Responsive image

Tuesday, 15 Jul 2025

หน้าแรก > INSURANCE / ประกันภัย - ประกันชีวิต


บอร์ด คปภ. เห็นชอบปรับหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย

Tue 01/09/2563


บอร์ด คปภ. เห็นชอบปรับหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของภาคอุตสาหกรรมประกันภัย และช่วยยกระดับความเชื่อมั่นของประชาชนต่อระบบประกันภัยไทย

            ดร. สุทธิพล ทวีชัยการ เลขาธิการคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (บอร์ด คปภ.) ครั้งที่ 9/2563 เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2563 มีมติเห็นชอบหลักการร่างประกาศ คปภ. เรื่อง กำหนดประเภทและชนิดของเงินกองทุน รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณเงินกองทุนของบริษัทประกันชีวิต/วินาศภัย (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2563 ตามที่สำนักงาน คปภ. เสนอ เพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงด้านการตลาดจากราคาตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการกำหนดค่าสหสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และความเสี่ยงด้านประกันภัย

           เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า สืบเนื่องจากภาวะอัตราดอกเบี้ยต่ำ และสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง สำนักงาน คปภ. จึงได้ประชุมร่วมกับสมาคมประกันชีวิตไทย และสมาคมประกันวินาศภัยไทย เพื่อหารือมาตรการเยียวยาผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ซึ่งยังไม่แน่ชัดว่าจะยืดเยื้ออีกนานเท่าไร โดยที่ประชุมเสนอให้มีการทบทวนหลักเกณฑ์การดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง ใน 2 ประเด็น คือ 1. การคำนวนเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงด้านการตลาดจากราคาตราสารทุน ในกรณีที่บริษัทมีการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง
(hedging instruments) เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการผันผวนของมูลค่าพอร์ตการลงทุนในตราสารทุนที่บริษัทมีอยู่ เนื่องจากประกาศ คปภ. เรื่อง กำหนดประเภทและชนิดของเงินกองทุน รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขในการคำนวณเงินกองทุนของบริษัทประกันชีวิต/ประกันวินาศภัย พ.ศ. 2562 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน กำหนดให้เงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงด้านตลาดจากราคาตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เท่ากับผลคูณระหว่างมูลค่าตราสารทุน (Total Exposure) กับค่าความเสี่ยง 25% โดยไม่มีการรับรู้ผลจากการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยง และ 2. การพิจารณาความสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และความเสี่ยงด้านประกันภัย เพื่อปรับ diversification factor ในการจัดทำรายงานการดำรงเงินกองทุน เนื่องจาก diversification factor ที่ใช้ในปัจจุบัน กำหนดโดยใช้ดุลพินิจบนพื้นฐานของความระมัดระวัง (conservative) เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลประกอบการคำนวณค่าสหสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และความเสี่ยงด้านประกันภัยจากภาคธุรกิจ

            อย่างไรก็ดี จากสภาวะเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ทำให้ตลาดทุนมีความผันผวน อาจทำให้บริษัทประกันภัยเกิดผลขาดทุนจากการลงทุน หากบริษัทไม่สามารถใช้เครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันภัย ดังนั้น เพื่อส่งเสริมให้บริษัทใช้เครื่องมือในการป้องกันความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม สำนักงาน คปภ. จึงได้ศึกษาแนวทางดำเนินการพิจารณาทบทวนเพื่อปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยง โดยพิจารณาด้วยความรอบคอบ ภายใต้หลักการเงินกองทุนที่บริษัทดำรงไว้ต้องสะท้อนความเสี่ยงอย่างเหมาะสม มีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การกำกับเงินกองทุนในระดับสากลและเหมาะสมกับบริบทของประเทศไทย โดยปรับปรุงสูตรการคำนวณเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงด้านการตลาดจากราคาตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ที่ใช้ในปัจจุบัน เป็น  (Net exposure x 25%) + Over-hedged position เพื่อให้เงินกองทุนที่คำนวณได้สะท้อนถึงผลจากการใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงจากการลงทุนในตราสารทุน และส่งเสริมให้บริษัทนำเครื่องมือป้องกันความเสี่ยงมาใช้บริหารความเสี่ยงด้านตลาด เพื่อรองรับความผันผวนที่อาจเกิดขึ้นในตลาดการเงินภายใต้สถานการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน

          รวมถึงปรับปรุงค่าสหสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และความเสี่ยงด้านประกันภัยที่ร้อยละ 25 โดยเปรียบเทียบแนวทางการดำเนินงานจากประเทศต่าง ๆ อาทิ สหภาพยุโรป สิงค์โปร ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น และให้สอดคล้องกับผลการคำนวณค่าสหสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และความเสี่ยงด้านประกันภัยของธุรกิจในประเทศ โดยกำหนดให้สำนักงาน คปภ. พิจารณาทบทวนการกำหนดค่าสหสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และความเสี่ยงด้านประกันภัยภายในระยะเวลา 6 เดือน หลังจากที่ประกาศมีผลใช้บังคับ นอกจากนี้ สำนักงาน คปภ. ยังได้ให้บริษัทประกันภัยมีการทดสอบผลกระทบเชิงปริมาณตามหลักเกณฑ์ใหม่ เพื่อให้ทราบถึงผลกระทบต่อภาคธุรกิจ โดยผลการทดสอบพบว่า หากบริษัทมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม จะส่งผลให้มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (CAR) ที่ดีขึ้น

          ทั้งนี้ ที่ประชุมบอร์ด คปภ. มีมติเห็นชอบการปรับปรุงหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงด้านตลาดจากราคาตราสารทุนที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และการปรับปรุงค่าสหสัมพันธ์ระหว่างความเสี่ยงด้านสินทรัพย์และความเสี่ยงด้านประกันภัย ตามหลักเกณฑ์ใหม่ ที่สำนักงาน คปภ.นำเสนอ ซึ่งขั้นตอนต่อจากนี้จะเป็นการเปิดรับฟังความคิดเห็นทั้งทาง website คือ www.oic.or.th รวมทั้งจะมีหนังสือขอรับฟังความคิดเห็นจากผู้สอบบัญชีบริษัทประกันภัย สมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทย ฯลฯ ระหว่างวันที่ 28 สิงหาคม – 11 กันยายน 2563 โดยจะประมวลข้อคิดเห็นและข้อเสนอแนะต่างๆ เพื่อนำมาปรับปรุงร่างประกาศ และจะนำเสนอต่อบอร์ด คปภ. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบต่อไป

              

        “สำหรับการปรับปรุงตามหลักเกณฑ์ใหม่ จะส่งผลดีต่อธุรกิจประกันภัยและประชาชน เนื่องจากเงินกองทุนที่คำนวณได้จะสะท้อนความเสี่ยงที่แท้จริงที่บริษัทประกันภัยเผชิญอยู่ได้อย่างเหมาะสม โดยกรอบการดำรงเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงของสำนักงาน คปภ. จะมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์การกำกับเงินกองทุนในระดับสากลมากยิ่งขึ้น และเป็นการส่งเสริมให้บริษัทประกันภัยมีการพัฒนาระบบการบริหารความเสี่ยงภายในบริษัทให้ดียิ่งขึ้น เพื่อรองรับเหตุการณ์นอกเหนือความคาดหมายที่อาจเกิดขึ้นภายใต้สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจที่มีความไม่แน่นอน ตลอดจนเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินของอุตสาหกรรมประกันภัยในระยะยาว และช่วยยกระดับความเชื่อมั่นของประชาชนในฐานะผู้เอาประกันภัยต่อระบบประกันภัยในประเทศ” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย


Tags : บอร์ด คปภ. ดร.สุทธิพล ทวีชัยการ คปภ. การคำนวณเงินกองทุนตามระดับความเสี่ยงของบริษัทประกันภัย


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank โดย นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร บันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2568 เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ สถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 MCOT HD เมื่อเร็ว ๆ นี้      

14 Jul 2025

...

  นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เห็นชอบให้ธนาคารออมสินจัดทำมาตรการแก้ไขหนี้รายย่อยในโครงการของรัฐบาลที่ออกมาช่วยประชาชนในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของ COVID-19 เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อรายย่อยไม่มีหลักประกัน ที่มีสถานะหนี้เสีย (NPLs) จำนวนรวมกว่า 500,000 บัญชี ให้สามารถหลุดพ้นจากประวัติหนี้เสีย โดยธนาคารจะดำเนินการทันทีเพื่อที่ในอนาคตลูกหนี้จะมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้เร็วขึ้นเมื่อมีความจำเป็น โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ดำเนินการปิดบัญชีหนี้ ตัดหนี้สูญ และไม่ติดตามหนี้ ของลูกหนี้ NPLs จำนวนกว่า 200,000 บัญชี ในโครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐที่ได้รับงบประมาณชดเชยแล้ว ระยะที่ 2 ธนาคารจะทยอยดำเนินการปิดบัญชีหนี้แก่ลูกหนี้ NPLs โครงการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 จำนวนกว่า 300,000 บัญชี ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2568 ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยสำหรับมาตรการปลดหนี้สินเชื่อตามโครงการของรัฐบาลที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้แล้วเป็นจำนวนกว่า 1.3 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้รวมกว่า 11,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้รายย่อย และช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางให้สามารถประคับประคองสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวให้เดินต่อได้ มุ่งเน้นดำเนินการเพียงครั้งเดียวเพื่อไม่ให้ลูกหนี้ต้องเสียวินัยทางการเงิน และยังสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้อีกในอนาคต  

07 Jul 2025

...

    สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้ปรับปรุงแนวทางการคำนวณสำรองเบี้ยประกันภัยสำหรับสัญญาประกันภัยระยะสั้น พร้อมทั้งทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนด้านความเสี่ยง เพื่อยกระดับความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันภัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยมุ่งเน้นการพิจารณาข้อมูลในระดับประเภทการรับประกันภัยแทนการพิจารณาภาพรวมทั้งบริษัท เพื่อให้การประเมินภาระผูกพันและการจัดสรรเงินกองทุนมีความละเอียด แม่นยำ และสอดคล้องกับลักษณะความเสี่ยงที่แท้จริงยิ่งขึ้น โดยระหว่างวันที่ 6-21 มีนาคม 2568 สำนักงาน คปภ. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจและผู้เกี่ยวข้อง และจัดการประชุมชี้แจงไปเมื่อวันที่ 10-11 มีนาคม 2568 รวมทั้งได้จัดการประชุมกลุ่มย่อยเชิงเทคนิค (Focus Group) เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 เพื่อรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ทั้งนี้ ในการประชุมฯ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงประกาศที่เกี่ยวข้องกับสำรองเบี้ยประกันภัย ได้แก่ 1. ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการส่งรายงานประจำปีการคำนวณความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย 2. ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการส่งรายงานประจำปีการคำนวณความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันชีวิต และ 3. ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดประเภทและชนิดของเงินกองทุน รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการคำนวณเงินกองทุนของบริษัทประกันวินาศภัย สำหรับหลักการที่ได้มีการปรับปรุง คือ ปรับปรุงวิธีการคำนวณสำรองเบี้ยประกันภัย และเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงจากสำรองเบี้ยประกันภัย จากเดิม พิจารณาที่ระดับผลรวมทั้งหมดของสัญญาประกันภัยระยะสั้น เปลี่ยนเป็น พิจารณาที่ระดับประเภทการรับประกันภัย  ซึ่งสำนักงาน คปภ. จะเผยแพร่ประกาศอย่างเป็นทางการในลำดับถัดไป เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตามกำหนดในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ดังนั้น บริษัทประกันภัยและผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรเตรียมความพร้อมในการดำเนินการ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ใหม่ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่วันเริ่มมีผลบังคับใช้

07 Jul 2025

...

  ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank  ร่วมงาน “มหกรรมการเงินหาดใหญ่” ครั้งที่ 15 (MONEY EXPO 2025 HATYAI) ระหว่างวันที่ 4-6 กรกฎาคม 2568 ณ บูธ F3 หาดใหญ่ฮอลล์ ชั้น 5 เซ็นทรัล หาดใหญ่ จ.สงขลา ยกขบวนผลิตภัณฑ์สินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทุกความต้องการผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไฮไลท์ คือ สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท ครอบคลุมทุกกลุ่มและทุกความต้องการเอสเอ็มอีไทย ควบคู่บริการพัฒนาธุรกิจ ผ่านแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” (dx.smebank.co.th)   ช่วยเสริมศักยภาพกิจการ ครบถ้วนในจุดเดียว ห้ามพลาด! พิเศษเฉพาะภายในงาน เมื่อยื่นขอสินเชื่อ และได้รับอนุมัติทุกวงเงิน รับโปรโมชันเสริมอีก 2 ต่อ ได้แก่ ต่อที่ 1 : ลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์สินเชื่อ (Front End Fee) สูงสุด 0.25% และต่อที่ 2 : รับบัตรกำนัล มูลค่า 500 บาท พร้อมเล่นเกม ลุ้นรับของที่ระลึกมากมาย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

03 Jul 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner