Responsive image

Monday, 04 Aug 2025

หน้าแรก > SOCIETY / ภาพข่าว - CSR - ข่าวการเมือง


กรุงเทพประกันภัยส่งความห่วงใย มอบถุงยังชีพช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.น่าน

Mon 04/08/2568


จากสถานการณ์อุทกภัยที่ส่งผลกระทบในหลายพื้นที่ของจังหวัดน่าน บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน โดยนายธีรยุทธ กิจวรพัฒน์ ผู้อำนวยการธุรกิจสาขา พร้อมด้วยพนักงานจิตอาสา ร่วมมอบถุงยังชีพซึ่งบรรจุข้าวสาร อาหารแห้ง น้ำดื่ม และของใช้ในชีวิตประจำวันที่จำเป็น เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อนเบื้องต้นแก่ผู้ประสบภัยในพื้นที่ต่างๆ รวมจำนวนกว่า 500 ชุด ได้แก่ ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมเทศบาลเมืองน่าน โดยมีนายปกฤษณ์ คำเหลืองปลัดเทศบาลเมืองน่าน เป็นผู้แทนรับมอบ และได้มอบถุงยังชีพให้แก่โรงพยาบาลน่าน โดยมี พว.นิตยา หงส์เจริญ ผู้ช่วยรองผู้อำนวยการฝ่ายการพยาบาล เป็นผู้แทนรับมอบ นอกจากนี้ ยังได้ลงพื้นที่มอบถุงยังชีพให้แก่ประชาชนในชุมชนบ้านสวนตาล อำเภอเมือง จังหวัดน่าน

 

กรุงเทพประกันภัย ขอส่งกำลังใจให้ประชาชนในพื้นที่สามารถผ่านพ้นสถานการณ์ดังกล่าวและฟื้นฟูจากปัญหาอุทกภัยให้กลับสู่สภาวะปกติโดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ ลูกค้าที่ประสบภัยสามารถติดต่อแจ้งเคลมสินไหมทดแทน ตลอด 24 ชั่วโมง รวมถึงการให้บริการรถยกเพื่อเคลื่อนรถยนต์ไปยังพื้นที่ปลอดภัย ได้ที่โทร. 1620  

 


Tags : กรุงเทพประกันภัย BKI ช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย ธีรยุทธ กิจวรพัฒน์ มอบถุงยังชีพ ผู้ประสบภัยน้ำท่วมเทศบาลเมืองน่าน


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

SME D Bank ห่วงใยประชาชน และเอสเอ็มอีได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม สอดคล้องนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และ ธปท. ได้แก่ พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย  สูงสุด 12 เดือน ควบคู่เติมทุนฉุกเฉิน เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูกิจการ  ครอบคลุมพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สระแก้ว จันทบุรี และตราด นอกจากนั้น เปิดสายด่วน 1357 รับแจ้งขอความช่วยเหลือทันท่วงที พร้อมเปิดรับบริจาคสิ่งของนำไปมอบให้แก่ผู้ประสบภัยและทหารหาญ    นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ  ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า ด้วยสถานการณ์ความไม่สงบจากเหตุปะทะตามแนวพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตของประชาชน รวมถึง การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ทั้งทางตรงและทางอ้อม SME D Bank มีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติม หลังจากมีมาตรการช่วยเหลือเร่งด่วนเบื้องต้นไปแล้ว ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายรัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่ต้องการให้สถาบันการของรัฐเป็นกำลังสำคัญในการช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากเหตุความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา   สำหรับมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมดังกล่าว  ครอบคลุมความช่วยเหลือในพื้นที่ 7 จังหวัด ประกอบด้วย ศรีสะเกษ สุรินทร์ บุรีรัมย์ อุบลราชธานี สระแก้ว จันทบุรี และตราด มุ่งเน้นช่วยให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ลดภาระทางการเงิน สามารถประคับประคองธุรกิจ  ก้าวข้ามช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ไปได้ด้วยดี และฟื้นฟูกิจการได้โดยเร็ววัน  ได้แก่  มาตรการ “พักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย” สำหรับลูกค้าธนาคารที่ได้รับผลกระทบทางตรงและทางอ้อม   ด้วยการพักชำระหนี้เงินต้นและดอกเบี้ย สำหรับกลุ่มเงินกู้ยืมแบบมีระยะเวลา (Term loan) สูงสุดไม่เกิน 12 เดือน สัญญาเบิกเงินทุนหมุนเวียนประเภทตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) และสินเชื่อแฟคตอริ่ง ขยายระยะเวลาชำระตั๋วสัญญาใช้เงินออกไปอีกสูงสุด 180 วัน และสามารถพักชำระดอกเบี้ยได้   มาตรการ “เติมทุนฉุกเฉิน เพื่อซ่อมแซมฟื้นฟูกิจการ” สำหรับลูกค้าเดิมได้รับผลกระทบทางตรง เพื่อให้มีวงเงินกู้ฉุกเฉิน นำไปฟื้นฟูธุรกิจเฉพาะหน้า วงเงินกู้ 10% ของวงเงินเดิม ขั้นต่ำ 30,000 บาท ถึงสูงสุด 200,000 บาท (บุคคลธรรมดา สูงสุด 100,000 บาท และนิติบุคคล สูงสุด 200,000 บาท)  อัตราดอกเบี้ย MLR ต่อปี ระยะเวลากู้ 3 ปี ปลอดชำระเงินต้น 12 เดือน ไม่ต้องมีหลักประกัน ยกเว้นค่าธรรมเนียม ลดกระบวนการนำส่งเอกสารในการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบทางตรงเป็นการเร่งด่วน อีกทั้ง ธนาคารยังมีสินเชื่อช่วยเหลือเพิ่มเติม สำหรับเสริมสภาพคล่อง  ลงทุน ยกระดับธุรกิจ ภายหลังสถานการณ์คลี่คลาย อัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท ได้แก่ 1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” 2.สินเชื่อ “ปลุกพลัง SME” และ 3.สินเชื่อ “Beyond ติดปีก SME”   นอกจากนั้น SME D Bank  ยังเปิดศูนย์รับแจ้งขอความช่วยเหลือฉุกเฉินสำหรับประชาชน และผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา รวมถึง สาธารณภัยต่างๆ  ผ่าน Call Center 1357 และเปิดศูนย์รับบริจาคอาหาร ของใช้ ยารักษาโรค หรือสมทบทุน  เพื่อนำไปมอบให้แก่ประชาชน ทหาร และผู้ปฏิบัติหน้าที่ ในพื้นที่ชายแดนไทย-กัมพูชา ตั้งแต่วันที่ 26 กรกฎาคม 2568 ที่ผ่านมาไปจนถึงวันที่ 1 สิงหาคม 2568 นี้  ณ หน้าสำนักงานใหญ่ SME D Bank อาคาร SME Bank Tower   ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ต้องการเข้ารับมาตรการต่าง ๆ สามารถแจ้งความประสงค์ได้ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป  ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของธนาคาร เช่น สาขา SME D Bank ทุกแห่งทั่วประเทศ ,  LINE Official Account : SME Development Bank , เว็บไซต์  www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

03 Aug 2025

...

บอร์ด ธ.ก.ส. มีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือครอบครัวทหาร และ ตชด. วีรบุรุษผู้เสียสละชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา ที่บิดา - มารดา หรือคู่สมรสเป็นลูกค้า ธ.ก.ส. โดยยกหนี้ในส่วนของต้นเงินกู้ทุกสัญญา และยกหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยทั้งจำนวน ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เพื่อให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์ลูกหนี้ และลดภาระให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างมั่นคง นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบในพื้นที่ชายแดนไทย - กัมพูชา อันส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อชีวิตความเป็นอยู่ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ของเกษตรกรลูกค้าของธนาคาร โดยมีทั้งทหารและประชาชนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ตลอดจนที่อยู่อาศัยรวมถึงพื้นที่ทำกินได้รับความเสียหาย และเพื่อให้ความช่วยเหลือและสงเคราะห์ลูกหนี้  และลดภาระให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างมั่นคง นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ กรณีบุตร คู่สมรส ของลูกค้า ธ.ก.ส. ที่เป็นทหาร หรือ ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา โดยธนาคารจะยกหนี้ในส่วนของต้นเงินกู้ทุกสัญญา และยกหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยค้างรับและดอกเบี้ยปรับทั้งจำนวน ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เป็นกรณีพิเศษ ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ขอแสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา คนข้างหลังไม่ต้องกังวล ธ.ก.ส. อยู่เคียงข้างและพร้อมก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน ติดต่อสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555 ตลอด 24 ชั่วโมง  

01 Aug 2025

...

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่สงบบริเวณชายแดนไทย–กัมพูชา รวมถึงเหตุอุทกภัยในพื้นที่ภาคเหนือของประเทศที่ยังคงรุนแรงและส่งผลกระทบโดยตรงต่อความเป็นอยู่ของประชาชนจำนวนมาก ธนาคารออมสินจึงเร่งออกมาตรการ “พักหนี้อัตโนมัติ ไม่คิดดอกเบี้ย” เพื่อช่วยบรรเทาภาระของลูกค้าธนาคารที่ได้รับผลกระทบ ซึ่งมีอยู่จำนวนกว่า 40,000 บัญชี คิดเป็นเงินต้นกว่า 9,000 ล้านบาท มาตรการพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ย นาน 3 เดือน – ดอกเบี้ยที่เกิดขึ้น ธนาคารยกให้ ไม่ต้องจ่ายคืน! ครอบคลุมลูกหนี้สินเชื่อทุกกลุ่ม (ยกเว้นบางประเภทตามเงื่อนไข*) โดยมีหลักเกณฑ์สำคัญ คือ พักชำระหนี้อัตโนมัติ ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย เป็นเวลา 3 เดือน โดยดอกเบี้ยในช่วงเวลาพักหนี้ธนาคารยกให้ทั้งหมด ลูกหนี้ไม่ต้องชำระภายหลัง และเมื่อพักหนี้ครบกำหนด ลูกหนี้ชำระหนี้ตามเงื่อนไขสัญญาเดิม เป็นลูกหนี้ที่มีภูมิลำเนา ที่อยู่อาศัย หรือสถานที่ประกอบอาชีพในพื้นที่ภัยพิบัติตามประกาศของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) ธนาคารจะส่ง SMS หรือจดหมาย ส่งตรงถึงผู้ที่ได้รับสิทธิ์ กรณีไม่ประสงค์เข้าร่วมมาตรการ ลูกหนี้สามารถติดต่อแจ้งสาขาที่สะดวก หรือแจ้งที่ GSB Contact Center โทร. 1115 กรณีลูกหนี้ได้รับ SMS หรือจดหมายจากธนาคาร แต่ไม่ประสงค์เข้าร่วมมาตรการพักหนี้ สามารถชำระหนี้ได้ตามปกติ ธนาคารจะนำเงินงวดไปตัดลดต้นเงินทั้งจำนวน ธนาคารออมสินขอส่งกำลังใจไปยังพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ พร้อมยืนยันว่าจะอยู่เคียงข้างและให้ความช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เพื่อให้ลูกค้ากลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติโดยเร็วที่สุด ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการฯ ได้ที่เว็บไซต์ www.gsb.or.th *หมายเหตุ : ไม่รวมสินเชื่อบางประเภท เช่น สินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่, สินเชื่อชีวิตสุขสันต์, สินเชื่อตามนโยบายรัฐ (PSA) และสินเชื่อสำหรับผู้มีรายได้ประจำ

30 Jul 2025

...

บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) หรือ TIP ตอกย้ำความแข็งแกร่งทางธุรกิจในระดับสากล ด้วยการได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือทางการเงิน (Financial Strength Rating) ที่ระดับ A- (Excellent) จาก AM Best สถาบันจัดอันดับเครดิตชั้นนำระดับโลก ต่อเนื่องเป็นปีที่ 7 พร้อมคงมุมมองมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ดร.สมพร สืบถวิลกุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า “การได้รับอันดับเครดิตระดับ A- (Excellent) ต่อเนื่องถึง 7 ปี พร้อมคงมุมมองมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงความมั่นคงทางการเงินของบริษัทฯ การบริหารความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ และการดำเนินธุรกิจภายใต้หลักธรรมาภิบาล” “ความสำเร็จในครั้งนี้ สะท้อนถึงความมุ่งมั่นของทิพยประกันภัยในการยกระดับมาตรฐานองค์กร พร้อมส่งมอบบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกสถานการณ์ โดยไม่หยุดพัฒนาเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้น คู่ค้า และประชาชนอย่างยั่งยืน” การประเมินอันดับเครดิตของ AM Best พิจารณาจากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของทิพยประกันภัย ทั้งในด้านการรับประกันภัย การลงทุน และการบริหารความเสี่ยงอย่างรัดกุม แม้เผชิญกับภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวน ซึ่งล้วนตอกย้ำถึงความพร้อมของบริษัทในการดูแลลูกค้าและส่งมอบบริการที่มีคุณภาพอย่างต่อเนื่อง โดยอันดับเครดิตระดับ A- (Excellent) พร้อมคงมุมมองมีเสถียรภาพ (Stable Outlook) นี้ ถือเป็นเครื่องยืนยันถึงความมุ่งมั่นของทิพยประกันภัยในการยกระดับมาตรฐานองค์กร พัฒนาสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ

30 Jul 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner