Responsive image

Tuesday, 13 May 2025

หน้าแรก > SOCIETY / ภาพข่าว - CSR - ข่าวการเมือง


เมืองไทยประกันชีวิต พร้อมด้วยมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ผนึกกำลังกรมกิจการผู้สูงอายุ จัดการอบรมหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ Care Giver

Mon 13/11/2566


เมืองไทยประกันชีวิตและมูลนิธิเมืองไทยยิ้มจับมือกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์  จัดอบรม โครงการ การอบรมหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ Care Giver  หลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง  เพื่อจัดฝึกอบรมให้กับประชาชนทั่วไปหรือผู้ที่สนใจให้มีทักษะความรู้ที่จำเป็นในการดูแลผู้สูงอายุ ตอบรับสถานการณ์การเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุของไทย

นายสาระ ล่ำซำ  ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เมืองไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)   กล่าวว่า “ปัจจุบันประเทศไทยก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุโดยสมบูรณ์  ซึ่งเป็นเรื่องที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง  กับประเทศไทยที่จะต้องท้าทายในหลายด้าน อาทิ ปัญหาทางด้านเศรษฐกิจเกี่ยวกับการจัดการทางการเงินและการออม การจัดสวัสดิการสังคมที่เหมาะสม การเข้าถึงบริการด้านสุขภาพ และการปรับตัวให้เข้ากับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ประเทศไทยยังมีจำนวนบุคลากรที่มีความรู้และความเข้าใจในการดูแลผู้สูงอายุอย่างถูกต้องไม่เพียงพอต่อการดูแลผู้สูงอายุ ตลอดจนขาดการดูแลผู้สูงอายุอย่างมีคุณภาพในหลายชุมชนและหลายระดับในสังคม  

บริษัทฯ เล็งเห็นถึงความสำคัญในประเด็นดังกล่าว จึงได้ร่วมมือกับ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม และกรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เพื่อสร้างสังคมแห่งการเรียนรู้และส่งเสริมสนับสนุนการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุให้อยู่ดีมีสุขอย่างยั่งยืน โดยจัดโครงการสร้างผู้ดูแลผู้สูงอายุ (Care Giver) ซึ่งเป็นแนวคิดที่เน้นการจัดฝึกอบรมและพัฒนาศักยภาพบุคลากรให้มีทักษะความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุอย่างมีมาตรฐาน เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นนำความรู้ที่ได้รับไปปรับใช้ในการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวและชุมชนได้อย่างมีคุณภาพ และป้องกันปัญหาการเข้าสู่ภาวะพึ่งพิงของผู้สูงอายุ ส่งผลให้สอดคล้องกับความต้องการของผู้สูงอายุที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นในสังคมอยู่ในขณะนี้

สำหรับการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุเบื้องต้น  จำนวน 18 ชั่วโมง เป็นมาตรฐานหลักสูตรกลางของประเทศไทยในการจัดอบรมผู้ดูแลผู้สูงอายุสำหรับสมาชิกในครอบครัว อาสาสมัคร ประชาชนทั่วไป หรือผู้ที่สนใจ ซึ่งถูกกำหนดโดยคณะกรรมการผู้สูงอายุแห่งชาติ โดยหลักสูตรดังกล่าวมีกรมกิจการผู้สูงอายุ  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบทำหน้าที่ในการกำกับดูแลหลักสูตร โดยเมื่ออบรมผ่านตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดในหลักสูตร ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับประกาศนียบัตร สำหรับการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวและชุมชน 

โครงการดังกล่าวได้จัดฝึกอบรมให้กับประชาชนทั่วไป หรือผู้ที่สนใจ รวมถึงพนักงานเจ้าหน้าที่ของบริษัทเมืองไทยประกันชีวิต โดยมุ่งหวังให้ผู้เข้ารับการอบรมได้รับทักษะความรู้ที่จำเป็นในการดูแลผู้สูงอายุ อาทิเช่น การจัดการเวลาและการวางแผนทางการเงินสำหรับผู้สูงอายุ ความรู้ทั่วไปของผู้สูงอายุ สิทธิสวัสดิการสำหรับผู้สูงอายุ จิตวิทยาการดูแลสุขภาพใจผู้สูงอายุ การส่งเสริมสุขภาพ การปฐมพยาบาลผู้สูงอายุเบื้องต้น โรคที่พบบ่อยและกลุ่มอาการผู้สูงอายุ อาหารและโภชนาการสำหรับผู้สูงอายุ รวมถึง ทักษะพื้นฐานในการดูแลผู้สูงอายุ ซึ่งหัวข้อการอบรมครอบคลุมในทุกมิติของการดูแลผู้สูงอายุ

ทั้งนี้ การจัดอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุดังกล่าว จะเป็นประโยชน์อย่างมากสำหรับตัวผู้สูงอายุเอง สมาชิกในครอบครัวผู้สูงอายุ ผู้ดูแลผู้สูงอายุ หรือแม้กระทั่งอาสาสมัครที่เป็นจิตอาสาดูแลผู้สูงอายุในชุมชนในด้านของการเพิ่มพูนทักษะความรู้และเป็นการเตรียมความพร้อมรองรับการดูแลผู้สูงอายุในสถานการณ์สังคมผู้สูงอายุ โดยหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุจะช่วยให้สามารถดูแลผู้สูงอายุได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม ทั้งในด้านของการป้องกัน ส่งเสริม และดูแลสุขภาพผู้สูงอายุในภาวะปกติและฉุกเฉิน การเข้าใจการเปลี่ยนแปลงในผู้สูงอายุ การส่งเสริมการเข้าถึงสิทธิและสวัสดิการทางสังคม และการสร้างเจตคติที่ดีในการอยู่ร่วมกันกับผู้สูงอายุในสังคม เป็นต้น เพื่อช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพร่างกายและจิตใจที่แข็งแรง ลดปัญหาการเข้าสู่ภาวะพึ่งพิงในระยะยาว และมีความสุขในการดำเนินชีวิต ตลอดจนช่วยส่งเสริมสนับสนุนให้ชุมชนเข้ามาร่วมรับผิดชอบในการดูแลผู้สูงอายุและสร้างสังคมที่น่าอยู่

การจัดอบรมฯ  ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับเกียรติจาก นางสาวแรมรุ้ง วรวัธ อธิบดีกรมกิจการผู้สูงอายุ ให้เกียรติมาเป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง รุ่นที่ 1 ซึ่งกรมกิจการผู้สูงอายุ ในฐานะหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อนมาตรฐานการดูแลผู้สูงอายุ และเล็งเห็นถึงความสำคัญของการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุทุกกลุ่มเป้าหมายในสังคม มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งในการสนับสนุนการสร้างความร่วมมือกับหน่วยงานภาคีเครือข่ายทุกภาคส่วนที่ช่วยส่งเสริมการจัดอบรมสร้างผู้ดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวและชุมชน โดยมุ่งหวังให้เกิดประโยชน์สูงสุดให้กับผู้สูงอายุ

ในโอกาสนี้ บริษัทฯ ยังมุ่งมั่นเดินหน้าสนับสนุนการจัดอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นเบื้องต้น จำนวน 18 ชั่วโมง ในรุ่นต่อไป ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด  เพื่อขยายโอกาสในการเสริมสร้างทักษะความรู้ในการดูแลผู้สูงอายุในครอบครัวและชุมชนต่าง ๆ  และพร้อมสร้างความร่วมมือในการรับผิดชอบ
ต่อสังคมร่วมกันของการดูแลผู้สูงอายุอย่างยั่งยืน 

 

และนอกจากนี้บริษัทฯ ยังเล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดอบรมหลักสูตรการดูแลผู้สูงอายุขั้นสูง จำนวน 420 ชั่วโมง ซึ่งเป็นหลักสูตรที่ช่วยสร้างผู้ดูแลผู้สูงอายุที่เป็นมาตรฐานทางวิชาชีพ ทำให้เกิดบุคลากรในสาขาอาชีพผู้ดูแลผู้สูงอายุให้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น เพื่อรองรับจำนวนผู้สูงอายุ ที่เพิ่มสูงขึ้นในอนาคต และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของสาขาอาชีพผู้ดูแลผู้สูงอายุ เพื่อสร้างโอกาสในการประกอบอาชีพและให้เกิดรายได้ที่เหมาะสมและเป็นธรรมสำหรับบุคลากรเหล่านี้ รวมทั้งส่งผลให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่มีถูกต้องและเหมาะสม  โดยจะเป็นการช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ มีหลักประกันคุณภาพและการได้รับบริการที่เป็นมาตรฐาน

“การจัดฝึกอบรมและการพัฒนาศักยภาพทักษะในด้านการดูแลผู้สูงอายุมีประโยชน์เป็นอย่างมากทั้งส่วนบุคคล ครอบครัว และสังคม สามารถช่วยให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลที่มีคุณภาพและสามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมีความสุข สุขภาพร่างกายจิตใจแข็งแรง เสริมสร้างสังคมที่เข้มแข็ง และช่วยสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นสำหรับผู้สูงอายุ นับได้ว่าเป็นความร่วมมืออันดีระหว่างกรมกิจการผู้สูงอายุ​ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ร่วมกับบริษัท​ เมืองไทยประกัน​ชีวิต​ จำกัด​ (มหาชน​) และมูลนิธิเมืองไทยยิ้ม ในการร่วมกันสร้างสรรค์สังคมคุณภาพให้น่าอยู่อย่างยั่งยืน​ต่อไป”  นายสาระ กล่าวสรุป.

 


Tags : เมืองไทยประกันชีวิต MTL สาระ ล่ำซำ มูลนิธิเมืองไทยยิ้ม พิตราภรณ์ บุณยรัตพันธุ์ กรมกิจการผู้สูงอายุ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ การอบรมหลักสูตรดูแลผู้สูงอายุ Care Giver ย์


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

  ตามที่รัฐบาลโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบหมายให้สถาบันการเงินเข้าช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะ กลุ่มผู้ปกครองที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรหลานในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ทั้งค่าชุดเครื่องแบบนักเรียน หนังสือ อุปกรณ์การเรียน และอื่น ๆ ด้วยการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบ เพื่อเสริมสภาพคล่อง ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ และส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนไทยได้เข้าถึงการศึกษาอย่างต่อเนื่อง นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกมาตรการ “สินเชื่อธนาคารประชาชนต้อนรับเปิดเทอม” ที่ผ่อนเกณฑ์อนุมัติให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และเป็นการเดินหน้าภารกิจเชิงสังคมในการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม สำหรับผู้ปกครองที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนในการเตรียมความพร้อมแก่บุตรหลานในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่เพียง 0.60% ต่อเดือน วงเงินกู้ตามความจำเป็นสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาทต่อราย ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 1 ปี (12 งวด) ผ่อนชำระประมาณ 894 บาทต่อเดือน (รวมเงินต้นและดอกเบี้ย) ทั้งนี้ สำหรับผู้มีอาชีพ รายได้ และที่อยู่อาศัยแน่นอน สามารถยื่นขอสินเชื่อโดยไม่ต้องมีหลักประกัน ผ่านแอปพลิเคชัน MyMo หรือติดต่อธนาคารออมสินสาขาเพื่อขอคำแนะนำในการสมัครสินเชื่อ ได้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม – 31 กรกฎาคม 2568  

08 May 2025

...

SME D Bank ขับเคลื่อนนโยบายรัฐบาล โครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ดูแลกลุ่มเอสเอ็มอีที่มีสิทธิ์กว่า 17,200 ราย อย่างใกล้ชิด พาเข้าร่วมแล้ว ณ วันที่ 23 เม.ย. 68 กว่า 7,200 ราย หรือคิดเป็นกว่า 40% จากลูกหนี้ทั้งหมดที่มีสิทธิ์ ประกาศข่าวดี ขยายระยะเวลาสมัครลงทะเบียนสมัครถึงวันที่ 30 มิ.ย. 68 นี้ เพื่อรับประโยชน์ช่วยลดภาระ สร้างโอกาสกลับมาเริ่มต้นธุรกิจอีกครั้ง นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank กล่าวว่า จากที่รัฐบาล โดยกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย มีนโยบายแก้หนี้ให้แก่ประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อย ผ่านโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ซึ่ง SME D Bank ขานรับนโยบายเข้าร่วมโครงการ ด้วยการเปิดให้ลูกหนี้ของธนาคารที่เข้าเกณฑ์จำนวนกว่า  17,200 ราย มูลหนี้ประมาณ  16,800  ล้านบาท   ลงทะเบียนแจ้งความประสงค์ผ่านเว็บไซต์ของธนาคาร (www.smebank.co.th)   รวมถึง ทำงานเชิงรุกด้วยการส่งจดหมายแนะนำโครงการไปถึงลูกหนี้ทุกรายที่มีสิทธิ์ ควบคู่กับให้ทีมงานธนาคารติดต่อลูกหนี้ทุกรายที่มีสิทธิ์ เพื่อให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด แนะนำถึงประโยชน์ของการเข้าร่วมโครงการ อีกทั้งเปิด Call Center สายพิเศษ รองรับให้บริการในโครงการนี้โดยเฉพาะผ่านเลขหมาย 1357 กด 99 ทั้งนี้  นับตั้งแต่เปิดลงทะเบียนเมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 จนถึงวันที่ 23 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา มีลูกหนี้ลงทะเบียนเข้าโครงการแล้วกว่า 7,200 ราย หรือคิดเป็นกว่า 40% ของลูกหนี้ทั้งหมดของธนาคารที่มีสิทธิ์ ผ่านเกณฑ์โครงการกว่า 4,650 ราย  แยกตามประเภทอุตสาหกรรม  ภาคการค้า ประมาณ 38% ภาคบริการ ประมาณ 34% และภาคการผลิต ประมาณ 28%  โดยเป็นสัดส่วนกลุ่มธุรกิจที่ผ่านมาตรการ “จ่ายตรง คงทรัพย์” และทำสัญญาแล้ว จำนวนกว่า 2,900 ราย มูลหนี้กว่า 3,800 ล้านบาท   สำหรับกลุ่มที่ลงทะเบียนแบ่งเป็นกลุ่ม Lower SE (รายได้เกิน 1.8 ถึง 15  ล้านบาทต่อปี) จำนวน 58%  กลุ่ม Micro (รายได้ไม่เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี)  จำนวน 24%  กลุ่ม Upper SE (รายได้เกิน 15 ถึง 100  ล้านบาทต่อปี) จำนวน  16% และกลุ่ม ME (รายได้เกิน  100  ล้านบาทต่อปี) จำนวน 2%  เมื่อรวมกลุ่มผู้ประกอบการที่เป็นรายเล็กกับรายย่อย ( Lower SE , Micro ) จำนวนรวมถึงกว่า 82% สะท้อนให้เห็นว่า ผู้ประกอบการรายเล็กของไทยมีศักยภาพเปราะบาง ต้องการการดูแลอย่างใกล้ชิด  นอกจากนั้น ธนาคารยังช่วยเหลือด้านการพัฒนา เน้นการเพิ่มรายได้ขยายตลาด เช่น เชิญร่วมโครงการ  “SME D Market”  ซึ่งธนาคารจัดขึ้นเป็นประจำทุกเดือน เปิดโอกาสให้มาออกบูธจำหน่ายสินค้า  ณ  สำนักงานใหญ่ SME D Bank โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น เชิญร่วมกิจกรรมคาราวานสินค้า สร้างโอกาสทางการตลาด และจับคู่ธุรกิจ  นอกจากนั้น เชิญร่วมโครงการไลฟ์คอมเมิร์ซ เวิร์คช้อปการทำตลาดยุคดิจิทัล พร้อมโอกาสเพิ่มรายได้ด้วยการให้คนดังบนโลกออนไลน์ช่วยบอกต่อ เป็นต้น   ทั้งนี้ จากที่โครงการดังกล่าว ได้ขยายเวลาลงทะเบียนออกไปถึงวันที่ 30 มิถุนายน  2568  นับเป็นโอกาสดีที่จะช่วยให้ผู้ประกอบการเข้าถึงประโยชน์ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือลดค่างวดชำระ  3 ปี  เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่อง โดยปีแรกชำระเพียง 50% เท่านั้น    โดยค่างวดที่ชำระนำไปตัดเงินต้นทั้งหมด อีกทั้ง ไม่เก็บดอกเบี้ย  3 ปี  เมื่อทำตามเงื่อนไข และหากชำระค่างวดมากกว่าขั้นต่ำ ตัดเงินต้นเพิ่ม ปิดหนี้จบได้อย่างรวดเร็ว   จึงขอเชิญชวนลูกหนี้ทุกรายที่มีสิทธิ์ รีบแจ้งความประสงค์ เพื่อรับผลประโยชน์ในการช่วยเหลือ  ลดภาระหนี้ และสร้างโอกาสให้กลับมาเริ่มต้นดำเนินธุรกิจได้อีกครั้ง  สามารถแจ้งความประสงค์ผ่านเว็บไซต์ของธนาคาร (www.smebank.co.th)   หรือเว็บไซต์ของธนาคารแห่งประเทศไทย (www.bot.or.th/khunsoo) สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357 กด 99   

05 May 2025

...

นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารเตรียมร่วมเป็นส่วนหนึ่งของหน้าประวัติศาสตร์การเงินการคลังของไทย ในงาน MOF Journey: 150 ปี เส้นทางการคลังไทย ในโอกาสครบรอบ 150 ปี กระทรวงการคลัง โดยจัดโปรโมชันเงินฝากเพื่อส่งเสริมการออมสำหรับงานนี้เท่านั้น เริ่มต้นด้วยเงินฝากเผื่อเรียกพิเศษ 150 วัน อัตราดอกเบี้ยแบบ Step up เฉลี่ย 2.55% ต่อปี หรือเทียบเท่าเงินฝากประจำ 3.00% ต่อปี จองสิทธิ์ภายในงาน จำนวนจำกัด วันละ 150 สิทธิ์ และ 1 คนต่อ 1 สิทธิ์ และพลาดไม่ได้กับแคมเปญแห่งปี “ออมร้อย ชิงร้อยล้าน” ฝากสลากออมสินพิเศษ 1 ปี ลุ้นรับรางวัลพิเศษมูลค่ารวม 100 ล้านบาท แบ่งเป็น รางวัลพิเศษ มูลค่า 1 ล้านบาท งวดวันที่ 16 พฤษภาคม 2568 จำนวน 30 รางวัล และรางวัลพิเศษ มูลค่า 70 ล้านบาท งวดวันที่ 16 กรกฎาคม 2568 เพียง 1 รางวัลเท่านั้น สำหรับผู้ฝากสลากตั้งแต่ 100 บาทขึ้นไป ระหว่างวันที่ 1 เมษายน – 15 กรกฎาคม 2568 หรือเลือกฝากสลากออมสินพิเศษ / สลากดิจิทัล แบบ 2 ปี พร้อมรับของที่ระลึก นอกจากนี้ยังมี เงินฝาก Smart Junior เพื่อเด็กและเยาวชนที่มีอายุ 7 – 23 ปีบริบูรณ์ อัตราดอกเบี้ยเริ่มต้น 0.50% ต่อปี และได้รับอัตราดอกเบี้ยสูงสุด 2.10% ต่อปี เมื่อมียอดเงินฝากคงเหลือเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนอย่างต่อเนื่อง โดย 24 เดือนแรก รับดอกเบี้ยพิเศษเพิ่มขึ้น 0.10% ทุก 2 เดือน สูงสุดไม่เกิน 1.60% ต่อปี และรับดอกเบี้ยโบนัสเพิ่มขึ้น 0.50% ใน 6 เดือนสุดท้าย ระยะเวลาฝากรวม 30 เดือน เปิดบัญชีขั้นต่ำ 1 บาท และเปิดบัญชีเงินฝาก 100 บาทขึ้นไป รับกระปุกออมสินคอลเลกชันพิเศษ GSB Love Earth ภายในบูธยังมีกิจกรรมพิเศษและรับกระปุกออมสิน รวมถึงการแนะนำการลงทะเบียนสินเชื่อสร้างเครดิต สร้างโอกาส นวัตกรรมสินเชื่อสำหรับคนที่ไม่เคยกู้แบงก์ได้มาก่อนอีกด้วย   งานครบรอบ 150 ปี วันสถาปนากระทรวงการคลัง จัดขึ้นภายใต้แนวคิด “อดีต–ปัจจุบัน-อนาคต” เพื่อให้ผู้เข้าชมงานได้เรียนรู้ถึงวิวัฒนาการด้านการคลังของไทยที่มีบทบาทในการพัฒนาประเทศตั้งแต่อดีตสู่ภารกิจการขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่มั่งคงและยั่งยืนในอนาคต ภายในงานยังเป็นการร่วมแสดงพลังความสามัคคี การสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อการบริการประชาชนและการแสดงถึงความรับผิดชอบต่อสังคมของหน่วยงานในสังกัด จึงขอเชิญชวนร่วมสัมผัสนวัตกรรมและบริการทางการเงินที่น่าสนใจ ทั้งจากบูธธนาคารออมสิน และหน่วยงานต่าง ๆ ในระหว่างวันที่ 1 - 3 พฤษภาคม 2568 ณ Hall 3 – 4 ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์  

30 Apr 2025

...

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) ก้าวสู่ผู้นำด้านความโปร่งใสและจริยธรรมทางธุรกิจ โดยได้รับการเลื่อนสถานะเป็น CAC Change Agent จากองค์กรแนวร่วมต่อต้านคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) ซึ่งเป็นความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจ แสดงถึงความมุ่งมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม โปร่งใส ปกป้องผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และเผยแพร่ไปยังคู่ค้าให้มีห่วงโซ่อุปทานที่ใสสะอาด กรุงเทพประกันชีวิต เชื่อมั่นในพลังความใส่ใจและมุ่งสร้างการเปลี่ยนแปลงไปสู่ความยั่งยืน โดยเข้าร่วมเป็นสมาชิกแนวร่วมต่อต้านการคอร์รัปชันของภาคเอกชนไทย (CAC) เป็นระยะเวลากว่า 3 ปี ความสำเร็จครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงความพยายามอย่างต่อเนื่องในการส่งเสริมหลักธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อองค์กรรวมถึงพันธมิตรทางธุรกิจ โดยกรุงเทพประกันชีวิตจะยังคงมุ่งมั่นในการเป็นผู้นำด้านความโปร่งใสและจริยธรรมทางธุรกิจต่อไป

30 Apr 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner