Responsive image

Tuesday, 15 Jul 2025

หน้าแรก > TECHNOLOGY-AUTO-PROPERTY


ธอส. สนับสนุนคนไทยมีบ้าน เตรียมกรอบวงเงิน 37,500 ล้านบาท จัดทำ 4 ผลิตภัณฑ์สินเชื่อ อัตราดอกเบี้ยคงที่ เริ่มต้นเพียง 2.80% ต่อปี ผ่อนชำระต่ำล้านละ 3,500 บาท/เดือน เท่านั้น

Fri 23/02/2567


ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมกรอบวงเงินรวม 37,500 ล้านบาท จัดทำ 4 ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ สนับสนุนคนไทยทุกกลุ่มเป้าหมายให้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเอง ตามนโยบายรัฐบาลและกระทรวงการคลัง ในการลดความเหลื่อมล้ำทางสังคม และลดภาระการผ่อนชำระค่างวดให้กับลูกค้า ประกอบด้วย 1. สินเชื่อบ้านอยู่เย็น เป็นสุข ปี 2567 อัตราดอกเบี้ยคงที่ปีแรกเท่ากับ 2.80% ต่อปี สำหรับลูกค้าสวัสดิการ และ 2.95% ต่อปี สำหรับลูกค้ารายย่อย 2. สินเชื่อบ้านลูกค้าสวัสดิการ ธอส. ปี 2567 อัตราดอกเบี้ยคงที่ปีแรกเท่ากับ 2.90% ต่อปี 3. โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อบุคลากรภาครัฐ ปี 2567 อัตราดอกเบี้ยปีแรกเท่ากับ 2.90% ต่อปี และ 4. โครงการบ้าน ธอส. แสนสุข ปี 2567 อัตราดอกเบี้ยคงที่ 2 ปีแรก เท่ากับ 3.25% ต่อปี ผ่อนได้นานสูงสุด 40 ปี ยื่นขอสินเชื่อได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ณ สาขาธนาคารทั่วประเทศ

นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า เพื่อเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าประชาชนได้มีที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองและครอบครัวได้ง่ายมากขึ้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ สังกัดกระทรวงการคลัง ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” ได้เตรียมกรอบวงเงิน 37,500 ล้านบาท จัดทำ 4 ผลิตภัณฑ์สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำ ให้สามารถลดภาระการผ่อนชำระเงินงวดให้ต่ำลง สอดคล้องกับนโยบาย
ของรัฐบาลและกระทรวงการคลัง ในการช่วยเหลือด้านรายได้และลดรายจ่ายให้กับลูกค้าประชาชนทุกกลุ่มสาขาอาชีพ โดยรายละเอียดของสินเชื่อทั้ง 4 ผลิตภัณฑ์ มีดังนี้

 

1. สินเชื่อบ้านอยู่เย็น เป็นสุข ปี 2567 กรอบวงเงิน 2,500 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่ต้องการซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย (เฉพาะ Solar Roof เท่านั้น) เพื่อให้เป็นบ้านประหยัดพลังงาน (ECO House) อัตราดอกเบี้ยคงที่ 3  ปีแรก สำหรับลูกค้าสวัสดิการ อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 2.80% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ 3.00% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ 4.15% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 3.32% ต่อปี ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี (อัตราดอกเบี้ย MRR ธอส. ปัจจุบันอยู่ที่ 6.90% ต่อปี) กรณีกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลา 40 ปี ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,500 บาทต่อเดือน และสำหรับลูกค้ารายย่อย อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 2.95% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ 3.25% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ 4.30% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 3.50% ต่อปี ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ MRR-0.50% ต่อปี กรณีกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลา 40 ปี ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,600 บาทต่อเดือน ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้ – 29 มีนาคม 2567 อนุมัติและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 เมษายน 2567

2. สินเชื่อบ้านลูกค้าสวัสดิการ ธอส. ปี 2567 กรอบวงเงิน 5,000 ล้านบาท สำหรับลูกค้าสวัสดิการที่หน่วยงานทำข้อตกลงโครงการสวัสดิการเงินกู้ที่อยู่อาศัยประเภทไม่มีเงินฝากกับธนาคาร และต้องการกู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ซื้อที่ดินเปล่าทรัพย์ NPA ของ ธอส. ไถ่ถอนจากสถาบันการเงินอื่น (รีไฟแนนซ์) และชำระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ยคงที่ปีที่ 1 เท่ากับ 2.90% ต่อปี ปีที่ 2-3 เท่ากับ 3.80% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 3.50% ต่อปี ปีที่ 4 จนถึงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ MRR-1.50% ต่อปี กรณีชำระหนี้ฯ ปีที่ 4 จนตลอดอายุสัญญา เท่ากับ MRR ต่อปี กรณีกู้ 1 ล้านบาท ระยะเวลา 40 ปี ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 3,600 บาทต่อเดือน  ยื่นคำขอกู้ตั้งแต่วันนี้ – 29 มีนาคม 2567 อนุมัติและทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 เมษายน 2567

 

3. โครงการสินเชื่อที่อยู่อาศัยเพื่อบุคลากรภาครัฐ ปี 2567 กรอบวงเงิน 20,000 ล้านบาท สำหรับข้าราชการ พนักงานราชการ พนักงานมหาวิทยาลัย เจ้าหน้าที่ของรัฐ พนักงานรัฐวิสากิจ และลูกจ้างประจำที่ต้องการกู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ต่อเติม ซ่อมแซม ไถ่ถอนจากสถาบันการเงินอื่น (รีไฟแนนซ์) ชำระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และเพื่อซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวก อัตราดอกเบี้ยปีที่ 1 เท่ากับ 2.90% ต่อปี ปีที่ 2 เท่ากับ 3.75% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ 3.90% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 3.52% ต่อปี ปีที่ 4-6 เท่ากับ MRR-2.75% ต่อปี ปีที่ 7-9 เท่ากับ MRR-2.00% ต่อปี ปีที่ 10 จนถึงตลอดอายุสัญญา เท่ากับ MRR-1.50% ต่อปี ยกเว้น กรณีชำระหนี้/ซื้ออุปกรณ์ฯ เท่ากับ MRR กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 5,500 บาทต่อเดือน ยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2567

 

 

4. โครงการบ้าน ธอส. แสนสุข ปี 2567 กรอบวงเงิน 10,000 ล้านบาท สำหรับลูกค้าที่ต้องการกู้เพื่อซื้อ ปลูกสร้าง ไถ่ถอนจากสถาบันการเงินอื่น (รีไฟแนนซ์) ชำระหนี้เกี่ยวกับที่อยู่อาศัย และซื้ออุปกรณ์หรือสิ่งอำนวยความสะดวกเกี่ยวกับที่อยู่อาศัย อัตราดอกเบี้ย ปีที่ 1-2 เท่ากับ 3.25% ต่อปี ปีที่ 3 เท่ากับ 4.25% ต่อปี เฉลี่ย 3 ปีแรกเพียง 3.58% ต่อปี ปีที่ 4-5 เท่ากับ MRR-2.50% ต่อปี ปีที่ 6-7 เท่ากับ MRR-2.00% ต่อปี ปีที่ 8 จนถึงตลอดอายุสัญญา กรณีลูกค้าสวัสดิการ เท่ากับ MRR-1.00% ต่อปี ลูกค้ารายย่อย เท่ากับ MRR-0.75% ต่อปี ยกเว้น กรณีชำระหนี้/ ซื้ออุปกรณ์ฯ เท่ากับ MRR กรณีกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนชำระเริ่มต้นเพียง 5,500 บาทต่อเดือน ยื่นคำขอกู้และทำนิติกรรมภายในวันที่ 30 ธันวาคม 2567

 “ธอส. พร้อมช่วยเหลือลูกค้าผู้มีรายได้น้อยและปานกลางทุกกลุ่มอาชีพ ให้มีภาระในการผ่อนชำระเงินงวดลดลง ผ่านสินเชื่ออัตราดอกเบี้ยต่ำและคงที่นานสูงสุด 3 ปี เพื่อให้ลูกค้ามีเงินเหลือเพียงพอเป็นค่าใช้จ่ายในการดำรงชีพได้ต่อไป ซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งในการดำเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและกระทรวงการคลัง ที่ต้องการให้หน่วยงานภาครัฐ เข้ามามีส่วนช่วยเหลือในการลดค่าครองชีพให้กับประชาชน” นายกมลภพ กล่าว

ทั้งนี้ ผู้ที่สนใจสามารถขอสินเชื่อได้ที่สาขาธนาคารทั่วประเทศ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส.ทุกสาขาทั่วประเทศ G H Bank  Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Mobile Application : GHB  ALLGEN และ  www.ghbank.co.th


Tags : ธอส. ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กมลภพ วีระพละ สินเชื่อบ้าน สินเชื่อบ้านดอกเบี้ยต่ำ พันธกิจทำให้คนไทยมีบ้าน


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank โดย นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร บันทึกเทปถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา วันที่ 12 สิงหาคม 2568 เพื่อแสดงความจงรักภักดีและน้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ณ สถานีโทรทัศน์ ช่อง 9 MCOT HD เมื่อเร็ว ๆ นี้      

14 Jul 2025

...

  นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2568 เห็นชอบให้ธนาคารออมสินจัดทำมาตรการแก้ไขหนี้รายย่อยในโครงการของรัฐบาลที่ออกมาช่วยประชาชนในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของ COVID-19 เพื่อให้ความช่วยเหลือลูกหนี้สินเชื่อรายย่อยไม่มีหลักประกัน ที่มีสถานะหนี้เสีย (NPLs) จำนวนรวมกว่า 500,000 บัญชี ให้สามารถหลุดพ้นจากประวัติหนี้เสีย โดยธนาคารจะดำเนินการทันทีเพื่อที่ในอนาคตลูกหนี้จะมีโอกาสเข้าถึงสินเชื่อในระบบได้เร็วขึ้นเมื่อมีความจำเป็น โดยแบ่งการดำเนินการเป็น 2 ระยะ คือ ระยะที่ 1 ดำเนินการปิดบัญชีหนี้ ตัดหนี้สูญ และไม่ติดตามหนี้ ของลูกหนี้ NPLs จำนวนกว่า 200,000 บัญชี ในโครงการสินเชื่อตามนโยบายรัฐที่ได้รับงบประมาณชดเชยแล้ว ระยะที่ 2 ธนาคารจะทยอยดำเนินการปิดบัญชีหนี้แก่ลูกหนี้ NPLs โครงการสินเชื่อสู้ภัย COVID-19 จำนวนกว่า 300,000 บัญชี ให้แล้วเสร็จภายในสิ้นปี 2568 ทั้งนี้ ช่วงที่ผ่านมาธนาคารได้จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้มาอย่างต่อเนื่อง โดยสำหรับมาตรการปลดหนี้สินเชื่อตามโครงการของรัฐบาลที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤติการแพร่ระบาดของ COVID-19 ได้ให้ความช่วยเหลือลูกหนี้แล้วเป็นจำนวนกว่า 1.3 ล้านบัญชี คิดเป็นยอดหนี้รวมกว่า 11,000 ล้านบาท โดยธนาคารออมสินสนับสนุนการแก้ไขปัญหาหนี้รายย่อย และช่วยเหลือประชาชนกลุ่มเปราะบางให้สามารถประคับประคองสถานะทางเศรษฐกิจของครอบครัวให้เดินต่อได้ มุ่งเน้นดำเนินการเพียงครั้งเดียวเพื่อไม่ให้ลูกหนี้ต้องเสียวินัยทางการเงิน และยังสามารถเข้าถึงแหล่งสินเชื่อในระบบสถาบันการเงินได้อีกในอนาคต  

07 Jul 2025

...

    สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (สำนักงาน คปภ.) ได้ปรับปรุงแนวทางการคำนวณสำรองเบี้ยประกันภัยสำหรับสัญญาประกันภัยระยะสั้น พร้อมทั้งทบทวนหลักเกณฑ์การคำนวณเงินกองทุนด้านความเสี่ยง เพื่อยกระดับความมั่นคงทางการเงินของบริษัทประกันภัยให้สอดคล้องกับมาตรฐานสากล โดยมุ่งเน้นการพิจารณาข้อมูลในระดับประเภทการรับประกันภัยแทนการพิจารณาภาพรวมทั้งบริษัท เพื่อให้การประเมินภาระผูกพันและการจัดสรรเงินกองทุนมีความละเอียด แม่นยำ และสอดคล้องกับลักษณะความเสี่ยงที่แท้จริงยิ่งขึ้น โดยระหว่างวันที่ 6-21 มีนาคม 2568 สำนักงาน คปภ. ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากภาคธุรกิจและผู้เกี่ยวข้อง และจัดการประชุมชี้แจงไปเมื่อวันที่ 10-11 มีนาคม 2568 รวมทั้งได้จัดการประชุมกลุ่มย่อยเชิงเทคนิค (Focus Group) เสร็จสิ้นไปแล้วเมื่อวันที่ 18 เมษายน 2568 เพื่อรวบรวมความคิดเห็นและข้อเสนอแนะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ทั้งนี้ ในการประชุมฯ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม 2568 คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ได้มีมติเห็นชอบการปรับปรุงประกาศที่เกี่ยวข้องกับสำรองเบี้ยประกันภัย ได้แก่ 1. ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการส่งรายงานประจำปีการคำนวณความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันวินาศภัย 2. ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดแบบ หลักเกณฑ์ วิธีการ เงื่อนไข และระยะเวลาการส่งรายงานประจำปีการคำนวณความรับผิดตามกรมธรรม์ประกันภัยของบริษัทประกันชีวิต และ 3. ประกาศ คปภ. เรื่องกำหนดประเภทและชนิดของเงินกองทุน รวมทั้งหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการคำนวณเงินกองทุนของบริษัทประกันวินาศภัย สำหรับหลักการที่ได้มีการปรับปรุง คือ ปรับปรุงวิธีการคำนวณสำรองเบี้ยประกันภัย และเงินกองทุนสำหรับความเสี่ยงจากสำรองเบี้ยประกันภัย จากเดิม พิจารณาที่ระดับผลรวมทั้งหมดของสัญญาประกันภัยระยะสั้น เปลี่ยนเป็น พิจารณาที่ระดับประเภทการรับประกันภัย  ซึ่งสำนักงาน คปภ. จะเผยแพร่ประกาศอย่างเป็นทางการในลำดับถัดไป เพื่อให้มีผลบังคับใช้ตามกำหนดในวันที่ 31 ธันวาคม 2568 ดังนั้น บริษัทประกันภัยและผู้ที่เกี่ยวข้อง ควรเตรียมความพร้อมในการดำเนินการ เพื่อให้สามารถปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ใหม่ได้อย่างถูกต้อง ครบถ้วน และมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่วันเริ่มมีผลบังคับใช้

07 Jul 2025

...

  ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank  ร่วมงาน “มหกรรมการเงินหาดใหญ่” ครั้งที่ 15 (MONEY EXPO 2025 HATYAI) ระหว่างวันที่ 4-6 กรกฎาคม 2568 ณ บูธ F3 หาดใหญ่ฮอลล์ ชั้น 5 เซ็นทรัล หาดใหญ่ จ.สงขลา ยกขบวนผลิตภัณฑ์สินเชื่อครอบคลุมทุกกลุ่ม ตอบโจทย์ทุกความต้องการผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ไฮไลท์ คือ สินเชื่ออัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน วงเงินกู้สูงสุด 15 ล้านบาท ครอบคลุมทุกกลุ่มและทุกความต้องการเอสเอ็มอีไทย ควบคู่บริการพัฒนาธุรกิจ ผ่านแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” (dx.smebank.co.th)   ช่วยเสริมศักยภาพกิจการ ครบถ้วนในจุดเดียว ห้ามพลาด! พิเศษเฉพาะภายในงาน เมื่อยื่นขอสินเชื่อ และได้รับอนุมัติทุกวงเงิน รับโปรโมชันเสริมอีก 2 ต่อ ได้แก่ ต่อที่ 1 : ลดค่าธรรมเนียมวิเคราะห์สินเชื่อ (Front End Fee) สูงสุด 0.25% และต่อที่ 2 : รับบัตรกำนัล มูลค่า 500 บาท พร้อมเล่นเกม ลุ้นรับของที่ระลึกมากมาย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

03 Jul 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner