://youtu.be/Ky66staK19Q ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมหรือสมัครเข้าร่วมโครงการ AIA FA ได้ทางเว็บไซต์ www.aia.co.th/FA

03 Sep 2025

...

  สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้ออกคำสั่งนายทะเบียนที่ 51/2568  ลงวันที่ 26 สิงหาคม 2568 เรื่อง ให้แก้ไขแบบ ข้อความ ของกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ และพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า โดยกำหนดให้ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้งของกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ จากเดิม 5 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท เป็น 20 ล้านบาท และปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้ง ของกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ให้มีจำนวนเงินขั้นต่ำไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท เพื่อรองรับกรณีเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่ที่มีผู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงบ่อยครั้ง โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป นายไพบูลย์ เปี่ยมเมตตา ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย และประธาน คณะทำงานแนวทางพัฒนาการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย กล่าวเพิ่มเติมว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ประเทศไทยเกิดอุบัติเหตุรายใหญ่บ่อยครั้ง ส่งผลให้จำนวนเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้งของกรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ ซึ่งกำหนดไว้เพียง 5 ล้านบาท และ 10 ล้านบาท ต่ออุบัติเหตุแต่ละครั้ง รวมถึงกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ และกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ไฟฟ้า ที่ส่วนใหญ่กำหนดวงเงินความคุ้มครองความรับผิดต่อชีวิต ร่างกาย และอนามัยของบุคคลภายนอกไว้ที่ 10 ล้านบาทต่อครั้ง ไม่เพียงพอต่อการชดใช้  ค่าสินไหมทดแทนตามจำนวนเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อคน ที่กำหนดไว้ 500,000 บาท ดังนั้น สำนักงาน คปภ. โดยสายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย จึงได้นำประเด็นดังกล่าวเข้าสู่การพิจารณาของคณะทำงานแนวทางพัฒนาการจัดทำกรมธรรม์ประกันภัยสำหรับรถยนต์ไฟฟ้าและพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้ง  สำหรับการประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) เป็น 20 ล้านบาท โดยไม่มีการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัย และให้ปรับเพิ่มวงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำต่อครั้ง สำหรับการประกันภัยรถยนต์ ภาคสมัครใจ เป็น 20 ล้านบาท โดยให้ใช้อัตราเบี้ยประกันภัยเดิมที่กำหนดไว้ในพิกัดอัตราเบี้ยประกันภัย เพื่อให้ประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุรายใหญ่ ที่มีจำนวนผู้เสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิงเกิน 20 รายขึ้นไป มีโอกาสได้รับค่าสินไหมทดแทน  เต็มจำนวนเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อคนที่กำหนดไว้ในกรมธรรม์ประกันภัย โดยสาระสำคัญของคำสั่งนายทะเบียนมี ดังนี้ 1. ประกันภัยรถภาคบังคับ (พ.ร.บ.) กำหนดวงเงินความคุ้มครองสูงสุดต่อครั้งเป็น 20 ล้านบาท สำหรับทุกประเภทรถ โดยไม่เพิ่มเบี้ยประกันภัย และให้มีผลบังคับใช้ทันทีกับทุกกรมธรรม์ ทั้งกรมธรรม์ที่ยังมีผลคุ้มครองและกรมธรรม์ที่ทำสัญญาใหม่ โดยกำหนดให้  บริษัทประกันวินาศภัยต้องใช้แบบและข้อความกรมธรรม์ประกันภัยให้เป็นไปตามคำสั่งนายทะเบียน ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป 2. ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจ กำหนดวงเงินความคุ้มครองขั้นต่ำต่อครั้งในหมวดความรับผิดชอบต่อบุคคลภายนอก กรณีเสียชีวิตหรือทุพพลภาพถาวรสิ้นเชิง ไม่น้อยกว่า 20 ล้านบาท สำหรับทุกประเภทรถ โดยให้เริ่มมีผลใช้บังคับกับกรมธรรม์ใหม่ ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2569 เป็นต้นไป “แม้ว่าเมื่อปี 2563 สำนักงาน คปภ. ได้ปรับเพิ่มจำนวนเงินความคุ้มครองตามกรมธรรม์ประกันภัยรถภาคบังคับในส่วนของการคุ้มครองต่อคนจาก 300,000 บาท เป็น 500,000 บาท แต่ยังคงวงเงินความรับผิดสูงสุดต่อครั้งไม่เกิน 5 ล้านบาทสำหรับรถยนต์นั่งไม่เกิน 7 ที่นั่ง และไม่เกิน 10 ล้านบาทสำหรับรถยนต์นั่งเกิน 7 ที่นั่ง ขณะที่กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ภาคสมัครใจได้มีการปรับเพิ่มจำนวนเงินคุ้มครองขั้นต่ำเป็น 500,000 บาทต่อคน แต่ส่วนใหญ่ยังคงกำหนดวงเงินสูงสุดต่อครั้งไว้ที่ 10 ล้านบาท การออกคำสั่งนายทะเบียนในครั้งนี้ จึงนับเป็นการยกระดับความคุ้มครองให้สอดคล้องกับความเป็นจริงและเพียงพอต่อการดูแลผู้ประสบภัยอย่างมีประสิทธิภาพ โดยไม่เป็นภาระเพิ่มขึ้นต่อผู้เอาประกันภัย เนื่องจากไม่มีการปรับเพิ่มเบี้ยประกันภัยแต่อย่างใด”  ผู้ช่วยเลขาธิการ สายกำกับผลิตภัณฑ์ประกันภัย กล่าวในตอนท้าย

31 Aug 2025

...

นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เป็นประธานในพิธีเปิดการใช้งาน “Go Live โครงการพัฒนา Data Analytics โดยใช้ระบบ Virtual Audit” เพื่อยกระดับกระบวนการตรวจสอบภายในให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการให้ความเชื่อมั่นของการปฏิบัติงาน โดยตรวจสอบความผิดปกติของข้อมูลการดำเนินงานได้อย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง (Continuous Audit) พร้อมทั้งการแจ้งเตือนความผิดปกติให้กับส่วนงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อแก้ไขและป้องกันการเกิดความผิดปกติซ้ำได้ นับเป็น  อีกก้าวสำคัญของ ธ.ก.ส. ในการยกระดับการตรวจสอบภายในโดยใช้ระบบ Virtual Audit ครั้งนี้จะเป็นรากฐานสำคัญในการเพิ่มขีดความสามารถของธนาคารเสริมสร้างความเชื่อมั่นขององค์กรต่อไป โดยมีคณะผู้บริหาร พนักงานและส่วนงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมกิจกรรม ณ ห้องโถง ชั้น 2 อาคารทาวเวอร์ ธ.ก.ส. สำนักงานใหญ่ เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568    

31 Aug 2025

Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner