Responsive image

Thursday, 18 Sep 2025

หน้าแรก > INSURANCE / ประกันภัย - ประกันชีวิต


OCEAN LIFE ไทยสมุทร เผยปี 65 มีรายได้จากเบี้ยประกันชีวิต 15,008 ล้านบาท ปี 66 มุ่งโฟกัส Love Your Health ดูแลสุขภาพคนไทยด้วยพลังความรักครบวงจร

Sat 11/03/2566


คุณนุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ (CEO) บริษัท ไทยสมุทรประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี 2565 ถึงแม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID – 19 เริ่มคลี่คลาย ภาวะเศรษฐกิจไทยเริ่มฟื้นตัว สำหรับ OCEAN LIFE ไทยสมุทร เราไม่หยุดที่จะเดินหน้าสร้างการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ อย่างต่อเนื่องด้วยพลังความรัก ภายใต้แนวคิด LOVE MINDSET เพื่อสนับสนุนให้คนไทยพร้อมรับมือทุกความไม่แน่นอนของชีวิต จนสามารถก้าวข้ามผ่านความท้าทายต่าง ๆ สร้างรายได้จากเบี้ยประกันชีวิตรับรวมจำนวน 15,008 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน และทำกำไรสุทธิที่ 1,215 ล้านบาท พร้อมชูกลยุทธ์ปี 2566 เดินหน้าโฟกัสที่ความสำคัญของการรักสุขภาพ Love Your Health โดยมีเป้าหมายสร้างโลกใหม่ที่ดีขึ้นเพื่อคนรักสุขภาพ “Healthiverse” ตอบรับกระแสความต้องการด้าน Wellness & Prevention ช่วยคนไทยไม่ให้ป่วย ด้วยการส่งเสริมการดูแลสุขภาพครอบคลุมทั้งสุขภาพกายใจ พร้อมดูแลสังคม และสิ่งแวดล้อม ด้วยการพัฒนา Solution ด้านสุขภาพ ทั้งผลิตภัณฑ์ นวัตกรรม และบริการต่าง ๆ ครบวงจร

ปี 2565 เดินหน้าเอาชนะความท้าทายด้วย LOVE MINDSET

ปี 2565 บริษัทยังคงเดินหน้าต่อยอดสโลแกน “รักคือพลังของชีวิต” สู่แนวคิด LOVE MINDSET เพื่อสนับสนุนให้คนไทยพร้อมรับมือทุกความไม่แน่นอนของชีวิต ด้วยความรัก 3 ด้าน คือ รักสุขภาพ (Love Your Health) รักการออมวางแผนการเงิน (Love Your Wealth) และรักษ์โลกช่วยทำให้สังคมดีขึ้น (Love the World) ในขณะเดียวกันได้ใช้พลังความรักสร้างการเปลี่ยนแปลงในทุกมิติ พร้อมดูแลลูกค้าด้วยผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ และบริการดิจิทัลที่ครอบคลุมครบวงจร ส่งผลให้ในปี 2565 บริษัทสามารถสร้างการเติบโตที่แข็งแกร่งให้กับธุรกิจ มีรายได้จากเบี้ยประกันชีวิตรับรวม 15,008 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน โดยมีเบี้ยประกันชีวิตรายใหม่ จำนวน 2,857 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 4% และมีเบี้ยประกันชีวิตรับปีต่อไปที่ 12,151 ล้านบาท เติบโตเพิ่มขึ้น 2% โดยมีอัตราความคงอยู่ของกรมธรรม์ที่ 86% สามารถสร้างการเติบโตที่โดดเด่นในช่องทางดิจิทัลซึ่งตอบโจทย์ยุค Next Normal มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 22% และช่องทางธนาคาร (Bancassurance) มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะเดียวกันบริษัทยังได้ใช้ความสามารถในการบริหารพอร์ตลงทุน จนสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนได้ถึง 5.04% ส่งผลให้มีกำไรสุทธิจำนวน 1,215 ล้านบาท เติบโตขึ้น 28.5 %

ไม่หยุดพัฒนาศักยภาพรอบด้าน สร้างความยั่งยืนในทุกมิติ

OCEAN LIFE ไทยสมุทร ยังคงเดินหน้าใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีขับเคลื่อนธุรกิจเพื่อทำให้ประกันชีวิตเป็นเรื่องง่ายสำหรับคนไทย ในขณะเดียวกันได้เล็งเห็นโอกาสจากการที่ประชาชนหันมาสนใจวางแผนบริหารความเสี่ยงด้านสุขภาพมากขึ้น จึงได้เดินหน้าพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพที่มีความหลากหลาย ครอบคลุมในทุกกลุ่มทุกไลฟ์สไตล์ สนองตอบความต้องการที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพื่อให้ทุกคนพร้อมเผชิญวิกฤตในอนาคต รวมทั้งได้เร่งสร้างสรรค์นวัตกรรมการบริการด้านสุขภาพออนไลน์ (Digital Healthcare Services) ที่ใช้เทคโนโลยีดิจิทัลช่วยดูแลสุขภาพแบบองค์รวมทั้งก่อนป่วย ระหว่างป่วย และหลังป่วย เพื่อสร้างสุขภาพที่ดีและความเป็นอยู่ที่ดียิ่งกว่าให้กับลูกค้าของเรา ในขณะที่ช่องทางตัวแทนประกันชีวิตเป็นช่องทางหลักของธุรกิจ OCEAN LIFE ไทยสมุทรได้ยกระดับตัวแทนประกันชีวิต สู่ที่ปรึกษาประกันชีวิต ด้วยการอบรมพัฒนาความสามารถอย่างเข้มข้น พร้อมใช้นวัตกรรมสร้างเครื่องมือช่วยขายที่ทันสมัย ใช้งานง่าย ให้ที่ปรึกษาประกันชีวิตสามารถนำเสนอผลิตภัณฑ์ได้อย่างรวดเร็ว และตรงตามความต้องการลูกค้าอย่างแท้จริง นอกจากนั้นบริษัทยังมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยการบริหารจัดการด้วยความรอบคอบและการกำกับดูแลที่มีประสิทธิภาพ พร้อมเปิดนโยบายการพัฒนาอย่างยั่งยืน Sustainable with Love ซึ่งประกอบด้วย 3 แกนหลัก และ 2.แรงผลักดัน 1. Health – ความยั่งยืนด้านสุขภาพ สนับสนุนให้ทุกคนรักสุขภาพ ใช้ชีวิตไม่ประมาท 2. Wealth – ความยั่งยืนทางการเงิน สนับสนุนความรักการออมและวางแผนการเงิน 3. World – ความยั่งยืนของโลกและสังคมที่ดี สนับสนุนการรักษาและดูแลโลก สังคม สิ่งแวดล้อม และมีธรรมาภิบาลตามแนวทาง ESG โดยมี 2 พลังผลักดันสนับสนุนให้เกิดขึ้นจริง ได้แก่ People, Culture & Partnerships สร้างจิตสำนึกและพันธมิตรในการสร้างความยั่งยืน และ Technology & Innovation - สร้างนวัตกรรมและเทคโนโลยีช่วยขับเคลื่อนโครงการด้านความยั่งยืนให้เป็นเรื่องง่าย ทำให้ ณ สิ้นปี 2565 OCEAN LIFE ไทยสมุทร ยังคงยืนยันถึงความมั่นคงของบริษัทในการดำเนินธุรกิจด้านประกันชีวิตมากว่า 74 ปี ด้วยสินทรัพย์รวมทั้งสิ้น 98,167 ล้านบาท เงินสำรองประกันชีวิต จำนวน 78,785 ล้านบาท และมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน Capital Adequacy Ratio (CAR) อยู่ในระดับแข็งแกร่งที่ 435.28% นับว่าเป็นอันดับต้น ๆ ของธุรกิจประกันชีวิต และสูงกว่าเงินกองทุนขั้นต่ำที่กฎหมายกำหนดที่ 120% ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นการตอกย้ำความเชื่อมั่นให้กับลูกค้า และคนไทยที่มองประกันชีวิตและประกันสุขภาพเพื่อให้ความคุ้มครองที่คุ้มค่า

 

ปี 2566 ส่งมอบความรักสุขภาพให้คนไทย ด้วย 8 แนวคิดรักสุขภาพ

ปี 2566 OCEAN LIFE ไทยสมุทร เดินหน้าโฟกัส Love Your Health ให้คนไทยรักสุขภาพ ภายใต้แนวคิด LOVE MINDSET ด้วยการส่งเสริมให้คนไทยดูแลสุขภาพครอบคลุมทั้งสุขภาพกาย ใจ สังคม สิ่งแวดล้อม ครบทุกองค์ประกอบ ทั้งทางตรงและทางอ้อมที่มีผลต่อสุขภาพที่ดี พร้อมสร้างความตระหนักรู้ ก่อให้เกิดนวัตกรรม และกิจกรรมที่ทำให้การดูแลสุขภาพเป็นเรื่องง่าย โดยผสานความร่วมมือกับพันธมิตร ผู้เชี่ยวชาญช่วยแนะนำให้คำปรึกษา เพื่อวางแผนให้ใช้ชีวิตโดยไม่ป่วย พร้อมปิดความเสี่ยงด้วยการประกันชีวิต มุ่งลดค่าใช้จ่ายสุขภาพ และมีคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืน ประกอบด้วย 8 แนวคิด โดยมีเป้าหมายสร้างโลกใหม่ที่ดีขึ้นเพื่อคนรักสุขภาพ “Healthiverse”

1.HEALTH Knowledge สื่อสารความรู้ข้อมูลสุขภาพที่ถูกต้อง และเป็นประโยชน์กับประชาชนโดยรวม ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของบริษัท โดยเฉพาะช่องทางออนไลน์ ด้วยความร่วมเป็นอย่างดีจากโรงพยาบาลเครือข่าย และพันธมิตรทางธุรกิจ

2.HEALTH Products พัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันสุขภาพ และโรคร้ายแรง ให้มีความหลากหลาย ตอบโจทย์ลูกค้าในทุกกลุ่มทุกระดับ ง่ายสำหรับลูกค้าในการทำความเข้าใจผลิตภัณฑ์ เพื่อให้เป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยลูกค้าในการบริหารจัดการคุณภาพชีวิตให้ดีได้อย่างยั่งยืน 

3.HEALTH Consultant ยกระดับตัวแทนประกันชีวิต สู่การเป็นที่ปรึกษาประกันชีวิต ด้วยความสามารถในการนำเสนอการวางแผนด้านประกันชีวิตและสุขภาพให้กับคนไทย สอดรับกับความต้องการของลูกค้าในแต่ละช่วงวัย และตามไลฟ์สไตล์ พร้อมส่งเสริมให้ที่ปรึกษาประกันชีวิตมีความรู้ความเข้าใจผลิตภัณฑ์อย่างลึกซึ้ง เพื่อให้สามารถแนะนำผลิตภัณฑ์ได้อย่างมีคุณภาพ และตรงต่อความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า (Needs – Based Selling)

4.HEALTH Innovations ไม่หยุดที่จะพัฒนานวัตกรรมการดูแลสุขภาพครบวงจร เพื่อดูแลลูกค้าตั้งแต่ก่อนป่วย ในขณะที่ป่วย และหลังป่วย เพื่อส่งมอบสุขภาพที่ดี และคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งกว่าให้กับลูกค้า

5.HEALTH E-Services พัฒนาการบริการหลังการขายในรูปแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสามารถเชื่อมต่อรับบริการจากเราได้เพียงปลายนิ้ว ในทุกที่ทุกเวลาที่ต้องการ โดยล่าสุดได้เปิดตัวกรมธรรม์อิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-Policy เพื่อให้ลูกค้าได้รับประโยชน์จากความคุ้มครองของประกันแบบต่าง ๆ ได้สะดวก รวดเร็วยิ่งขึ้น

6.HEALTH Partners จับมือกับ Health Tech startup และพันธมิตรต่าง ๆ เพื่อสร้างระบบนิเวศของการบริการสุขภาพ (Healthcare Ecosystem) ให้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วที่เกิดขึ้นในสังคม โดยใช้เทคโนโลยีเป็นตัวช่วยในระบบบริการสุขภาพ ทำให้ลูกค้าสามารถเข้าถึงบริการด้านสุขภาพที่สะดวก รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพสูงสุด

7.HEALTH Wellness & Prevention มุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิต ที่เสนอประกันสุขภาพในการดูแลสุขภาพลูกค้าในเชิงป้องกันและฟื้นฟู โดยการสนับสนุนการดูแลรักษาร่างกายตั้งแต่ยังไม่ป่วย ด้วยการดูแลตนเองให้ดี ใช้หลักกินดี นอนดี ขยันออกกำลังกาย และไม่เครียด 

8.HEALTH Lifestyle สร้างสรรค์กิจกรรมต่าง ๆ ผ่านเครื่องมือที่ล้ำสมัย ตอบสนองความต้องการยุคดิจิทัลที่หลายคนต้องการความสะดวกรวดเร็ว โดยเรามี OCEAN CLUB APP เป็นตัวช่วยในการดูแลสุขภาพลูกค้าตลอดช่วงชีวิต พร้อมสิทธิประโยชน์มากมายให้แลกรับ โดยล่าสุดได้จับมือกับ Yes Token เปลี่ยน OCHI Coin ที่สะสมให้เป็นเหรียญคริปโท และร่วมกับ AIS ด้วยการใช้ Ochi Coin โอนเป็น AIS Point

คุณนุสราฯ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ทั้ง 8 แนวคิดดังกล่าว นับเป็นการสร้างความยั่งยืนด้านสุขภาพ Sustainable Health ซึ่งเป็นหนึ่งในนโยบายด้านการพัฒนาอย่างยั่งยืน ภายใต้ชื่อ Sustainable with Love ซึ่ง OCEAN LIFE ไทยสมุทร ตั้งใจใช้พลังความรักช่วยสร้างโลกแห่งสุขภาพดีให้คนไทย เพื่อให้ทุกคนมีร่างกายที่แข็งแรง และจิตใจที่เข้มแข็ง มีภูมิคุ้มกันพร้อมเผชิญหน้ากับความผันผวน ไม่แน่นอน ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตได้อย่างดีที่สุด”

สนใจร่วมสร้างสุขภาพดีไปกับ OCEAN LIFE ไทยสมุทร ด้วยผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมที่หลากหลาย ผ่านทาง OCEAN CLUB APPLICATION / LINE : @oceanlife / Facebook : Oceanlifepage และเว็บไซต์ www.ocean.co.th  หรือติดต่อศูนย์ลูกค้าสัมพันธ์ โทร.0 2207 8888


 


Tags : OCEAN LIFE ไทยสมุทร นุสรา (อัสสกุล) บัญญัติปิยพจน์ ไทยสมุทรประกันชีวิต ไทยสมุทรเผยรายได้ปี2565 ไทยสมุทรเผยแผนงานปี2566


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสินเปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลังยังเผชิญแรงกดดันทั้งปัจจัยภายในและภายนอกประเทศ โดยเฉพาะการส่งออกที่ชะลอจากนโยบายภาษีทางการค้าและการท่องเที่ยวที่หดตัว ทั้งยังต้องเผชิญปัญหาโครงสร้าง อาทิ ภาวะหนี้ครัวเรือนและหนี้สาธารณะที่เพิ่มขึ้น การเข้าไม่ถึงแหล่งเงินในระบบ ส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการ SMEs ประชาชนกลุ่มฐานราก และผู้ประกอบการรายย่อย ธนาคารออมสินจึงเดินหน้ายุทธศาสตร์การเป็นธนาคารเพื่อสังคม ภายใต้ 4 ภารกิจหลัก เพื่อลดความเหลื่อมล้ำทางการเงินและสร้างโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม ให้กับประชาชนกลุ่มฐานรากและผู้ประกอบการ SMEs โดยเฉพาะบทบาทการสนับสนุนภาครัฐในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่ธนาคารพร้อมเป็นเครื่องยนต์ทางการเงินในการให้ความช่วยเหลือและประคับประคองผู้ประกอบการ SMEs ซึ่งถือเป็นฟันเฟืองสำคัญของเศรษฐกิจ ให้ฟื้นตัวและก้าวข้ามช่วงเวลาที่ท้าทาย ธนาคารออมสินตระหนักถึงข้อจำกัดที่ผู้ประกอบการ SMEs ต้องเผชิญ ไม่ว่าจะเป็นการขาดสภาพคล่อง เงินทุนหมุนเวียน หรือภาระดอกเบี้ยที่สูง ธนาคารจึงพร้อมทำหน้าที่เป็น “แหล่งทุนต่อยอด” เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่อง เติมทุน และฟื้นฟูกิจการอย่างยั่งยืน โดยเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการเข้าถึงสินเชื่อในระบบด้วยเงื่อนไขที่เป็นธรรมและต่อเนื่อง ที่ผ่านมา ธนาคารได้ดำเนินโครงการสินเชื่อสำคัญหลายโครงการ เช่น สินเชื่อกระตุ้นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ GSB D-Home สร้างบ้านเพื่อคนไทย วงเงิน 10,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 3.50% ต่อปี อนุมัติแล้ว 6,000 ล้านบาท โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ (Soft Loan) GSB Boost Up Plus วงเงิน 100,000 ล้านบาท อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก 2.99% ต่อปี อนุมัติแล้ว 98,700 ล้านบาท   รวมถึงมีโครงการใหม่ ทั้ง Soft Loan เพื่อให้ความช่วยเหลือทางการเงินแก่ผู้ประกอบกิจการใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ วงเงินกู้สูงสุด 20 ล้านบาทต่อราย และโครงการสินเชื่อเสริมสภาพคล่องประมง ระยะ 3 วงเงินโครงการ 2,000 ล้านบาท วงเงินกู้สูงสุด 10 ล้านบาทต่อราย เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนให้ผู้ประกอบการประมงและสนับสนุนนโยบายรัฐในการบริหารจัดการทรัพยากรสัตว์น้ำอย่างยั่งยืน ล่าสุด เตรียมออก Soft Loan เพิ่มเติม วงเงินโครงการ 100,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินคิดอัตราดอกเบี้ยเพียง 0.01% ต่อปี ให้สถาบันการเงินที่เข้าร่วมโครงการนำไปปล่อยต่อให้กับผู้ประกอบการ SMEs ในอัตราดอกเบี้ยไม่เกิน 3.50% ต่อปี ใน 2 ปีแรก เพื่อช่วยเสริมสภาพคล่องและพัฒนาศักยภาพธุรกิจไทยให้เข้าถึงแหล่งทุนในระบบได้ต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถดำเนินการได้ในเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกัน ธนาคารยังช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นผู้มีรายได้น้อย รวมถึงผู้ที่ไม่เคยเข้าถึงสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินมาก่อน โดย ณ 30 มิถุนายน 2568 ธนาคารได้ให้ความช่วยเหลือด้วยการปล่อยสินเชื่อผ่าน 3 ภารกิจสำคัญแบ่งเป็น การสร้างโอกาสในการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบสถาบันการเงินผ่านนวัตกรรมสินเชื่อเพื่อสังคมกว่า 680,000 ราย การแก้ไขปัญหาหนี้ที่ช่วยลูกหนี้ไม่ให้เสียประวัติทางการเงินกว่า 800,000 ราย และการพัฒนาศักยภาพชุมชนผ่านการสร้างอาชีพ และส่งเสริมการออม โดยมีผู้ได้รับประโยชน์กว่า 250,000 ราย   ธนาคารจะยังเดินหน้าขยายผลสร้าง Social Impact อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้บรรลุเป้าหมายการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง ปีละไม่ต่ำกว่า 2 ล้านคน ผ่าน 4 ภารกิจหลัก ควบคู่กับการบูรณาการเทคโนโลยีและนวัตกรรม AI เข้ามาช่วยยกระดับการดำเนินงานและการให้บริการทางการเงิน ไฮไลท์สำคัญ ได้แก่ “AI Optimized Loan Processing and Underwriting” ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการอนุมัติสินเชื่ออย่างรวดเร็วและแม่นยำ ตลอดจนลดระยะเวลาอนุมัติสินเชื่อและต้นทุนการดำเนินงาน และ “AI Chatbot for Branch” ผู้ช่วยพนักงานสาขาในการค้นหาข้อมูลอย่างสะดวก รวดเร็ว และช่วยเพิ่มความแม่นยำในการให้บริการมากขึ้น โดยจะเริ่มใช้งานในไตรมาส 4 ของปีนี้ ทั้งหมดนี้เพื่อยกระดับบริการทางการเงินให้ครบวงจร และเร่งขับเคลื่อนเศรษฐกิจฐานรากให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน    

18 Sep 2025

...

เอไอเอ ประเทศไทย สานต่อโครงการ “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยได้รับความร่วมมืออย่างต่อเนื่องจากกระทรวงศึกษาธิการ สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (depa) และ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เปิดรับสมัครโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาทั่วประเทศเข้าร่วมโครงการเพื่อชิงรางวัลรวมกว่า 2 ล้านบาท และมีโอกาสได้เป็นตัวแทนประเทศไทย เข้าร่วมการแข่งขันในระดับนานาชาติ เพื่อชิงรางวัลอีกกว่า 3.5 ล้านบาท รวมมูลค่ารางวัลสูงสุดถึง 5.5 ล้านบาท ตอกย้ำถึงพันธกิจ AIA One Billion ของเอไอเอ ที่มุ่งสนับสนุนเยาวชนและผู้คนในภูมิภาคเอเชียกว่าหนึ่งพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญา ‘Healthier, Longer, Better Lives’ โครงการแข่งขัน “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” เป็นโครงการที่กลุ่มบริษัทเอไอเอ และเอไอเอ ประเทศไทย ริเริ่มขึ้นเพื่อมุ่งเสริมสร้างและปลูกฝังพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่ดีต่อสุขภาพของนักเรียนที่มีอายุระหว่าง 5 - 16 ปี โดยมุ่งเน้นใน 4 ด้านสำคัญ ได้แก่ 1) การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ 2) การใช้ชีวิตอย่างกระฉับกระเฉง 3) การมีสุขภาพใจที่ดี และ 4) การดูแลสิ่งแวดล้อมเพื่อความยั่งยืน โดยปีที่ผ่านมา โครงการฯ ได้รับเสียงตอบรับที่ยอดเยี่ยมจากโรงเรียนทั่วประเทศที่เข้าร่วมโครงการจำนวนมากกว่า 1,100 โรงเรียน และส่งผลงานเข้าประกวดถึง 130 โรงเรียน ซึ่งมีโรงเรียนที่ได้รับรางวัลชนะเลิศทั้งสิ้น 27 โรงเรียน โดยโรงเรียนที่ชนะระดับประถมศึกษา ได้แก่ โรงเรียนบ้านจันทัย จังหวัดอุบลราชธานี และโรงเรียนที่ชนะระดับมัธยมศึกษา ได้แก่ โรงเรียนเทศบาล 1 กิตติขจร จังหวัดตาก ซึ่งยังสามารถคว้ารางวัล ชนะเลิศด้านการดูแลสุขภาพและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน จากเวทีระดับภูมิภาค สำหรับโรงเรียนระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาที่สนใจ สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการ “สุดยอดโรงเรียนสุขภาพดี - AIA Healthiest Schools” ปีที่ 4  และดาวน์โหลดสื่อการสอนได้โดยไม่มีค่าใช้จ่ายได้ที่ www.ahs.aia.com/th/th/ ตั้งแต่วันนี้ ถึง 10 มีนาคม 2569  

16 Sep 2025

...

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank โดยนายเขมชาติ อภิรัชตานนท์ รองกรรมการผู้จัดการ  พร้อมผู้บริหาร และพนักงานธนาคาร เป็นตัวแทนเข้ารับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2568  จากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.) สาขาการบริหารราชการแบบมีส่วนร่วม ประเภทเปิดใจใกล้ชิดประชาชน ระดับดี จากโครงการ “Smart SME : นวัตกรรมเพื่อผู้ประกอบการ SMEs สู่การเติบโตอย่างยั่งยืน”  จากการดำเนินงานโดดเด่นตลอดปี 2567 ในการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีดิจิทัล มาสนับสนุนผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ให้เข้าถึงบริการ “พัฒนาคู่เติมทุน” ช่วยเพิ่มศักยภาพการแข่งขัน ผลักดันธุรกิจเติบโต สร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจ และวางรากฐานสู่ความยั่งยืน  เช่น มีแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank  เติมเต็มความรู้ครบวงจรได้ตลอด 24 ชม.  มีกระบวนการรับฟังเสียง เช่น  VOCs , Chatbot , Social Listening และระบบการจัดการความรู้ (KM Platform) บน Microsoft SharePoint เพื่อจัดเก็บและเผยแพร่องค์ความรู้ภายในองค์กรอย่างมีประสิทธิภาพ ควบคู่กับการเสริมสร้างวัฒนธรรมการบริหารความเสี่ยง (Risk Culture) ให้เกิดขึ้นในทุกระดับขององค์กร ผ่านกิจกรรมส่งเสริมความรู้ ความเข้าใจ และการสื่อสารอย่างเป็นระบบ พร้อมขับเคลื่อนองค์กรภายใต้หลักธรรมาภิบาล (Good Governance) มุ่งเน้นความโปร่งใส การมีส่วนร่วม และความรับผิดชอบ   สำหรับรางวัลเลิศรัฐ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อมอบรางวัลให้กับหน่วยงานภาครัฐและรัฐวิสาหกิจที่มีความโดดเด่น ในการพัฒนาประสิทธิภาพการให้บริการ การบริหารราชการแบบมีส่วนร่วมและการบริหารจัดการภาครัฐเพื่อให้ภาครัฐพัฒนาไปสู่ความทันสมัย สร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อระบบราชการและส่งผลให้ประชาชนได้รับบริการที่ดีและเกิดความเชื่อมั่นในระบบราชการ  โดยปีนี้ (2568) ได้รับเกียรติจาก ศาสตราจารย์กิตติคุณ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ กรรมการตรวจสอบและประเมินผลภาคราชการ เป็นประธานในพิธีและมอบรางวัล  อีกทั้ง นายไมตรี อินทุสุต ประธานคณะทำงานเสริมสร้างประสิทธิภาพการบริหารงานจังหวัดแบบบูรณาการ และผู้ทรงคุณวุฒิในคณะทำงานตรวจประเมินรางวัลเลิศรัฐ  สำนักงาน ก.พ.ร. เป็นผู้ร่วมมอบรางวัล  จัด ณ ห้องรอยัล จูบิลี่ บอลรูม อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี    

12 Sep 2025

...

ธ.ก.ส. เดินหน้าช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง-นาปี กว่า 4.63 ล้านครัวเรือน ได้แก่ โครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 โครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 กรอบวงเงินรวมกว่า 5 หมื่นล้านบาท โดยสนับสนุนเงินช่วยเหลือไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ รวมสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาท โอนเงินรอบแรกตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป วงเงินรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท เกษตรกรผู้รับประโยชน์กว่า 2.48 ล้านราย พร้อมจัดมาตรการรักษาเสถียรภาพราคาข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 ได้แก่ สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี    โดยรัฐบาลชำระดอกเบี้ยแทนเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร พร้อมสนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกอีก 1,500 บาทต่อตัน และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร ปีการผลิต 2568/69 สถาบันฯ ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลและ ธ.ก.ส. รับชำระดอกเบี้ยแทน ตั้งเป้ารองรับปริมาณข้าวเปลือกรวม 4.5 ล้านตัน นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) เปิดเผยว่า เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและส่งเสริมให้เกษตรกรมีรายได้เพียงพอต่อการดำรงชีพ ลดค่าใช้จ่ายในการเพาะปลูกข้าว รวมถึงสนับสนุนให้เกษตรกรผู้ปลูกข้าวมีแรงจูงใจในการพัฒนาประสิทธิภาพและคุณภาพของการผลิตข้าว ธ.ก.ส. พร้อมดำเนินงานตามมติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2568 และที่ประชุมคณะกรรมการ ธ.ก.ส. เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2568 โดยมี นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ในฐานะประธานกรรมการ ธ.ก.ส. เป็นประธานในที่ประชุม ได้เห็นชอบให้ ธ.ก.ส. ดำเนินโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริม การเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 จำนวนรวมกว่า 4.63 ล้านครัวเรือน โดยพร้อมสนับสนุนเงินช่วย/เหลือให้กับเกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนผู้ปลูกข้าวกับกรมส่งเสริมการเกษตร กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ปีการผลิต 2568/69 ในอัตราไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ หรือไม่เกิน 10,000 บาท สำหรับผู้ปลูกข้าวนาปรัง ระยะเวลาดำเนินการ ตั้งแต่วันที่ 19 สิงหาคม 2568 จนถึง 31 ธันวาคม 2568 และสำหรับผู้ปลูกข้าวนาปี ระยะเวลาดำเนินการตั้งแต่ 19 สิงหาคม 2568 – 30 กันยายน 2569 ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบสถานะโอนเงินและจำนวนเงินที่ได้รับได้ทาง https://govtransfer.baac.or.th หรือ Line Official : @baacfamily   สำหรับการโอนเงินให้เกษตรกร ธ.ก.ส. ได้จัดทำแผนการโอนเงินให้แก่เกษตรกรรอบแรก ตามรายชื่อผู้ที่ขึ้นทะเบียนสำเร็จจากกรมส่งเสริมการเกษตร โดยจะเริ่มโอนเงินครั้งแรกตั้งแต่วันที่ 1 กันยายน 2568 เป็นต้นไป กรอบวงเงินรวม 2 หมื่นล้านบาท เกษตรกรผู้รับประโยชน์กว่า 2.48 ล้านราย โดยมีรายละเอียดการโอนเงิน ดังนี้ สำหรับโครงการสนับสนุนเงินช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปรัง ปี 2568 ธ.ก.ส. จะดำเนินการโอนเงินไปยังเกษตรกรทั่วประเทศในวันจันทร์ที่ 1 กันยายน 2568 จำนวนเกษตรกรผู้ได้รับประโยชน์ จำนวน 769,461 ราย  กรอบวงเงินกว่า 6,280 ล้านบาท และโครงการสนับสนุนช่วยเหลือเกษตรกรผู้ปลูกข้าวนาปีและส่งเสริมการเพาะปลูกให้เหมาะสมกับศักยภาพพื้นที่ ปีการผลิต 2568/69 ธ.ก.ส. จะดำเนินการโอนเงินแบ่งเป็น 3 รอบตามภูมิภาค ได้แก่  รอบที่ 1 : วันอังคารที่ 2 กันยายน 2568 เกษตรกรในพื้นที่ภาคเหนือ จำนวน 286,831 ราย  กรอบวงเงิน 2,459 ล้านบาท รอบที่ 2 : วันพุธที่ 3 กันยายน 2568 เกษตรกรในพื้นที่ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จำนวน 1,291,298 ราย กรอบวงเงิน 10,586 ล้านบาท และรอบที่ 3 : วันพฤหัสบดีที่ 4 กันยายน 2568 เกษตรในภูมิภาคอื่น ๆ ที่เหลือ จำนวน 137,478 ราย กรอบวงเงิน 1,254 ล้านบาท ทั้งนี้ ส่วนที่เหลือกระทรวงเกษตรและสหกรณ์จะดำเนินการตรวจสอบและยืนยันการผลิตข้าวจากเกษตรกร และหลังจากได้รับการยืนยัน จะดำเนินการส่งข้อมูลให้กับ ธ.ก.ส. เพื่อดำเนินการโอนเงินช่วยเหลือต่อไป   นอกจากนี้ ธ.ก.ส. พร้อมเติมทุนสนับสนุนผ่านมาตรการรักษาเสถียรภาพข้าวเปลือก ปีการผลิต 2568/69 กรอบวงเงินรวมกว่า 50,000 ล้านบาท ได้แก่ สินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี วงเงินรวม 35,000 ล้านบาท เพื่อป้องกันผลผลิตข้าวเปลือกล้นตลาด รวมถึงส่งเสริมให้เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรเก็บข้าวเปลือกไว้ในยุ้งฉางจนกว่าจะถึงช่วงที่ขายได้ราคาดี โดยรัฐบาลชำระดอกเบี้ยแทนเกษตรกรและสถาบันเกษตรกร เกษตรกรกู้ได้รายละไม่เกิน 300,000 บาท สหกรณ์การเกษตรและชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งละไม่เกิน 300 ล้านบาท กลุ่มเกษตรกรแห่งละไม่เกิน 20 ล้านบาท และวิสาหกิจชุมชนแห่งละไม่เกิน 5 ล้านบาท เกษตรกรและสถาบันเกษตรกรไม่ต้องชำระดอกเบี้ย เนื่องจากรัฐบาลรับภาระในการชำระดอกเบี้ยแทน ตั้งเป้าหมายรองรับปริมาณข้าวเปลือกจากท้องตลาด 3 ล้านตัน โดยมีประเภทข้าวเปลือกที่เข้าร่วมโครงการ ดังนี้ ข้าวเปลือกหอมมะลิในเขต 23 จังหวัด ได้แก่ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 20 จังหวัด และภาคเหนือ 3 จังหวัด (เชียงราย เชียงใหม่ พะเยา)  ข้าวเปลือกหอมมะลินอกเขต 23 จังหวัด ข้าวเปลือกเจ้า ข้าวเปลือกปทุมธานีและข้าวเปลือกเหนียว นอกจากนี้ ธ.ก.ส. ยังพร้อมสนับสนุนค่าฝากเก็บและรักษาคุณภาพข้าวเปลือกให้อีก 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรเก็บข้าวเองได้รับ 1,500 บาทต่อตัน กรณีเกษตรกรฝากข้าวกับสถาบันเกษตรกร เกษตรกรจะได้รับ 500 บาทต่อตัน และสถาบันฯ จะได้รับ 1,000 บาทต่อตัน โดยแจ้งความประสงค์ได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป และทำสัญญาภายใน 28 กุมภาพันธ์ 2569 และสินเชื่อเพื่อรวบรวมข้าวและสร้างมูลค่าเพิ่มโดยสถาบันเกษตรกร วงเงินรวม 15,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนเงินทุนให้สถาบันเกษตรกรในการรวบรวมผลผลิตจากเกษตรกร หรือการนำผลผลิตมาแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่มเพื่อจำหน่ายในตลาด โดยสถาบันฯ ชำระดอกเบี้ยร้อยละ 1 ต่อปี ส่วนที่เหลือรัฐบาลและ ธ.ก.ส. รับชำระดอกเบี้ยแทน ระยะเวลาดำเนินโครงการ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 – 31 ธันวาคม 2569 และจ่ายเงินกู้ภายใน 30 กันยายน 2569 โดยทั้ง 2 โครงการ ตั้งเป้ารองรับปริมาณข้าวเปลือกรวม 4.5 ล้านตัน นอกจากนี้ สำหรับเกษตรกรรายย่อยที่เข้าร่วมมาตรการพักชำระหนี้ให้กับลูกหนี้รายย่อยตามนโยบายรัฐบาล สามารถเข้าร่วมโครงการสินเชื่อชะลอการขายข้าวเปลือกนาปี ปีการผลิต 2568/69 ได้ตามปกติ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555  

04 Sep 2025

Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner