Responsive image

Sunday, 08 Jun 2025

หน้าแรก > INSURANCE / ประกันภัย - ประกันชีวิต


วิริยะประกันภัยเปิดเกมรุกปี 64 เลือก 3 บริษัทซอฟต์แวร์ระดับโลก ปรับสถาปัตยกรรมไอทีเพื่อความเป็นหนึ่งในใจลูกค้าตลอดกาล

Wed 24/03/2564


วิริยะประกันภัย” เปิดแผนงานการดำเนินงานปี 64มุ่งพัฒนาเทคโนโลยีระดับ Deep Tech พร้อมเลือกบริษัทซอฟต์แวร์ระดับโลก อาทิเช่น Oracle, Microsoft และ MuleSoft ร่วมวางแผน 5 ปี เพื่อปรับสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศและสร้างนวัตกรรมบริการ เผยเมื่อแผนบรรลุผลจะก้าวสู่ความเป็น Total Experience ที่ทำให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีในทุกๆ จุดที่ได้สัมผัสกับวิริยะประกันภัย  ส่วนผลประกอบการปีที่ผ่านมาแม้เจอวิกฤตโควิด แต่ฐานะการเงินยังแข็งแกร่งด้วยสินทรัพย์ 7.6 หมื่นล้าน มีเงินกองทุนสูงเกินค่ามาตรฐานถึง 224.70%  ขณะที่เบี้ยประกันรับรวมยังสะพรั่งเป็นอันดับหนึ่งของตลาด 3.8 หมื่นล้านบาท โดยเฉพาะประกันภัยสุขภาพมาแรงสุด จึงต้องเดินหน้าเป็น Health Advisor เต็มสูบ

นายอมร ทองธิว กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี2564 นี้ บริษัทฯ ยังคงมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริการให้ลูกค้าเกิดความพึงพอใจสูงสุด ภายใต้แผนธุรกิจปี 2564“Customer Centric : องค์รวมประสบการณ์ แห่งการเป็นอันดับ 1 ในใจลูกค้าตลอดกาล” อันเป็นผลมาจากความชัดเจนในนโยบายของบริษัทว่า วิริยะประกันภัยมองเรื่อง Customer Centric เป็นหลัก ไม่ได้มองเรื่องยอดขาย ไม่ได้มองว่าจะบุกตลาดอะไรอย่างไร และที่สำคัญ Philosophy ที่วิริยะประกันภัยใช้มาตลอด คือ ทำหน้าที่บริการ เป็นหลักประกันสังคม ทำบริการให้ดี ลูกค้าพึงพอใจส่งต่อความพึงพอใจ ลูกค้าบอกต่อเป็น Word of Mouth การใช้เทคโนโลยีตอบโจทย์ Customer Centric 

“ต้องตอกย้ำว่าถึงแม้เราจะมุ่งเน้นพัฒนาเทคโนโลยี แต่เราก็ไม่ทิ้งคน เรามีคนในเครือข่าย 76 จังหวัด บุคลากรกว่า 6,500 คน พนักงานเคลมสินไหมกว่า 2,000 คน เรามองเป็นจุดแข็ง Touch Point ซึ่งบุคลากรเหล่านี้เราต้องเพิ่มศักยภาพให้กับเขา ติดเทคโนโลยีให้เขา เพื่อเพิ่มศักยภาพและประสิทธิภาพการทำงาน เพื่อสามารถบริการลูกค้าได้อย่างสะดวกรวดเร็วขึ้น” นายอมร กล่าว

นายอมร เปิดเผยต่อไปอีกว่า การพัฒนาเทคโนโลยีในปีนี้ บริษัทฯ ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 200ล้านบาท พร้อมเลือกบริษัทซอฟต์แวร์ระดับโลกมาร่วมกันพัฒนา คือ Oracle และ MuleSoft  อีกทั้งยังได้เลือก Microsoft เพื่อสร้างความแข็งแกร่งและความปลอดภัยทางเทคโนโลยี โดยกำหนดเป็นแผนงานที่จะดำเนินการต่อเนื่องภายใน 5 ปี ซึ่งสาระสำคัญที่จะดำเนินการคือ การปรับสถาปัตยกรรมเทคโนโลยีสารสนเทศ เพื่อให้แพลตฟอร์มต่างๆ ที่ได้จัดทำขึ้นมาก่อนหน้า และที่กำลังจะจัดทำ เกิดการเชื่อมต่อเป็นหนึ่งเดียวหรือกล่าวง่ายๆ เชื่อมต่อทุกคนทำงานด้วยข้อมูลชุดเดียวกัน และเป็นเรียลไทม์

โดยล่าสุดได้ดำเนินการคิกออฟไปแล้วเมื่อวันที่ 15กุมภาพันธ์ นั้นก็คือโครงการ Project Oracle ERP ภายใต้ชื่อคอนเซ็ปต์  Viriyah One Finance and  Accounting “ VFin”  อันเป็นการเชื่อมโยงระบบการเงิน บัญชี เป็นหนึ่งเดียว สามารถบริหารจัดการตรวจสอบ การจัดการข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น และที่สำคัญทำให้ระบบการจ่ายสินไหมทดแทนรวดเร็วขึ้น

นายอมร ได้เปิดเผยต่อไปอีกว่า เมื่อสิ้นสุดแผน 5 ปี Customer Centric ที่วิริยะประกันภัยมุ่งมั่นทำงานมาตลอดจะมีความสมบูรณ์แบบ เป็นระบบเทคโนโลยีที่สามารถรองรับความเป็น Total Experience องค์รวมประสบการณ์ เพื่อการสู่กระบวนยุทธ CXM (การบริหารประสบการณ์ลูกค้า : Customer ExperienceManagement) อันส่งผลให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ดีในทุกๆ จุดที่ได้สัมผัสกับวิริยะประกันภัย อีกทั้งต้องไม่ลืมว่าการไปให้ถึงเป้าหมายที่ว่านี้ ใช้เทคโนโลยีอย่างเดียวไม่สามารถทำได้ มันต้องมี Database ด้วย และแน่นอน 74 ปีที่ผ่านมา วิริยะประกันภัยสั่งสมประสบการณ์กับลูกค้ามามากที่สุด เป็น Data-Driven อีกหนึ่งหัวใจที่สร้างการเติบโต จนวิริยะประกันภัยก้าวเข้ามาสู่การเป็นอันดับ 1 มาจนทุกวันนี้

สำหรับผลประกอบการในปีที่ผ่านมา นายอมร เปิดเผยเพิ่มเติมว่า ปี 2563 เราต้องเผชิญวิกฤตไวรัสโควิด-19 ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน เพราะในปีก่อนๆ เรายังประสบกับ Digital Disruption ซึ่งคิดกันเพียงแค่จะขับเคลื่อนองค์กรให้ทันสมัยสอดรับกับยุคได้อย่างไร ต่อเมื่อเกิดไวรัสโควิด-19 ที่ระบาดไปทั้งโลก กลายเป็นภัยพิบัติที่มีผลกระทบต่อสังคมไทยทุกระดับ ดังนั้นการขับเคลื่อนองค์กรจึงต้องคิดให้ครบทุกมิติ

สำหรับวิริยะประกันภัยในห้วงภาวะวิกฤตโควิด-19 เมื่อทุกคนต้องปรับตัว วิริยะประกันภัยเองต้องมีการปรับตัวเช่นกัน  เราต้องปรับกระบวนธุรกิจทั้งด้านผลิตภัณฑ์ประกันภัยเพื่อให้สอดรับความเป็นจริงของรายได้ ผู้คนที่ลดลง อันเป็นผลมาจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ รวมไปถึงวิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไป อาทิ คนเริ่มใช้รถน้อยลง วิริยะประกันภัยจึงได้ออกแบบผลิตภัณฑ์ประกันภัยรถยนต์ตามการใช้งานและความเสี่ยงที่เปลี่ยนแปลงไป

“ในภาวะที่คนไทยเผชิญกับวิกฤตสุขอนามัยจากไวรัสโควิด-19  เราหาทางแบ่งเบาความเสี่ยงให้กับประชาชน นอกจากการปรับปรุงผลิตภัณฑ์ประกันที่มีอยู่ให้มีความคุ้มครองเหมาะสม เรายังออกผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ “โควิด-19 ชิลด์” ซึ่งเราสามารถสร้างยอดขายได้เกือบ 2 ล้านกรมธรรม์  อีกทั้งกรมธรรม์ดังกล่าวยังได้รับรางวัลอีกด้วย ขณะที่ต้นน้ำเราปรับปรุงผลิตภัณฑ์ตามปัญหาที่คนไทยกำลังเผชิญ ปลายน้ำคือส่วนบริการหลังการขาย เราใช้เทคโนโลยีมารองรับงานบริการเคลมที่เรียกว่า VClaim on VCall การเคลมนัดหมายผ่านวิดีโอคอลจากที่ไหนก็ได้ โดยไม่ต้องมีการพบปะกันตามหลักการของ Social Distancing บริการดังกล่าวได้รับเสียงตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี” นายอมร กล่าว

นายอมร เปิดเผยอีกว่าในด้านการพัฒนาเทคโนโลยีในปีที่ผ่านมา มีการพัฒนาใน 3 ด้านหลักคือ เทคโนโลยีเพื่อใช้ประโยชน์ข้อมูลจากลูกค้า เทคโนโลยีเพื่อเชื่อมต่อทางธุรกิจกับคู่ค้า และเทคโนโลยีเพื่อบริการสินไหมทดแทน โดยปีที่แล้วบริษัทฯ ได้เลือกบริษัทซอฟต์แวร์ระดับโลก คือSalesforce มาจัดทำระบบ CRM  (Customer Relationship Management) ซึ่งได้ผลเป็นอย่างมากเพราะทำให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงและได้รับการบริการด้านประกันภัยได้ในหลากหลายช่องทาง และที่สำคัญทำให้บริษัทฯ เชื่อมต่อกับคู่ค้าได้รวดเร็วขึ้นและในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

ส่วนผลประกอบการ นายอมรเปิดเผยว่าในปี 2563วิริยะประกันภัยมีผลประกอบการที่พอใจ ด้วยเบี้ยรับรวมกว่า 38,143 ล้านบาท แยกเป็นเบี้ยประกันภัยรถยนต์ (Motor) 33,315 ล้านบาท และเบี้ยประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ (Non-Motor) 4,827 ล้านบาท ในขณะที่ความมั่นคงของบริษัทฯ ไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤตโควิด-19 เช่นเดียวกัน วิริยะประกันภัยยังมีฐานะการเงินที่เข็มแข็ง มีสินทรัพย์ 76,149 ล้านบาท มีเงินกองทุน 41,219 ล้านบาทหรือคิดเป็นอัตราส่วนความพอเพียงของเงินกองทุนอยู่ที่ 224.70% สูงเกินกว่าค่ามาตรฐานที่กฏหมายกำหนดไว้ที่ 120%

ส่วนทางด้าน นายสยม โรหิตเสถียร รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้กล่าวถึงตลาดประกันภัยรถยนต์ว่าเป็นเรื่องที่ต้องบริหารจัดการให้อยู่ในสภาวะสมดุลย์ เพราะเป็นที่ทราบกันว่ายอดจำหน่ายรถยนต์ลดลงทั้งระบบ ย่อมที่จะส่งผลให้กรมธรรม์ประกันภัยรถใหม่หรือรถป้ายแดงย่อมลดลงตามไปด้วย ดังนั้นบริษัทประกันภัยจำต้องดูแลลูกค้าเก่าไว้ให้ดี ซึ่งในการสร้างสมดุลย์นี้ วิริยะประกันภัยทำได้ดีมากๆ แม้ยอดประกันรถป้ายแดงลดลง แต่อัตราการต่ออายุกรมธรรม์ประกันรถยนต์ของวิริยะประกันภัยยังอยู่ในระดับสูงมากกว่า 70 เปอร์เซ็นต์

“เราเชื่อมั่นว่า การดูแลของเราทำให้ลูกค้ายังรู้สึกผูกพัน แล้วก็ยังพึ่งพาเราได้ ไม่ว่าจะเป็นยามวิกฤตหรือไม่ก็ตาม ที่สำคัญเรามีคู่ค้า ประกอบไปด้วย สถาบันการเงินที่ทำ Floor Plan กับผู้ผลิตรถยนต์ค่ายต่างๆ ก็ส่งงานกับวิริยะประกันภัยเป็นหลักใหญ่ รวมไปถึงผู้แทนจำหน่ายรถยนต์แต่ละค่ายก็ส่งงานกับวิริยะประกันภัย เรียกว่าเป็นเปอร์เซนต์สูงเลย นอกจากนี้เราก็ยังมีพันธมิตรที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวแทนของเรา ซึ่งมีอยู่ทั่วประเทศก็ยังคงมีความเข้มแข็งและก็มั่นคง ไม่ว่าจะเป็นงานต่ออายุ ได้ถึงร้อยละ 80 กว่าเปอร์เซนต์ ซึ่งแสดงถึงความเหนียวแน่นระหว่างตัวแทนซึ่งมีต่อลูกค้าทั่วๆ ไป นอกจากตัวแทนเรายังมีตลาดองค์กร ซึ่งเขามีการทำขายประกันในซุปเปอร์มาร์เก็ต เขาก็ยังส่งงานที่วิริยะเป็นหลักใหญ่เช่นกัน ก็จะเห็นว่าตลาดโดยรวมของวิริยะนั้น จะบอกว่าจริงๆ แทบจะไม่กระทบกระเทือนอะไร” นายสยมกล่าว 

นายสยม เปิดเผยต่อไปอีกว่า หัวใจที่สำคัญในอันที่จะมัดใจลูกค้าเอาไว้นั้นก็คือ การบริการหลังการขาย อันเป็นสิ่งที่จะทำให้ลูกค้ารู้สึกพึงพอใจและมีความผูกพันกับเราอย่างยั่งยืน วิริยะประกันภัยจึงเน้นการพัฒนาในเรื่องของงานดูแลเรื่องสินไหมทดแทน  ล่าสุดได้พัฒนาจุดบริการให้ครอบคลุมทั่วไทยมากขึ้น จากที่วิริยะประภัยมีศูนย์ปฏิบัติการสินไหมทดแทนในแต่ละจังหวัดแล้ว ในปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้จัดตั้งศูนย์ตรวจสอบอุบัติเหตุในพื้นที่ที่เป็นรอยต่อของจังหวัด และในปีนี้จากข้อมูลการเกิดอุบัติเหตุที่วิริยะประกันภัยได้รวบรวมเอาไว้ และได้จัดทำเป็นโครงการเผยแพร่ข้อมูลจุดเสี่ยงทั่วประเทศ  เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักระมัดระวังเมื่อขับผ่านจุดเสี่ยงเหล่านี้ ตลอดไปถึงการเข้าไปช่วยแก้ไขปัญหาเพื่อลดอุบัติเหตุจราจรแล้ว จุดเสี่ยงเหล่านี้เอง วิริยะประกันภัยจะจัดตั้งเป็นจุดบริการเรียกว่า “จุดรอตรวจสอบอุบัติเหตุ”โดยจะไปจัดเช่าพื้นที่ในปั๊มน้ำมัน เพื่อให้พนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุไปนั่งทำงาน

“เป็นที่ทราบกันว่าพนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุของวิริยะประกันภัยทำงานบนสมาร์ทโฟน ดังนั้นการไปนั่งทำงานในพื้นที่ปั๊มน้ำมันจึงเป็นเรื่องง่าย  มีห้องเล็กๆ ให้นั่ง และเวลาพวกเขาไปทำเคลมมาแล้ว แทนที่พวกเขาต้องกลับมาออฟฟิศเพื่อมาทำเรื่องของรายการอุบัติเหตุ เขาสามารถคีย์งานบนมือถือได้เลย ซึ่งจะช่วยให้การทำงานด้านสินไหมของพวกเขาหรือของพวกเราเองสะดวกยิ่งขึ้น ลูกค้าก็ได้รับการบริการ การดูแลด้วยความฉับไว ตั้งแต่ออกตรวจสอบอุบัติเหตุ จนกระทั่งถึงขั้นให้คำแนะนำไปศูนย์ซ่อม เราก็จะมีในเรื่องของศูนย์ซ่อม ให้ลูกค้าเลือกจากสมาร์ทโฟนเลยว่าในพื้นที่ที่ลูกค้าประสงค์จะซ่อมมีศูนย์ซ่อมอะไรบ้าง ลูกค้าสามารถเลือกได้เลย อย่างนี้ลูกค้าก็จะสะดวก และเราก็สามารถออกหลักฐานผ่านมือถือได้อีก เพื่อให้ลูกค้านำไปติดต่อยังศูนย์ซ่อมที่ลูกค้าประสงค์จะทำการซ่อม ซึ่งเราจะทำอย่างไรให้ลูกค้ารู้สึกว่าเราอยู่ใกล้ชิดกับลูกค้าตลอดเวลา” นายสยมกล่าว

นายสยม เปิดเผยต่อไปอีกว่า อีกแผนงานหนึ่งที่สำคัญ และจะเริ่มดำเนินการในปีนี้ คือ การพัฒนาพนักงานที่เกี่ยวข้องด้านสินไหมทดแทน ไม่ว่าจะเป็นพนักงานตรวจสอบอุบัติเหตุ พนักงานสรุปรายการความเสียหาย ด้วยการจัดทำหลักสูตรขึ้นมารองรับเรียกว่า “V-Shine” เพื่อให้พนักงานตระหนักถึงบทบาทหน้าที่ของตนเอง ให้พนักงานเข้ามาเรียนรู้ว่าความต้องการของลูกค้าต้องการอย่างไร เขาต้องปรับตัวอย่างไร และเขาจะต้องทำงานกับเพื่อนร่วมงานอย่างไร เขาต้องทำงานกับผู้บังคับบัญชาอย่างไร เพื่อให้เกิดทีมงานที่มีประสิทธิภาพ 

นางฐวิกาญจน์ เตชทวีทรัพย์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานการประกันภัยที่มิใช่รถยนต์Non-Motor ว่าภาพรวมผลประกอบการในช่วงปีที่ผ่านมา วิริยะประกันภัยประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก สามารถขยายส่วนแบ่งการตลาดเบี้ยประกันภัยรับตรง ด้าน Non-Motor เป็น 4.5% จาก สัดส่วน 4.1% ในปีก่อนหน้า โดยมีเบี้ยรับประกันภัยอยู่ที่ 4,827 ล้านบาท และนอกจากนี้ยังคงสามารถเพิ่มสัดส่วนงานประกันภัย Non-Motor ให้มีสัดส่วนที่ 12.65% ของเบี้ยประกันภัยรับรวมของบริษัทฯ ซึ่งเพิ่มขึ้นจากปี 2562 อยู่ที่ 10.48% ซึ่งสอดคล้องตามนโยบายที่ต่อเนื่องของบริษัทฯ ที่จะเพิ่มสัดส่วนขยายงานประกันภัย Non-Motor ให้มากยิ่งขึ้น

“ในส่วนของการประกันภัย Non-Motor ด้านประกันภัยสุขภาพ เราสามารถเติบโตได้ถึง 317.85%  สืบเนื่องจากการออกผลิตภัณฑ์ประกันภัยโควิด-19 ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี โดยเฉพาะแผน “ประกันโควิด-19 ชีลด์”  ซึ่งวิริยะเป็นอันดับต้นๆ ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์นี้สู่ตลาด และผลิตภัณฑ์นี้ยังได้รับรางวัลสุดยอดนวัตกรรมแห่งปีอีกด้วย นอกจากนี้เรายังเปิดตัวแผนประกันสุขภาพ “Viriyah Healthcare by BDMS”ภายใต้คอนเซ็ปต์ “คุ้มครอง คุ้มค่า ราคาเพื่อคนไทย” ซึ่งเป็นแผนประกันที่เรามีความตั้งใจให้ค่าเบี้ยจับต้องได้ และความคุ้มครองเข้าใจง่าย แบบเหมาจ่าย ไม่ซับซ้อน ตาม  คอนเซ็ปต์ ประกันภัยสุขภาพจากวิริยะ” นางฐวิกาญจน์ กล่าว

นางฐวิกาญจน์ เปิดเผยต่อไปอีกว่าในส่วนของเป้าหมายปี 2564 ด้านการประกันภัย Non-Motor วิริยะประกันภัยยังคงขยายแผนงานประกันภัยสุขภาพอย่างต่อเนื่อง โดยจะขยายช่องทางการตลาดทางตรง เป็น 180 อัตราภายในสิ้นปี ทั้งการตลาดทางโทรศัพท์ และการตลาดประจำบูธต่างๆ และยังคงเน้นการสรรหา พันธมิตร และ คู่ค้า ควบคู่ไปกับการพัฒนาช่องทางการขายผ่านตัวแทน โดยได้วางแผนพัฒนาระบบเพื่ออำนวยความสะดวก เพื่อให้ตัวแทนได้ใช้เป็นเครื่องมือในการขยายงานด้านประกันภัยสุขภาพ แบบมีประสิทธิภาพมากขึ้น  รวมถึงการพัฒนา Health Advisory การบริการให้คำปรึกษาแก่ลูกค้า ก่อน ระหว่าง และหลังการรักษาพยาบาล ให้ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในปีที่แล้ววิริยะประกันภัยได้มีการเปิดตัว แบบ Soft Launch เพื่อช่วยลูกค้าได้วางแผนการรักษาและค่าใช้จ่ายให้เหมาะสมกับความคุ้มครอง และตรงตามความต้องการของลูกค้า 

โดยได้เริ่มการบริการ ให้กับ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มโรคที่เกิดขึ้นเฉียบพลัน เช่น โรคทางเดินหายใจส่วนบนส่วนล่าง โรคหวัด หรือ การเกิดอุบัติเหตุ กลุ่มที่สอง คือ กลุ่มโรคไม่ติดต่อแต่เรื้อรัง เช่น โรคเบาหวาน และโรคความดันโลหิตสูง โดยในปีนี้เรามีการวางแผนจะเปิดบริการให้กับกลุ่มที่สาม คือ กลุ่มโรคร้ายแรง เช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจ โดยเป้าหมายของเรา คือการดูแลลูกค้าให้มีสุขภาพที่แข็งแรงและมีชีวิตที่ยืนยาว นอกจากนี้ยังได้มีการวางแผนพัฒนาระบบการจัดการกรมธรรม์ และการจัดการสินไหมให้มีประสิทธิภาพ และเพื่อรองรับการให้บริการลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น

 


Tags : วิริยะประกันภัย วิริยะประกันภัยเปิดเกมรุกปี2564 อมร ทองธิว สยม โรหิตเสถียร ฐวิกาญจน์ เตชทวีทรัพย์


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ขานรับนโยบายนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมกรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) เพื่อช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ให้กลับมามีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวดได้ตามปกติ เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและเงินงวด นานสูงสุด 1 ปี ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL BFRIEND และสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน – 31 ธันวาคม 2568   นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากการที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ ช่วยเหลือภาคธุรกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 256 และมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้มีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวด เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป ดังนั้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงขานรับนโยบายดังกล่าว โดยการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ให้กับลูกค้าธนาคาร จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) สำหรับลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปีให้กลับมามีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวดได้ตามปกติ เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป โดยมีรายละเอียด ดังนี้             เดือนที่ 1 – 6      : คิดอัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรก 0% ต่อปี โดยผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาทต่อเดือน             เดือนที่ 7 - 9      : ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 1.90 % +100 บาท             เดือนที่ 10 -12   : ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 3.90 % +100 บาท                                       กรณีลูกค้าชำระเกินที่ธนาคารกำหนดให้นำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระ (หากมี) “การจัดทำมาตรการ DC3 ของ ธอส. ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยลูกค้ารักษาบ้านของตนเองแล้ว ยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยให้ปรับตัวลดลงได้ด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังให้ความสำคัญ ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวควบคู่ไปกับการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ฯ ซึ่ง ธอส. ได้จัดทำสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำรองรับการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 240,000 ล้านบาทในปีนี้” นายกมลภพ กล่าว   อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ธอส. มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ กลุ่มลูกค้า NPL อีกจำนวน  4 มาตรการ นอกจากนี้ ธอส. ยังดำเนินการตามนโยบายกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการเปิดขยายเวลาการเข้าร่วม “โครงการคุณสู้ เราช่วย” ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เพื่อช่วยลูกหนี้ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน แต่เคยมีประวัติการค้างชำระเกิน 30 วัน ก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน  2567 และได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ให้ได้รับความช่วยเหลือต่อเนื่อง และยังจัดทำมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทา ความเดือดร้อนให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมาด้วย ลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL BFRIEND และสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน – 31 ธันวาคม 2568 โดยแสดงหลักฐานการได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ / ธุรกิจ / การค้า หรือจากสภาวะทางเศรษฐกิจ เพื่อประกอบการพิจารณา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ G H Bank Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th  

02 Jun 2025

...

ตามที่รัฐบาลโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ ช่วยเหลือภาคธุรกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ผ่านการลดเป้าหมายกำไรทางธุรกิจเพื่อนำเม็ดเงินงบประมาณมาจัดทำโครงการ/มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการนั้น   นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารจึงได้เร่งรัดดำเนินการ ประกาศลดดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการกลุ่มสินเชื่อธุรกิจที่เป็นลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร ในอัตรา 2 - 3% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกธุรกิจ Supply Chain และผู้ผลิตสินค้าที่ต้องมีการแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ เนื่องจากนโยบายกำแพงภาษีฯ ส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนสินค้าไทยเพิ่มขึ้น การส่งออกชะลอตัว และอาจทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงจนนำไปสู่ปัญหาการขาดสภาพคล่อง และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงิน เสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจสามารถประคองตัวและดำเนินกิจการต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย มาตรการลดดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ครอบคลุมลูกค้าปัจจุบันกลุ่มสินเชื่อธุรกิจธนาคารออมสินทุกประเภทที่มีสถานะบัญชีปกติ โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่ได้รับผลกระทบ ธุรกิจ Supply Chain และผู้ผลิตที่ต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ ลดดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 3% ต่อปี จากอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิม ระยะเวลาการลดดอกเบี้ย ไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่จัดทำนิติกรรมสัญญา ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด ลูกค้าที่เข้าหลักเกณฑ์สามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่ สาขาธนาคารออมสินที่มีบัญชีเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2568 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115  

25 May 2025

...

SME D Bank เผยผลตรวจสุขภาพธุรกิจผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านระบบ Business Health Check ในแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” (dx.smebank.co.th)   พบจุดอ่อนสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านบริหารการเงิน  ด้านจัดการนวัตกรรม-เทคโนโลยี และด้านการตลาด  ประกาศเดินหน้าช่วย “เติมความรู้คู่เงินทุน” เสริมศักยภาพให้เข้มแข็ง ปิดจุดอ่อน สามารถก้าวผ่านอุปสรรคได้ในทุกสถานการณ์   นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากที่ SME D Bank มีบริการ “ตรวจสุขภาพทางธุรกิจ” หรือ “Business Health Check”  แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th)  เพื่อให้รับรู้ข้อมูลและเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนในกิจการตัวเอง ก่อนนำไปสู่การเติมทักษะ ปิดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งได้ตรงกับความต้องการของแต่ละกิจการ  ทั้งนี้  ระยะเวลาประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้ารับบริการตรวจสุขภาพทางธุรกิจ รวมกว่า 9,200 กิจการ  พบทักษะ 3 ด้านที่เป็นจุดอ่อนสำคัญ ได้แก่  อันดับ 1  ด้านการบริหารจัดการเงิน  ระดับคะแนนประเมินผลอยู่ที่ 1.8 จากคะแนนเต็ม 5 ตามด้วย อันดับ 2  ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี (2.6 คะแนน) และอันดับ 3 ด้านการสื่อสารการตลาด (3.6 คะแนน) โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในทุกขนาดธุรกิจ ล้วนมีจุดอ่อนใน 3 ด้านนี้เหมือนกัน แตกต่างกันในรายละเอียดและความซับซ้อนในทักษะที่ต้องพัฒนา   สำหรับด้านการบริหารจัดการเงิน กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) มีคะแนนต่ำที่สุด ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นความสำคัญของการทำบัญชี ไม่แยกเงินส่วนตัวกับธุรกิจ ไม่เข้าใจหลักการบัญชีเบื้องต้น ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการคำนวณกำไรขาดทุน รวมถึงความสามารถในการเข้าถึงแหล่งทุน  ส่วนกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก (Small) มีการบันทึกข้อมูลทางการเงิน แต่ขาดเครื่องมือหรือการลงทุนในระบบบัญชีที่เป็นมาตรฐาน รวมถึงขาดการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อวางแผนระยะยาว ขณะที่ ผู้ประกอบการขนาดกลาง (Medium) ต้องการทักษะการวิเคราะห์ทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น และในหลายกิจการขาดการบูรณาการข้อมูล ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ผู้ประกอบการรายย่อย ไม่รู้ว่ามีเทคโนโลยีอะไรที่ช่วยธุรกิจเล็กๆ ได้บ้าง และยังไม่สามารถเชื่อมโยงการใช้เทคโนโลยีด้านการตลาดได้อย่างเต็มศักยภาพ ส่วนผู้ประกอบการขนาดเล็ก ไม่รู้ว่าเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมรูปแบบใดเหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง และไม่มีแผนหรือนโยบายที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายของธุรกิจ รวมถึงไม่กล้ารับความเสี่ยงที่จะล้มเหลวจากการลงทุนในนวัตกรรม  สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง ไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมนวัตกรรมได้อย่างแท้จริง ด้านการสื่อสารการตลาด ผู้ประกอบการรายย่อย  ขาดทักษะในการใช้ Social Media ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับการตลาด รวมถึงไม่เข้าใจการตลาดพื้นฐาน ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดเล็ก  ขาดทักษะในการใช้เครื่องมือและการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด ไม่รู้วิธีวัดผลลัพธ์จากการทำการตลาด ทำให้กระทบต่อการวางแผนการตลาดอย่างเป็นระบบ ส่วนผู้ประกอบการขนาดกลาง ขาดการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดเชิงลึกและการบูรณาการข้อมูลจากทุกช่องทาง ทั้งนี้ ผลการตรวจสุขภาพทางธุรกิจ พบว่า ในภาพรวม ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยมีทักษะที่เข้มแข็ง  2 ด้าน ได้แก่ การบริหารประสิทธิภาพการผลิตหรือบริการ และการบริหารจัดการองค์กร ซึ่งเป็นศักยภาพที่ควรเสริมให้แกร่งขึ้นในยุคที่ความไม่แน่นอนสูง การบริหารจัดการต้นทุนทำได้ยากขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการประสิทธิภาพตามแนวทางธุรกิจสีเขียว เพื่อให้กำไรสูงสุดภายใต้เงื่อนไขการปล่อยคาร์บอนต่ำสุด   นายพิชิต กล่าวต่อว่า  จากที่เห็นจุดอ่อนสำคัญของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย  SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐเดินหน้ายกระดับพัฒนาศักยภาพให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ผ่านบริการ “เติมความรู้คู่เงินทุน” ช่วยเสริมศักยภาพในหลากหลายรูปแบบ เพื่อช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ปิดจุดอ่อนใน 3 ด้านดังกล่าว สำหรับด้านการพัฒนาผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน จัดโครงการพัฒนาทั้งออนไซต์ควบคู่ออนไลน์ เช่น โครงการ “ทุนก็มี ภาษีก็รู้ ก้าวสู่ความยั่งยืน” จับมือกรมสรรพากร   ให้ความรู้ด้านการเงิน ในรูปแบบ One Stop Service ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โครงการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยี โครงการสนับสนุนด้านการตลาด เช่น สอนการสร้างคอนเทนต์ด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ กิจการ SME D Market รวมถึง Business Matching ช่วยเพิ่มรายได้ขยายตลาด เป็นต้น อีกทั้ง มีบริการแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th) ช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจครบวงจร ใช้บริการได้สะดวกสบาย ตลอด 24 ชม. เช่น  E-Learning รวบรวมหลักสูตรความรู้เพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ ทั้งการบริหารจัดการธุรกิจ นวัตกรรม เทคโนโลยี มาตรฐาน การตลาด การเงิน และเตรียมพร้อมเข้าถึงแหล่งเงินทุน  , SME D Coach ที่ปรึกษาและให้คำแนะนำธุรกิจจากโค้ชมืออาชีพ  , E-marketplace ช่วยขยายช่องทางขยายตลาด และเชื่อมโยงจับคู่ธุรกิจ และ Privilege สิทธิประโยชน์เพื่อยกระดับธุรกิจ เป็นต้น ควบคู่กับให้บริการด้านการเงิน ช่วยให้มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อลงทุน ปรับปรุง ขยายกิจการ  หมุนเวียน หรือลดต้นทุนทางการเงิน เป็นต้น  จุดเด่นอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปี  คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน  ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถแจ้งความประสงค์ใช้บริการด้านการพัฒนาและการเงินได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น  แพลตฟอร์ม DX by SME D Bank , LINE Official Account : SME Development Bank และเว็บไซต์ www.smebank.co.th  เป็นต้น  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357   

24 May 2025

...

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดย นางสาวอรนาฎ นชะพงษ์ (ที่ 4 จากขวา) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า พร้อมด้วยนายแพทย์วิรุณ เกียรติคุณรัตน์ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์บริการการแพทย์ ร่วมงานแถลงข่าว “BDMS Preventive Vaccine” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลในเครือ BDMS กับบริษัทประกันชีวิตชั้นนำในการจัด “โครงการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในราคาพิเศษ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันอย่างยั่งยืนในกลุ่มผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพ ณ ห้องประชุมเรเดียน โรงแรมเมอวินพิค บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท เมื่อเร็ว ๆ นี้ กรุงเทพประกันชีวิต ใส่ใจและมีเป้าหมายในการสนับสนุนให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนเพื่อลดความรุนแรงของโรค ภาวะแทรกซ้อน และลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในระยะยาว จึงเข้าร่วม “โครงการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในราคาพิเศษ” โดยลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพของกรุงเทพประกันชีวิต สามารถขอรับการบริการฉีดวัคซีนจากโรงพยาบาลเครือบีดีเอ็มเอสได้ในราคาเดียวทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล โดยวัคซีนที่ให้บริการประกอบด้วย วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์  สำหรับผู้ใหญ่อายุ 15 ปีขึ้นไป             ราคา      500       บาท วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์  สำหรับเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 15 ปี         ราคา      700       บาท วัคซีนงูสวัด (2 เข็ม)                                                                             ราคา  11,500      บาท วัคซีนปอดอักเสบ 1 เข็ม (Prevnar20)                                                 ราคา    3,500      บาท วัคซีนไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ (2 เข็ม) สำหรับผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป    ราคา    3,900     บาท ทั้งนี้ ราคาดังกล่าวรวมค่าแพทย์ และค่าบริการโรงพยาบาล แต่ไม่รวมค่ายาอื่นๆ และค่ารักษาพยาบาล หรือค่าบริการปรึกษาทางการแพทย์เพิ่มเติม ผู้สนใจสามารถรับบริการได้ที่โรงพยาบาลในเครือ BDMS โดยโทรนัดหมายที่โรงพยาบาลที่ต้องการรับบริการล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน และแสดงหลักฐานกรมธรรมประกันสุขภาพ หรือ บัตรผู้เอาประกันภัยแก่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก่อนรับบริการ โดยมีระยะเวลาการรับสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568

16 May 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner