Responsive image

Thursday, 19 Jun 2025

หน้าแรก > SOCIETY / ภาพข่าว - CSR - ข่าวการเมือง


SCG เดินหน้าพิทักษ์ทะเล บูรณาการจากต้นทางถึงปลายทาง : จัดการขยะบก – ทุ่นกักขยะลอยน้ำ – บ้านปลา ขานรับวันทะเลโลก "รู้รักษามหาสมุทร เพื่อวิถีมนุษย์ที่ยั่งยืน"

Tue 08/06/2564


ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยได้รณรงค์แก้ไขปัญหาขยะทะเลอย่างจริงจังภายใต้ความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อให้ท้องทะเลไทยกลับมางดงาม ใสสะอาด เป็นที่พักพิงของสัตว์น้ำน้อยใหญ่ รวมทั้งมนุษย์อย่างเรา ๆ ด้วย  สาเหตุหลักของการเกิดปัญหาขยะทะเลนั้น มาจากการจัดการขยะบกที่ไม่ถูกต้อง เกิดการหลุดรอดไหลผ่านแม่น้ำ ลำคลองสาขาต่าง ๆ กว่า 9,000 สาย จนไปรวมตัวกันอยู่ที่ทะเล จากคำขวัญวันทะเลโลกปี 2564 ที่ว่า "รู้รักษามหาสมุทร เพื่อวิถีมนุษย์ที่ยั่งยืน" (The Ocean: Life and Livelihood) สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างวิถีมนุษย์กับความสมบูรณ์ของท้องทะเล หากมนุษย์ยังอยู่ในวิถีเดิม ๆ ที่ปราศจากความรับผิดชอบ ทิ้งขยะไม่ถูกที่ ปล่อยปละละเลย ท้องทะเลก็อาจจะกลายเป็นบ่อขยะในที่สุด เราอยากให้ลูกหลานได้เห็นและเผชิญกับบ่อขยะในทะเลอย่างนั้นหรือ

สำหรับเอสซีจี “การรักษามหาสมุทร เพื่อวิถีมนุษย์ที่ยั่งยืน” นั้น จำเป็นต้องบูรณาการจากต้นทางถึงปลายทาง นั่นคือ เริ่มจากการจัดการขยะบนบกให้ถูกต้องตามวิถีชุมชน LIKE (ไร้) ขยะ - ป้องกันขยะหลุดรอดลงทะเลด้วยนวัตกรรมทุ่นกักขยะลอยน้ำ – เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพด้วยนวัตกรรมบ้านปลา

เอสซีจีมุ่งคิดค้นพัฒนานวัตกรรมที่ประยุกต์วัสดุพลาสติกที่มีความแข็งแรง ทนทานชนิดพิเศษ เพื่อตอบโจทย์การกักขยะในแม่น้ำลำคลองก่อนไหลลงสู่ท้องทะเล โดยได้ร่วมมือกับกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จนกลายมาเป็นนวัตกรรม “ทุ่นกักขยะลอยน้ำ” รุ่น 1 (SCG – DMCR Litter Trap: Generation 1)  ซึ่งได้นำท่อชนิด PE100 ที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม มาทำงานร่วมกับวัสดุคล้ายเสื้อชูชีพ สามารถรองรับขยะได้กว่า 700 กิโลกรัม เพื่อนำไปติดตั้งบริเวณแม่น้ำลำคลอง

น้ำทิพย์ สำเภาประเสริฐ

“เอสซีจีดำเนินธุรกิจตามวิสัยทัศน์ธุรกิจยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิด ESG (Environmental, Social and Governance) ที่มุ่งดูแลสังคม สิ่งแวดล้อม อย่างมีธรรมาภิบาล เพื่อให้ธุรกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อมเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อม ๆ กัน  โดยเอสซีจีได้ร่วมมือกับชุมชนและหน่วยงานภาครัฐ ดูแลชายฝั่งทะเลระยองมาอย่างต่อเนื่องกว่า 20 ปี ด้วยการใช้ความรู้และความเชี่ยวชาญของธุรกิจมาพัฒนานวัตกรรมเพื่อสังคม ช่วยแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ซึ่ง “ทุ่นกักขยะลอยน้ำ” เป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่ออกแบบเพื่อช่วยจัดการปัญหาขยะที่หลุดรอดลงทะเล โดยได้ออกแบบให้ทนต่อสภาพดินฟ้าและอากาศ ซึ่งได้นำทุ่นกักขยะรุ่นที่ 1 ไปวางจุดแรกที่ปากน้ำ จ.สมุทรสาคร และ จ.ระยอง พบว่า มีประสิทธิภาพมาก สามารถกักขยะไว้ในทุ่นได้จำนวนมาก” น้ำทิพย์ สำเภาประเสริฐ ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารแบรนด์และกิจการเพื่อสังคม ธุรกิจเคมิคอลส์ เอสซีจี กล่าว

ไม่หยุดพัฒนา “ทุ่นกักขยะลอยน้ำ” ให้ทรงประสิทธิภาพและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

การทำงานด้านนวัตกรรมไม่เคยสิ้นสุด เอสซีจียังคงเดินหน้าพัฒนาทุ่นกักขยะลอยน้ำให้มีประสิทธิภาพและตอบโจทย์ผู้ใช้งานมากขึ้น โดยรับฟังข้อคิดเห็นจากกลุ่มผู้ทำงานในพื้นที่ และจากการสำรวจหน้างานด้วยตนเอง พบว่า ตัวทุ่นลอยน้ำที่ทำหน้าที่คล้ายชูชีพใน Litter Trap รุ่นที่ 1 ไม่สามารถทนแดดทนฝนได้นาน ทำให้ต้องคอยเปลี่ยนวัสดุใหม่บ่อย ๆ  จึงนำไปสู่การพัฒนานวัตกรรม “ทุ่นกักขยะลอยน้ำ จาก HDPE-Bone” (SCG-DMCR Litter Trap Generation 2) โดยประยุกต์ทุ่นที่เอสซีจีออกแบบเพื่อใช้กับโซลาร์ฟาร์มลอยน้ำสำหรับผลิตพลังงานแสงอาทิตย์ (Floating Solar) มาทดลองใช้กับทุ่นกักขยะ ทำให้มีคุณสมบัติทนต่อกระแสน้ำ ทนแสงแดดได้ในระยะยาว และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงช่วยให้ทุ่นกักขยะรุ่นใหม่ตอบโจทย์การใช้งานได้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น ประกอบง่าย สะดวกในการขนย้าย และหากเสื่อมสภาพหรือได้รับความเสียหายยังสามารถนำมารีไซเคิลได้ทั้งหมดอีกด้วย

ปัจจุบัน เอสซีจี ร่วมกับกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ได้ติดตั้งทุ่นกักขยะลอยน้ำรวมกว่า 37 ชุด ใน 17 จังหวัด สามารถลดปริมาณขยะลงสู่ทะเลได้กว่า 71 ตัน

พลังจาก 3 ฝ่าย ปัจจัยความสำเร็จจัดการปัญหาขยะ

ภารกิจด้านจัดการขยะท้องทะเลไม่อาจจะทำได้เพียงข้ามวัน หรือจบเพียงแค่ผลิตทุ่นกักขยะ แต่ยังต้องอาศัยกลไกความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐ และภาคประชาสังคม โดยกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) จะเป็นผู้สำรวจข้อมูลพื้นที่ กำหนดจุดติดตั้ง ส่วนชุมชนในพื้นที่ช่วยจัดการขยะที่กักได้จากทุ่นฯ เพื่อนำไปคัดแยกและนำไปใช้ประโยชน์ต่อ เช่น ขยะอินทรีย์นำไปทำเป็นปุ๋ย พลาสติกใช้แล้วหรือวัสดุที่รีไซเคิลได้ ไปจำหน่ายสร้างรายได้ เป็นต้น

วิชัย มณีเนตร

 “กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง (ทช.) ได้รับความร่วมมือทั้งจากเอสซีจี และชุมชนในพื้นที่ โดยร่วมกันตั้งแต่การวิเคราะห์ปัญหา พัฒนานวัตกรรม จนไปถึงการลงมือแก้ไข โดยหลังจากที่ทาง ทช. ติดตั้งทุ่นกักขยะในแต่ละพื้นที่แล้ว จะมีการสร้างการมีส่วนร่วมด้วยการดึงชุมชนเข้ามาร่วมเก็บขยะ และคัดแยกตามระบบสากล ICC (International Coastal Cleanup) ด้วยการชั่งน้ำหนักขยะ พร้อมจดบันทึก เพื่อวิเคราะห์ว่าส่วนใหญ่แล้วขยะที่เกิดขึ้นในพื้นที่คือชนิดอะไร มากน้อยแค่ไหน นำไปสู่การบริหารจัดการร่วมกันต่อไป” นายวิชัย มณีเนตร ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งที่ 1 จ.ระยอง กล่าว

เพื่อแก้ปัญหาอย่างบูรณาการและยั่งยืน  เอสซีจี ได้ช่วยถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการคัดแยกขยะ และช่วยหาแหล่งปลายทางของขยะให้กับชุมชนด้วย หนึ่งในชุมชนที่เอสซีจีได้ร่วมขับเคลื่อน คือ กลุ่มวิสาหกิจอนุรักษ์ฟื้นฟูแม่น้ำระยองและป่าชายเลน จ.ระยอง ซึ่งเป็นการรวมกลุ่มของชุมชนที่อยู่ใกล้ปากน้ำ เพื่อนำขยะที่รีไซเคิลได้ไปจำหน่ายเพื่อให้เข้าสู่กระบวนการรีไซเคิลต่อไป เช่น ขวดแก้ว ขวดพลาสติก กระป๋อง ในขณะเดียวกัน เอสซีจีได้สนับสนุนให้ชุมชนรู้จักการจัดการขยะตั้งแต่ต้นทาง จนได้รับการยกระดับให้เป็น “ศูนย์เรียนรู้การจัดการขยะ” สร้างวิถีชุมชน LIKE (ไร้) ขยะ ภายในชุมชน สร้างมุมมองใหม่ให้เห็นคุณค่าของขยะ

กนกกร จำปาทอง 

นางสาวกนกกร จำปาทอง ประธานวิสาหกิจอนุรักษ์ฟื้นฟูแม่น้ำระยองและป่าชายเลน เผยว่า  “เพราะท้องถิ่นใคร ใครก็ต้องรัก เราต้องใช้ชีวิตและทำมาหากินอยู่ที่นี่ เราเห็นในน้ำมีขยะที่มากขึ้นทุกวัน จึงเกิดการรวมตัวกันจากจิตสำนึกของพวกเรา โดยกลุ่มอาสาสมัครจะนัดกันในวันที่น้ำขึ้น เพราะจะมีขยะเข้าในติดในทุ่นอย่างแน่นอน แล้วจึงเอาเรือออกไปและใช้สวิงช้อนขยะจากในทุ่นกักขยะใส่ตะกร้า และนำมาคัดแยกบนบก แต่ละครั้งสามารถเก็บขยะได้มากกว่า 500 กิโลกรัม ซึ่งช่วยทุ่นแรงเป็นอย่างดี เพราะไม่ต้องไปพายเรือเก็บตามข้างทางเหมือนเมื่อก่อน”

ความร่วมมือระดับโลก จัดการขยะทะเล ตามหลัก Circular Economy

จากความพยายามและความมุ่งมั่นของทุกภาคส่วน สู่การขยายเครือข่ายระดับโลกอย่าง The Ocean Cleanup ซึ่งมีเทคโนโลยีและนวัตกรรมที่ช่วยป้องกันขยะจากแม่น้ำไหลลงสู่ทะเลและมหาสมุทร จากประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยจะนำ The InterceptorTM มาติดตั้งในแม่น้ำเจ้าพระยาสำหรับดักจับขยะก่อนไหลลงสู่ทะเล ความร่วมมือในครั้งนี้ จะทำให้ประเทศไทยสามารถเก็บข้อมูลขยะในแม่น้ำเจ้าพระยาได้อย่างถูกต้องแม่นยำ เพื่อนำไปศึกษาความเป็นไปได้ในการนำขยะจากแม่น้ำมาสร้างประโยชน์สูงสุดตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy)

“ข้อดีของการดำเนินงานภายใต้ความร่วมมือ คือ ทำให้เกิด Impact มากขึ้น และ Speed ดีขึ้น เราสามารถนำความเก่งและความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านมาต่อยอดซึ่งกันและกันยั่งยืน  เช่น ทาง ทช. มีบุคลากรที่เชี่ยวชาญด้านทรัพยากรธรรมชาติหลายด้าน ส่วนเอสซีจีมีวัสดุและนวัตกรรมที่ช่วยตอบโจทย์  ชุมชนมีพลังขับเคลื่อนภายในพื้นที่  ผนวกกับเครือข่ายการทำงานทั้งในและต่างประเทศ เมื่อนำมาบูรณาการร่วมกัน จะช่วยให้สังคมและสิ่งแวดล้อมดีขึ้นอย่างยั่งยืน ” น้ำทิพย์ กล่าว

 

ฟื้นฟูระบบนิเวศทางทะเล เพิ่มความหลากหลายทางชีวภาพ

โครงการบ้านปลาเอสซีจี พื้นที่อนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลกว่า 47 ตารางกิโลเมตร ก่อให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพทางทะเลกว่า 172 ชนิด ด้วยโครงสร้างบ้านปลาที่ถูกคิดค้นออกแบบมาอย่างดี ประกอบกับการใช้ท่อ PE100 ที่ปลอดภัยและมีพื้นผิวเอื้อต่อการอาศัยของสัตว์น้ำทั้งเพรียงและหอย ส่งผลให้บ้านปลาถูกปกคลุมไปด้วยสัตว์น้ำมากมาย ปลาน้อยใหญ่เข้ามาใช้เป็นแหล่งพักอาศัยและหลบภัย การเพิ่มขึ้นของปริมาณสัตว์น้ำอย่างสมดุล ช่วยเพิ่มความสมบูรณ์ของทรัพยากรทะเลและชายฝั่ง สร้างสมดุลสู่ระบบนิเวศ และเป็นเสมือนคลังทรัพยากรในทะเลที่ชาวประมงสามารถทำมาหากินได้อย่างยั่งยืนชั่วลูกชั่วหลาน

หากเราจะรักษา “ทะเล” ให้คงความสวยงาม และเป็นแหล่งทรัพยากรอันทรงคุณค่าสู่รุ่นต่อ ๆ ไป เราต้องปิดฉากขยะทะเลที่รุ่นของเรา ด้วยวิถีชีวิตใหม่ที่ใส่ใจสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนความคิดจาก Me เป็น We มองเรื่องส่วนรวมก่อนเรื่องส่วนตัว เรื่องเล็ก ๆ ใกล้ ๆ ตัว เช่น การคัดแยกขยะในบ้าน การทิ้งขยะให้ถูกที่ แต่ผลลัพธ์ช่างยิ่งใหญ่ เปลี่ยนโลกใบนี้ได้ด้วยสองมือเรา

ผู้ที่สนใจข้อมูลเกี่ยวกับหลักเศรษฐกิจหมุนเวียน และการจัดการขยะ สามารถติดตามได้ที่ https://www.scg.com/sustainability/circular-economy/ และสามารถติดตามข่าวสารอื่นๆ ของเอสซีจีได้ที่ https://scgnewschannel.com / Facebook: scgnewschannel / Twitter: @scgnewschannel หรือ Line@: @scgnewschannel

 


Tags : เอสซีจี SCG พิทักษ์ทะเล น้ำทิพย์สำเภาประเสริฐ วิชัยมณีเนตร กนกกรจำปาทอง วันทะเลโลก รักษามหาสมุทร


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

กรุงเทพประกันชีวิต ร่วมกับ “มนุษย์ต่างวัย” ชวนทุกคนมาวางแผนอนาคตในการใช้ชีวิตตามเป้าหมายที่ต้องการ ทั้งเรื่องการเงิน การออม ไลฟ์สไตล์ สุขภาพ ไปจนถึงอาชีพหลังเกษียณที่ใช่ ตามสไตล์ของตัวเอง ด้วยแนวคิด “Financial Wellness” ยกทัพผู้เชี่ยวชาญและแบบประกันชีวิตดีๆ ที่ถูกออกแบบมาด้วยความใส่ใจ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับใช้ชีวิตในวัยเกษียณ ที่บูธ P4 กรุงเทพประกันชีวิต ในงานมนุษย์ต่างวัย Fest 2025: ชีวิตดี…ชีวิต ซีซัน 2 It’s Okay To Be You ระหว่างวันที่ 21-22 มิถุนายน 2568 ณ IMPACT Exhibition Center Hall 8 นอกจากนี้ ยังพบกับกิจกรรมเวิร์กช็อป “My Financial Blueprint” พิมพ์เขียวทางการเงินในแบบของตัวเอง โดย อาจารย์รัก ดร.อัจฉรา โยมสินธุ์ อาจารย์จากสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหารศาสตร์ และผู้เชี่ยวชาญด้านการเงิน ที่จะมาถอดรหัสสถานะทางการเงินของคุณ เพื่อสร้างอนาคตทางการเงินที่มั่นคง กิจกรรม “Wellness Check-up” ทำแบบทดสอบสุขภาพการเงิน เพื่อค้นหาเป้าหมายที่ใช่ และพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญการวางแผนตามเป้าหมายชีวิต และไฮไลท์เด็ด “Ask the Expert” เปิดให้คำปรึกษา วิเคราะห์และบริหารการเงินแบบตรงจุด กับนักวางแผนการเงินมืออาชีพ Certified Financial Planner - CFP® ลงทะเบียนจองเวลารับคำปรึกษาล่วงหน้าได้ที่ https://bla.bangkoklife.com/AsktheExpert พิเศษภายในงาน เพียงซื้อประกันชีวิตแบบใดก็ได้ (ยกเว้นแบบประกันยูนิต ลิงค์) พร้อมชำระเบี้ยประกันภัยปีแรกแบบรายปี และดาวน์โหลด ลงทะเบียน และเข้าใช้งานแอป BLA Happy Life ภายในวันที่ 31 ก.ค. 68 รับของสมนาคุณทันที 3 ต่อ กระเป๋าช้อปปิ้ง และบัตรกำนัล พร้อมสิทธิ์ลุ้นรางวัล รวมมูลค่ากว่า 2 ล้านบาท

19 Jun 2025

...

นางมยุรินทร์ สุทธิรัตนพันธ์ ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) เปิดเผยว่า สำนักงาน คปภ. โดยศูนย์ส่งเสริมเทคโนโลยีด้านการประกันภัย (CIT) เดินหน้าส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมในอุตสาหกรรมประกันภัยไทย ผ่านโครงการ OIC InsurTech Award อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ และทักษะด้านเทคโนโลยีประกันภัยแก่กลุ่มนิสิต นักศึกษา บุคลากรในธุรกิจประกันภัย กลุ่ม Tech Firm Tech Startup และประชาชนทั่วไป โดยมีเป้าหมายในการผลักดันให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีประกันภัยที่สามารถนำไปใช้ได้จริง เพิ่มโอกาสทางธุรกิจ และยกระดับคุณภาพของระบบประกันภัยของประเทศไทยให้เท่าทันกับการเปลี่ยนแปลงในยุคดิจิทัล ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการนี้เป็นเวทีสำคัญที่เปิดโอกาสให้นิสิตนักศึกษาได้แสดงศักยภาพผ่านการแข่งขันและการนำเสนอแนวคิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีประกันภัย ซึ่งหลายผลงานสามารถต่อยอดไปใช้จริงในภาคธุรกิจได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในเฟสแรกของกิจกรรม OIC InsurTech Roadshow ได้ลงพื้นที่มหาวิทยาลัยชั้นนำทั้งในกรุงเทพมหานคร และปริมณฑล เพื่อถ่ายทอดความรู้เรื่องการประกันภัย วงจรธุรกิจประกันภัย และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีในอุตสาหกรรมประกันภัย โดยได้รับความร่วมมือจากผู้บริหารสถาบันการศึกษาอย่างดียิ่ง และมีนิสิตนักศึกษาเข้าร่วมกว่า 500 ราย พร้อมทั้งจัดเวทีบรรยายให้ความรู้ในหัวข้อ “Insurance Value Chain : Transforming Insurance with Technology” และกิจกรรม Workshop สร้างสรรค์และระดมความคิดนวัตกรรม พร้อมบอกเล่าเทคนิคการจัดทำ Pitch Deck และ Business Model Canvas เพื่อเตรียมความพร้อมสู่เวทีประกวด OIC InsurTech Award 2025 มุ่งเฟ้นหานักพัฒนานวัตกรรมด้านเทคโนโลยีประกันภัยรุ่นใหม่และกระตุ้นความตื่นตัวในกลุ่มนักศึกษาอย่างแท้จริง สำหรับในส่วนของโครงการ OIC InsurTech Roadshow เฟสที่ 2 ขณะนี้อยู่ระหว่างการเร่งสร้างความตระหนักรู้ และส่งเสริมการพัฒนานวัตกรรมเทคโนโลยีประกันภัยในทุกภาคส่วนของประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชนและสถาบันการศึกษาทั่วประเทศ โดยได้เปิดรับสมัครผลงานเพื่อเข้าร่วมการประกวด OIC InsurTech Award 2025 ตั้งแต่วันนี้ ไปจนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 ผู้ที่สนใจสามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครเข้าร่วมโครงการได้ที่เว็บไซต์  https://cit.oic.or.th/insurtechaward2025.html “สำนักงาน คปภ. ขอขอบคุณคณะผู้บริหารและอาจารย์จากมหาวิทยาลัยต่าง ๆ รวมถึงวิทยากรและผู้เกี่ยวข้องทุกภาคส่วนที่มีส่วนสนับสนุนให้กิจกรรม Roadshow ครั้งนี้ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี สำนักงาน คปภ. มุ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ความรู้และแรงบันดาลใจที่ได้จากกิจกรรมนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นให้เกิดนวัตกรรมด้านเทคโนโลยีประกันภัยใหม่ ๆ ที่สามารถพลิกโฉมและยกระดับอุตสาหกรรมประกันภัยไทยสู่อนาคตที่ยั่งยืน” ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ กล่าวในตอนท้าย

19 Jun 2025

...

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยตัวเลขความก้าวหน้าบทบาทธนาคารเพื่อสังคม ในการสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงินแก่คนไทยกลุ่ม Unserved – Underserved ที่ยังมีการพึ่งพาแหล่งเงินนอกระบบด้วยมีข้อจำกัดด้านประวัติการเงินส่วนบุคคล และการให้สินเชื่อช่วยเหลือด้านสภาพคล่องแก่กลุ่มเปราะบาง โดยคาดว่าภายในปี 2568 ธนาคารจะสามารถปล่อยสินเชื่อช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ได้กว่า 1 ล้านรายตามเป้าหมาย รวมถึงความสำเร็จด้านการแก้หนี้ที่คาดว่าจะมีลูกหนี้ได้รับความช่วยเหลือผ่านมาตรการต่าง ๆ ที่ธนาคารริเริ่มดำเนินการ และที่เป็นมาตรการตามนโยบายรัฐบาล รวมแล้วเป็นจำนวนกว่า 920,000 บัญชีลูกหนี้  สำหรับนวัตกรรมการเงินเพื่อสังคมของธนาคาร ที่ช่วยสร้างโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงิน ประกอบด้วย 1) สินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาส สำหรับผู้ไม่มีประวัติเครดิตการเงิน อนุมัติแล้ว 150,000 ราย 2) สินเชื่อสร้างงานสร้างอาชีพ อนุมัติแล้ว 240,000 ราย 3) สินเชื่อต้อนรับเปิดเทอม อนุมัติแล้ว 110,000 ราย รวมถึงการให้สินเชื่อแก่ลูกค้ารายย่อย/ฐานราก ได้แก่ สินเชื่อธนาคารประชาชน สินเชื่อฉุกเฉินเพื่อผู้ประสบภัยพิบัติ อนุมัติแล้ว 120,000 ราย รวมจำนวนผู้ได้รับสินเชื่อแล้วทั้งสิ้น 620,000 ราย (ข้อมูล ณ เดือนพฤษภาคม 2568) ทั้งนี้ ธนาคารคาดว่าจะสามารถปล่อยสินเชื่อช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางได้ตามเป้าหมาย 1 ล้านราย ภายในปี 2568 นี้ ด้านภารกิจการแก้หนี้ช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ผ่านหลากหลายโครงการ อาทิ โครงการคุณสู้ เราช่วย ซึ่งธนาคารเป็นผู้มีบทบาทหลักในการขับเคลื่อนตามนโยบายกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย ตั้งเป้าช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อย/SMEs ลูกหนี้กลุ่มเปราะบางของสถาบันการเงินของรัฐ และลูกหนี้กลุ่ม Non-Bank โดยสามารถช่วยเหลือลูกหนี้แล้วกว่า 190,000 ราย จำนวน 300,000 บัญชีลูกหนี้ คิดเป็น 33% ของผู้ลงทะเบียนที่เป็นลูกหนี้ธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันทั้งระบบ (ข้อมูล ณ วันที่ 30 เมษายน 2568) นอกจากนี้ยังมีมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ธนาคารดำเนินการต่อเนื่อง อาทิ การลดเงินงวด-ขยายระยะเวลาผ่อนชำระของลูกหนี้สถานะปกติ / การลดเงินงวด-ลดดอกเบี้ย-ขยายระยะเวลาผ่อนชำระของลูกหนี้สถานะ NPLs / การบรรเทาภาระหนี้แก่ผู้ประสบภัยพิบัติแผ่นดินไหว รวมช่วยเหลือบรรเทาภาระลูกหนี้แล้ว จำนวนกว่า 119,000 บัญชี ทั้งนี้ ธนาคารอยู่ระหว่างเตรียมการช่วยเหลือเพิ่มเติม โดยทำโครงการแก้หนี้ NPLs วงเงินต่ำกว่า 1 แสนบาท ประกอบด้วยการยกหนี้ให้ลูกหนี้สินเชื่อสู้ภัยโควิด และการปิดบัญชีตัดหนี้สูญ (Write Off) รวมจำนวนกว่า 500,000 บัญชี ภายในเดือนกรกฎาคม 2568 นี้ ซึ่งคาดว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาและลดภาระหนี้แก่ลูกหนี้รวมทุกมาตรการได้กว่า 920,000 บัญชี ทั้งนี้ ธนาคารออมสินพร้อมสนับสนุนนโยบายรัฐบาล ตามข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เพื่อสร้างผลลัพธ์ขยายผลการสร้าง Social Impact ในวงกว้างและหลากหลายมิติทั้งทางเศรษฐกิจและสังคม

14 Jun 2025

...

SME D Bank ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล ช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดผลกระทบให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีจากสถานการณ์เศรษฐกิจ คิกออฟโครงการ “SME D ให้ใจ ไปถึงถิ่น” ยกทัพทีมงานสาขา พร้อมหน่วยสนับสนุนจากทั่วประเทศ ลงพื้นที่พร้อมกันไปมอบบริการถึงสถานประกอบการ แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจ ตลอดเดือนมิถุนายน 2568  อำนวยความสะดวกพาเข้าถึงแหล่งทุนดอกเบี้ยต่ำ เพียง 3%ต่อปี และการพัฒนา ช่วยยกระดับเพิ่มศักยภาพธุรกิจ  นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย" (ธพว.) หรือ SME D Bank   กล่าวว่า  SME D Bank ขานรับนโยบายรัฐบาลและกระทรวงการคลัง ที่ต้องการให้สถาบันการเงินของรัฐ เป็นกลไกสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมถึง ช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีที่ได้รับผลกระทบจากปัจจัยต่าง ๆ ทางเศรษฐกิจ  ทั้งความไม่แน่นอนของนโยบายภาษีนำเข้าสหรัฐอเมริกา การล้นทะลักของสินค้าจากต่างประเทศ เป็นต้น  ดังนั้น SME D Bank จึงทำงานเชิงรุกด้วยการดำเนินโครงการ “SME D ให้ใจ ไปถึงถิ่น” ยกทัพทีมงานสาขา พร้อมทีมสนับสนุนจากทั่วประเทศ กระจายลงพื้นที่ต่าง ๆ เพื่อไปมอบบริการสนับสนุนแก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีถึงสถานประกอบการ รวมถึง แหล่งการค้า และย่านเศรษฐกิจสำคัญต่างๆ ทั่วประเทศ จังหวัดละ 4-5 จุด  ตลอดเดือนมิถุนายน 2568 โดยกำหนดคิกออฟพร้อมกันในวันที่ 7 มิถุนายน 2568      ทั้งนี้ พร้อมให้บริการ ทั้งลูกค้าเก่าและลูกค้าใหม่ของธนาคารในแต่ละพื้นที่อย่างใกล้ชิดและทั่วถึงมากที่สุด  ประกอบด้วยบริการพาถึงเงินทุน ผ่านโครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐ (Public Service Account : PSA) วงเงินรวมกว่า 30,000 ล้านบาท ที่ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจและทุกความต้องการเอสเอ็มอีไทย จุดเด่นอัตราดอกเบี้ยต่ำเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3% ปีแรก  ผ่อนนานสูงสุดถึง 10 ปี  และปลอดชำระเงินต้นสูงสุด 12 เดือน สามารถแจ้งความประสงค์ยื่นกู้ได้ทันที หากเอกสารพร้อม รู้ผลการพิจารณาภายใน 10 วันทำการ ประกอบด้วย 1.สินเชื่อ “SME Green Productivity” วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาท  สนับสนุนผู้ประกอบการลงทุนติดตั้งระบบอุปกรณ์ โดยเฉพาะแผงโซลาร์เซลล์ เพื่อช่วยลดต้นทุนค่าพลังงาน และมุ่งสู่ธุรกิจสีเขียว   2.สินเชื่อ "ปลุกพลัง SME"  วงเงินกู้สูงสุด 1.5 ล้านบาท  สำหรับผู้ประกอบการรายเล็กที่มีรายได้ต่อปีไม่เกิน 2 ล้านบาท ช่วยต่อยอดเพิ่มสภาพคล่องในธุรกิจ และ 3.สินเชื่อ "Beyond ติดปีก SME"  วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท สำหรับผู้ประกอบการที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 2 ล้านบาทขึ้นไป  เพื่อเพิ่มศักยภาพยกระดับการดำเนินธุรกิจ  และเสริมสภาพคล่องในธุรกิจ สำหรับวงเงิน 30,000 ล้านบาท ที่จะอัดฉีดเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ จะมีส่วนสำคัญผลักดันให้เอสเอ็มอียกระดับเพิ่มศักยภาพ  เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพ ในทุกพื้นที่    ตั้งเป้าสนับสนุนเข้าถึงแหล่งทุนได้กว่า 14,000 กิจการ  รักษาการจ้างงานได้ประมาณ 198,000 คน และกระตุ้นเงินทุนหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจกว่า 160,000 ล้านบาท      อีกทั้ง ยังสนับสนุนด้านการพัฒนา ผ่านแพลตฟอร์ม "DX by SME D Bank" ช่วยเสริมแกร่งครบวงจร สามารถสมัครใช้บริการได้ทันทีเช่นกัน  มีฟังก์ชันสำคัญ เช่น ระบบ  “Business Health Check”  ตรวจสุขภาพทางธุรกิจ  ระบบ E-Learning รวบรวมหลักสูตรความรู้สำคัญ ช่วยเพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ เรียนรู้ได้ด้วยตัวเองตลอด 24 ชั่วโมง ระบบ SME D Activity  สามารถจองเข้าร่วมกิจกรรมเติมความรู้ได้ต่อเนื่องตลอดทั้งปี ระบบ SME D Coach มีโค้ชมืออาชีพคอยเป็นที่ปรึกษาและให้คำแนะนำธุรกิจ  ระบบ SME D Market ช่วยขยายตลาดด้วย E-marketplace หนุนจับคู่ธุรกิจ  และระบบ SME D Privilege  ที่มอบสิทธิประโยชน์พิเศษมากมาย การลงพื้นที่ดังกล่าว เจ้าหน้าที่ธนาคารจะรับแจ้งความต้องการจากผู้ประกอบการเอสเอ็มอี  ผ่านการลงทะเบียนออนไลน์เพียงสแกน QR Code ด้วยสมาร์ตโฟน และกรอกข้อมูลเข้าระบบ ซึ่งข้อมูลจะถูกส่งไปยังสาขาธนาคารในพื้นที่ที่ผู้ประกอบการระบุทันที จากนั้น เจ้าหน้าที่สาขาจะติดต่อกลับ เพื่อดำเนินการตอบความต้องการต่างๆ ของผู้ประกอบการอย่างฉับไวที่สุด      นอกจากนั้น ผู้ประกอบการเอสเอ็มอียังสามารถแจ้งความประสงค์รับบริการด้านการเงินและการพัฒนาจาก SME D Bank  ได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น สาขาของ SME D Bank ทุกแห่งทั่วประเทศ  ,  LINE Official Account : SME Development Bank  และเว็บไซต์  www.smebank.co.th เป็นต้น สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

10 Jun 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner