Responsive image

Saturday, 07 Jun 2025

หน้าแรก > INSURANCE / ประกันภัย - ประกันชีวิต


คปภ. แถลงข่าวร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทย กำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านการประกันภัยจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว

Mon 31/03/2568


นายชูฉั             

นายชูฉัตร ประมูลผล เลขาธิการ คณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (เลขาธิการ คปภ.) เปิดเผยในงานแถลงข่าวมาตรการให้ความช่วยเหลือและเยียวยาด้านการประกันภัย จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวว่า สำนักงาน คปภ. ร่วมกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย และสมาคมประกันชีวิตไทย กำหนดแนวทางการให้ความช่วยเหลือด้านการประกันภัยแก่ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว โดยสำนักงาน คปภ. ได้ดำเนินมาตรการช่วยเหลืออย่างเร่งด่วนเพื่อบรรเทาความเดือดร้อน ของประชาชนและผู้เอาประกันภัยอย่างเร่งด่วนทันทีที่ทราบข่าวสถานการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ ได้ประสานงานกับ บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) เพื่อขอเข้าตรวจสอบพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ และประสานขอทราบรายชื่อ ผู้สูญหายหรือติดในซากอาคารพร้อมหลักฐานอื่น ๆ เพื่อเป็นข้อมูลในการตรวจสอบและเตรียมการสำหรับการเยียวยาด้านการประกันภัยต่อไป รวมถึงจัดตั้งศูนย์ช่วยเหลือประชาชนด้านการประกันภัย ณ สำนักงาน คปภ. ถนนรัชดาภิเษก เพื่อเตรียมพร้อมให้บริการข้อมูล และการช่วยเหลือด้านประกันภัยอย่างทันท่วงที

เลขาธิการ คปภ. กล่าวว่า จากการตรวจสอบเบื้องต้นพบว่า อาคารสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งได้รับความเสียหาย มีการทำประกันภัย Construction All Risk (CAR) ไว้กับบริษัทประกันภัย 4 แห่ง ได้แก่ บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) บริษัท อินทรประกันภัย จำกัด (มหาชน) และ บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) โดยมีสัดส่วนการรับประกันภัยอยู่ที่ 40%, 25%, 25% และ 10% ตามลำดับ รวมมูลค่าความคุ้มครอง 2,241,000,000 บาท พร้อมย้ำว่าความเสียหายนี้จะไม่กระทบต่อความมั่นคงของบริษัทประกันภัยทั้ง 4 บริษัทประกันภัยที่ร่วมรับประกันภัยอย่างแน่นอน เนื่องจากบริษัทมีการบริหารความเสี่ยงโดยการประกันภัยต่อ (Reinsurance) กับบริษัทประกันภัยต่อต่างประเทศ และจากการตรวจสอบดัชนีวัดความมั่นคงบริษัทประกันภัยตามกฎหมาย พบว่าบริษัทประกันชีวิตและบริษัทประกันวินาศภัยทั้งระบบยังมีความมั่นคงในระดับดีมาก โดยมีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน (Capital Adequacy Ratio) อยู่ที่ระดับเกือบ 300% ซึ่งสูงกว่า ที่กฎหมายกำหนดขั้นต่ำไว้ที่ 100% ดังนั้น หากบริษัทประกันภัยทั้ง 4 แห่ง มีการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเต็มวงเงินรับประกันภัย จะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของบริษัทข้างต้น อย่างแน่นอน

ทั้งนี้ สำนักงาน คปภ. ได้ขอความร่วมมือบริษัทประกันภัยให้เร่งติดตามสถานการณ์และดำเนินการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนโดยเร็ว นอกจากนี้ ยังได้เปิดให้บริการสายด่วน คปภ. 1186 ตลอด 24 ชั่วโมง และบริการ Chatbot @oicconnect เพื่อให้คำปรึกษาและช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจนกว่าสถานการณ์ จะคลี่คลาย และจัดทำข้อมูล Q&A และ Infographic เกี่ยวกับข้อมูลความคุ้มครองของกรมธรรม์ประกันภัยที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์แผ่นดินไหว รวมถึงข้อมูลอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน เพื่อสร้างมาตรฐานในการให้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน โดยจะเผยแพร่ผ่านช่องทางต่าง ๆ ต่อไป


สมาคมประกันวินาศภัยไทย ตั้งศูนย์ประสานงานอำนวยความสะดวกด้านประกันภัยกรณีแผ่นดินไหว ผนึกภาคธุรกิจประกันวินาศภัย ดูแลผู้เอาประกันภัยอย่างเต็มที่

ดร.สมพร สืบถวิลกุล นายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวว่า จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวที่เกิดขึ้นได้ส่งผลให้หลายพื้นที่ทั่วประเทศไทยได้รับผลกระทบเกิดความเสียหายเป็นวงกว้างโดยเฉพาะอย่างยิ่งในเมืองใหญ่ ทั้งอาคาร บ้านเรือน คอนโดมิเนียมที่อยู่อาศัยหรือสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนเป็นอย่างมาก สมาคมประกันวินาศภัยไทย ได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และขอส่งความห่วงใยให้ผู้เอาประกันภัยรวมถึงประชาชนที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว พร้อมแนะนำ ผู้เอาประกันภัยที่อยู่ในเขตพื้นที่ประสบภัยแผ่นดินไหว ตรวจสอบกรมธรรม์ประกันภัยว่ามีความคุ้มครองภัยจากแผ่นดินไหวหรือไม่ ถ้ามีความคุ้มครองให้รีบแจ้งความเสียหายแก่บริษัทประกันภัยทันที เพื่อประโยชน์ในการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนได้อย่างรวดเร็ว

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการดูแลและให้บริการผู้เอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว สมาคมประกันวินาศภัยไทย จึงได้ตั้งศูนย์ประสานงานและอำนวยความสะดวกด้านประกันภัย เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่ผู้เอาประกันภัยที่ได้รับผลกระทบจาก ภัยพิบัติดังกล่าว ซึ่งการดำเนินงานครอบคลุมถึงการอำนวยความสะดวกในการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทน การตรวจสอบข้อมูล ในกรณีที่กรมธรรม์สูญหาย ตลอดจนการให้คำแนะนำเกี่ยวกับรายละเอียดความคุ้มครองผ่านช่องทางโทรศัพท์ 0 2108 8399 และช่องทางออนไลน์ Facebook สมาคมประกันวินาศภัยไทย ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมทั้งเผยแพร่ประชาสัมพันธ์หมายเลขสายด่วนของ ทุกบริษัทประกันภัยให้ประชาชนรับทราบและสามารถติดต่อได้อย่างสะดวกรวดเร็ว รวมถึงประสานงานกับบริษัทสมาชิกให้เตรียม ความพร้อมในการให้บริการช่วยเหลืออย่างเต็มที่ เร่งดำเนินการจ่ายค่าสินไหมทดแทน เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของผู้เอาประกันภัยโดยเร็วที่สุด

สำหรับกรมธรรม์ประกันภัยที่ให้ความคุ้มครองภัยแผ่นดินไหว มีดังนี้
1. กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัยแผ่นดินไหวไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี โดยสามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมได้ ซึ่งจำนวนกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวน 2,233,518 ฉบับ ขณะที่จังหวัดอื่น ๆ มีจำนวน 3,145,880 ฉบับ รวมทั้งประเทศมีกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย จำนวน 5,379,398 ฉบับ สำหรับการประกันภัยอาคารชุด ในส่วนของนิติบุคคลจะเป็นกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Industrial All Risk: IAR) คุ้มครองความเสียหายต่อตัวอาคารส่วนกลาง เช่น โครงสร้างอาคาร ลิฟต์ บันไดส่วนกลาง สระว่ายน้ำ ฟิตเนส และทรัพย์สินอื่น ๆ ที่เป็นของส่วนกลาง ได้รับความคุ้มครองจากภัยแผ่นดินไหวตามจำนวนเงินจำกัดความรับผิด (Sub Limit) ขณะที่ในส่วนเจ้าของห้องชุดเป็นกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยสำหรับที่อยู่อาศัย คุ้มครองความเสียหายต่อทรัพย์สินภายในห้องชุด เฟอร์นิเจอร์ เครื่องใช้ไฟฟ้า เครื่องตกแต่ง และทรัพย์สินอื่น ๆ ที่อยู่ภายในห้องชุด ได้รับความคุ้มครองจากภัยแผ่นดินไหวไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี แต่สามารถซื้อความคุ้มครองเพิ่มเติมได้

2. กรมธรรม์ประกันอัคคีภัย สำหรับสถานประกอบการ ร้านค้าต่าง ๆ จะให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัยแผ่นดินไหว เฉพาะกรมธรรม์ที่ซื้อความคุ้มครองภัยแผ่นดินไหวเพิ่มเติมเท่านั้น ซึ่งจำนวนกรมธรรม์ประกันอัคคีภัยในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวน 452,716 ฉบับ ขณะที่จังหวัดอื่น ๆ มีจำนวน 661,806 ฉบับ รวมทั้งประเทศมีกรมธรรม์ประกันอัคคีภัย จำนวน 1,114,522 ฉบับ

3. กรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน (Industrial All Risk: IAR) สำหรับผู้ประกอบกิจการร้านค้าทั่วไป สำนักงาน โรงแรม โรงเรียน โรงงานอุตสาหกรรม สถานประกอบการต่าง ๆ ให้ความคุ้มครองความเสียหายของสิ่งปลูกสร้างและทรัพย์สินภายใน สิ่งปลูกสร้าง ที่เอาประกันภัยจากอุบัติเหตุใด ๆ ที่ไม่ได้มีการระบุข้อยกเว้นไว้ ได้รับความคุ้มครองจากภัยแผ่นดินไหวตามจำนวนเงินจำกัดความรับผิด (Sub Limit) ซึ่งจำนวนกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีจำนวน 95,372 ฉบับ ขณะที่จังหวัดอื่น ๆ มีจำนวน 99,017 ฉบับ รวมทั้งประเทศมีกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สิน จำนวน 194,389 ฉบับ

สำหรับการประกันภัยธุรกิจหยุดชะงัก คุ้มครองความเสียหายจากการหยุดชะงักของธุรกิจ ความสูญเสียในทางการค้า (รายได้ของผู้เอาประกันภัย) กำไรสุทธิ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน (ค่าจ้างพนักงาน ค่าเช่าสำนักงาน ค่าเช่าโรงงาน เป็นต้น) อันเป็นผลสืบเนื่องมาจากการที่สิ่งปลูกสร้างใด ๆ หรือทรัพย์สินอื่น ๆ ที่ผู้เอาประกันภัยใช้เพื่อประกอบธุรกิจได้รับความเสียหาย และได้รับความคุ้มครองภายใต้กรมธรรม์ประกันอัคคีภัยหรือกรมธรรม์ประกันภัยความเสี่ยงภัยทรัพย์สินและไม่ได้มีการระบุยกเว้นไว้

4. กรมธรรม์ประกันภัยการปฏิบัติงานตามสัญญาการก่อสร้าง สำหรับผู้ว่าจ้างหรือผู้รับเหมาก่อสร้างซึ่งให้ความคุ้มครองต่องานก่อสร้าง งานปรับปรุงสถานที่ งานตกแต่ง หรืองานติดตั้งเครื่องจักรที่ได้รับความเสียหายจากอุบัติเหตุ หรือเหตุการณ์ อันไม่อาจคาดหมายได้ หรือด้วยสาเหตุอื่น ๆ ที่ไม่ได้ระบุในข้อยกเว้น โดยให้ความคุ้มครองภัยแผ่นดินไหว ประกอบด้วย งานก่อสร้างและ วิศกรรมโยธาการติดตั้งเครื่องจักร และความรับผิดต่อบุคคลภายนอก

5. กรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ ให้ความคุ้มครองความเสียหายจากภัยแผ่นดินไหวเฉพาะกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์ประเภท 1 เท่านั้น สำหรับกรมธรรม์ประเภท 2 ประเภท 3 หรือประเภท 5 (2+ และ 3+) สามารถซื้อเป็นเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยรถยนต์คุ้มครองภัยธรรมชาติ หรือแยกซื้อภัยแผ่นดินไหวเพิ่มได้

6. กรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุ คุ้มครองความเสียหายต่อร่างกายรวมถึงชีวิตที่เกิดจากอุบัติเหตุ รวมถึงอุบัติเหตุจากแผ่นดินไหวด้วย

ด้านนายกสมาคมประกันวินาศภัยไทย กล่าวเพิ่มเติมว่า ภัยธรรมชาติเป็นสิ่งที่ไม่อาจคาดเดาได้ แต่การเตรียมความพร้อมรับมือ โดยเฉพาะการวางแผนด้านการประกันภัยถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการบริหารความเสี่ยงเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นต่อชีวิตและทรัพย์สิน เหตุการณ์ในครั้งนี้เชื่อว่าจะทำให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของการมีประกันภัยเพิ่มขึ้น และภาคธุรกิจได้ถอดบทเรียนในการบริหารความเสี่ยงเรื่องภัยพิบัติพร้อมกับทบทวนวิธีในการประเมินความเสี่ยง เพราะปัจจุบันจะเห็นได้ว่าภัยที่ไม่เคยเกิดขึ้นในอดีต ไม่ได้แปลว่าจะไม่มีทางเกิดขึ้นในอนาคต ด้วยเหตุนี้ หลายภัยที่เคยถูกมองข้ามหรือไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาอย่างจริงจัง อาจต้องถูกนำกลับมาประเมินใหม่อย่างรอบด้าน ทั้งในแง่ของการรับประกันภัยและการกำหนดเบี้ยประกันภัยให้สอดคล้องกับความเสี่ยงที่แท้จริง

ธุรกิจประกันวินาศภัยถือเป็นธุรกิจที่ทำหน้าที่เป็นผู้บริหารความเสี่ยงมืออาชีพให้กับประชาชน ระบบเศรษฐกิจและสังคม โดยสมาคมประกันวินาศภัยไทยและภาคธุรกิจประกันวินาศภัย พร้อมยืนหยัดเคียงข้างดูแลผู้เอาประกันภัยในทุกสถานการณ์ เพื่อให้ผู้เอาประกันภัยสามารถก้าวข้ามผ่านทุกวิกฤตไปได้ด้วยกัน

เลขาธิการ คปภ. กล่าวเพิ่มเติมว่า สำนักงาน คปภ. ขอแนะนำให้ผู้เอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหายจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว ติดต่อบริษัทประกันภัยที่ทำกรมธรรม์ไว้โดยเร็วที่สุด พร้อมจัดเตรียมเอกสารที่เกี่ยวข้องสำหรับใช้ประกอบการพิจารณาจ่ายค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขกรมธรรม์ เช่น หลักฐานความเสียหาย ภาพถ่าย และเอกสารสำคัญอื่น ๆ ทั้งนี้ บริษัทประกันภัย จะส่งผู้ประเมินความเสียหายเข้าตรวจสอบและพิจารณาชดใช้ค่าสินไหมทดแทนตามเงื่อนไขของกรมธรรม์ หากมีข้อสงสัยหรือ พบปัญหาจากการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนสามารถติดต่อสำนักงาน คปภ. หรือติดต่อสายด่วน คปภ. 1186 หรือช่องทาง Chatbot @oicconnect ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

สำนักงาน คปภ. ได้ประสานงานกับสมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทยและบริษัทประกันภัยต่าง ๆ เพื่อให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้เอาประกันภัยที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้ อย่างเต็มที่ พร้อมยืนยันว่าจะดำเนินการเพื่อให้ประชาชนและผู้เอาประกันภัยได้รับความช่วยเหลือและการชดใช้ค่าสินไหมทดแทนเป็นไปอย่างรวดเร็วและเป็นธรรม พร้อมทั้งจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและผู้เอาประกันภัย

“ธุรกิจประกันภัย เป็นธุรกิจที่มีไว้เพื่อบริหารความเสี่ยง ในช่วงที่ผ่านมา ทั้ง 3 หน่วยงานสามารถรับมือกับภัยพิบัติได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยให้ภาคธุรกิจประกันภัยก้าวผ่านสถานการณ์ต่าง ๆ มาได้ แม้ว่าเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนี้จะเป็นครั้งแรก แต่ทุกฝ่ายได้ตอบสนองอย่างรวดเร็วและเป็นระบบ พร้อมย้ำว่า สำนักงาน คปภ. สมาคมประกันวินาศภัยไทย สมาคมประกันชีวิตไทย รวมถึงบริษัทประกันชีวิต และบริษัทประกันวินาศภัย จะทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อ เพื่อให้ความช่วยเหลือและเยียวยาผู้เอาประกันภัยที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มที่ เพื่อประโยชน์สูงสุดของประชาชนและผู้เอาประกันภัย” เลขาธิการ คปภ. กล่าวในตอนท้าย

 


Tags : คปภ. สำนักงานคปภ. ชูฉัตรประมูลผล สมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัยไทย ดร.สมพรสืบถวิลกุล แผ่นดินไหว ประกันภัยแผ่นดินไหว กรมธรรม์ประกันภัยคุ้มครองแผ่นดินไหว


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ขานรับนโยบายนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมกรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) เพื่อช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ให้กลับมามีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวดได้ตามปกติ เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและเงินงวด นานสูงสุด 1 ปี ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL BFRIEND และสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน – 31 ธันวาคม 2568   นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากการที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ ช่วยเหลือภาคธุรกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 256 และมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้มีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวด เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป ดังนั้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงขานรับนโยบายดังกล่าว โดยการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ให้กับลูกค้าธนาคาร จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) สำหรับลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปีให้กลับมามีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวดได้ตามปกติ เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป โดยมีรายละเอียด ดังนี้             เดือนที่ 1 – 6      : คิดอัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรก 0% ต่อปี โดยผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาทต่อเดือน             เดือนที่ 7 - 9      : ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 1.90 % +100 บาท             เดือนที่ 10 -12   : ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 3.90 % +100 บาท                                       กรณีลูกค้าชำระเกินที่ธนาคารกำหนดให้นำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระ (หากมี) “การจัดทำมาตรการ DC3 ของ ธอส. ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยลูกค้ารักษาบ้านของตนเองแล้ว ยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยให้ปรับตัวลดลงได้ด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังให้ความสำคัญ ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวควบคู่ไปกับการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ฯ ซึ่ง ธอส. ได้จัดทำสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำรองรับการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 240,000 ล้านบาทในปีนี้” นายกมลภพ กล่าว   อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ธอส. มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ กลุ่มลูกค้า NPL อีกจำนวน  4 มาตรการ นอกจากนี้ ธอส. ยังดำเนินการตามนโยบายกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการเปิดขยายเวลาการเข้าร่วม “โครงการคุณสู้ เราช่วย” ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เพื่อช่วยลูกหนี้ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน แต่เคยมีประวัติการค้างชำระเกิน 30 วัน ก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน  2567 และได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ให้ได้รับความช่วยเหลือต่อเนื่อง และยังจัดทำมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทา ความเดือดร้อนให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมาด้วย ลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL BFRIEND และสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน – 31 ธันวาคม 2568 โดยแสดงหลักฐานการได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ / ธุรกิจ / การค้า หรือจากสภาวะทางเศรษฐกิจ เพื่อประกอบการพิจารณา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ G H Bank Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th  

02 Jun 2025

...

ตามที่รัฐบาลโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ ช่วยเหลือภาคธุรกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ผ่านการลดเป้าหมายกำไรทางธุรกิจเพื่อนำเม็ดเงินงบประมาณมาจัดทำโครงการ/มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการนั้น   นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารจึงได้เร่งรัดดำเนินการ ประกาศลดดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการกลุ่มสินเชื่อธุรกิจที่เป็นลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร ในอัตรา 2 - 3% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกธุรกิจ Supply Chain และผู้ผลิตสินค้าที่ต้องมีการแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ เนื่องจากนโยบายกำแพงภาษีฯ ส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนสินค้าไทยเพิ่มขึ้น การส่งออกชะลอตัว และอาจทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงจนนำไปสู่ปัญหาการขาดสภาพคล่อง และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงิน เสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจสามารถประคองตัวและดำเนินกิจการต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย มาตรการลดดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ครอบคลุมลูกค้าปัจจุบันกลุ่มสินเชื่อธุรกิจธนาคารออมสินทุกประเภทที่มีสถานะบัญชีปกติ โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่ได้รับผลกระทบ ธุรกิจ Supply Chain และผู้ผลิตที่ต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ ลดดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 3% ต่อปี จากอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิม ระยะเวลาการลดดอกเบี้ย ไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่จัดทำนิติกรรมสัญญา ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด ลูกค้าที่เข้าหลักเกณฑ์สามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่ สาขาธนาคารออมสินที่มีบัญชีเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2568 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115  

25 May 2025

...

SME D Bank เผยผลตรวจสุขภาพธุรกิจผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านระบบ Business Health Check ในแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” (dx.smebank.co.th)   พบจุดอ่อนสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านบริหารการเงิน  ด้านจัดการนวัตกรรม-เทคโนโลยี และด้านการตลาด  ประกาศเดินหน้าช่วย “เติมความรู้คู่เงินทุน” เสริมศักยภาพให้เข้มแข็ง ปิดจุดอ่อน สามารถก้าวผ่านอุปสรรคได้ในทุกสถานการณ์   นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากที่ SME D Bank มีบริการ “ตรวจสุขภาพทางธุรกิจ” หรือ “Business Health Check”  แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th)  เพื่อให้รับรู้ข้อมูลและเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนในกิจการตัวเอง ก่อนนำไปสู่การเติมทักษะ ปิดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งได้ตรงกับความต้องการของแต่ละกิจการ  ทั้งนี้  ระยะเวลาประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้ารับบริการตรวจสุขภาพทางธุรกิจ รวมกว่า 9,200 กิจการ  พบทักษะ 3 ด้านที่เป็นจุดอ่อนสำคัญ ได้แก่  อันดับ 1  ด้านการบริหารจัดการเงิน  ระดับคะแนนประเมินผลอยู่ที่ 1.8 จากคะแนนเต็ม 5 ตามด้วย อันดับ 2  ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี (2.6 คะแนน) และอันดับ 3 ด้านการสื่อสารการตลาด (3.6 คะแนน) โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในทุกขนาดธุรกิจ ล้วนมีจุดอ่อนใน 3 ด้านนี้เหมือนกัน แตกต่างกันในรายละเอียดและความซับซ้อนในทักษะที่ต้องพัฒนา   สำหรับด้านการบริหารจัดการเงิน กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) มีคะแนนต่ำที่สุด ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นความสำคัญของการทำบัญชี ไม่แยกเงินส่วนตัวกับธุรกิจ ไม่เข้าใจหลักการบัญชีเบื้องต้น ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการคำนวณกำไรขาดทุน รวมถึงความสามารถในการเข้าถึงแหล่งทุน  ส่วนกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก (Small) มีการบันทึกข้อมูลทางการเงิน แต่ขาดเครื่องมือหรือการลงทุนในระบบบัญชีที่เป็นมาตรฐาน รวมถึงขาดการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อวางแผนระยะยาว ขณะที่ ผู้ประกอบการขนาดกลาง (Medium) ต้องการทักษะการวิเคราะห์ทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น และในหลายกิจการขาดการบูรณาการข้อมูล ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ผู้ประกอบการรายย่อย ไม่รู้ว่ามีเทคโนโลยีอะไรที่ช่วยธุรกิจเล็กๆ ได้บ้าง และยังไม่สามารถเชื่อมโยงการใช้เทคโนโลยีด้านการตลาดได้อย่างเต็มศักยภาพ ส่วนผู้ประกอบการขนาดเล็ก ไม่รู้ว่าเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมรูปแบบใดเหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง และไม่มีแผนหรือนโยบายที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายของธุรกิจ รวมถึงไม่กล้ารับความเสี่ยงที่จะล้มเหลวจากการลงทุนในนวัตกรรม  สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง ไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมนวัตกรรมได้อย่างแท้จริง ด้านการสื่อสารการตลาด ผู้ประกอบการรายย่อย  ขาดทักษะในการใช้ Social Media ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับการตลาด รวมถึงไม่เข้าใจการตลาดพื้นฐาน ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดเล็ก  ขาดทักษะในการใช้เครื่องมือและการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด ไม่รู้วิธีวัดผลลัพธ์จากการทำการตลาด ทำให้กระทบต่อการวางแผนการตลาดอย่างเป็นระบบ ส่วนผู้ประกอบการขนาดกลาง ขาดการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดเชิงลึกและการบูรณาการข้อมูลจากทุกช่องทาง ทั้งนี้ ผลการตรวจสุขภาพทางธุรกิจ พบว่า ในภาพรวม ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยมีทักษะที่เข้มแข็ง  2 ด้าน ได้แก่ การบริหารประสิทธิภาพการผลิตหรือบริการ และการบริหารจัดการองค์กร ซึ่งเป็นศักยภาพที่ควรเสริมให้แกร่งขึ้นในยุคที่ความไม่แน่นอนสูง การบริหารจัดการต้นทุนทำได้ยากขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการประสิทธิภาพตามแนวทางธุรกิจสีเขียว เพื่อให้กำไรสูงสุดภายใต้เงื่อนไขการปล่อยคาร์บอนต่ำสุด   นายพิชิต กล่าวต่อว่า  จากที่เห็นจุดอ่อนสำคัญของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย  SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐเดินหน้ายกระดับพัฒนาศักยภาพให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ผ่านบริการ “เติมความรู้คู่เงินทุน” ช่วยเสริมศักยภาพในหลากหลายรูปแบบ เพื่อช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ปิดจุดอ่อนใน 3 ด้านดังกล่าว สำหรับด้านการพัฒนาผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน จัดโครงการพัฒนาทั้งออนไซต์ควบคู่ออนไลน์ เช่น โครงการ “ทุนก็มี ภาษีก็รู้ ก้าวสู่ความยั่งยืน” จับมือกรมสรรพากร   ให้ความรู้ด้านการเงิน ในรูปแบบ One Stop Service ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โครงการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยี โครงการสนับสนุนด้านการตลาด เช่น สอนการสร้างคอนเทนต์ด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ กิจการ SME D Market รวมถึง Business Matching ช่วยเพิ่มรายได้ขยายตลาด เป็นต้น อีกทั้ง มีบริการแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th) ช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจครบวงจร ใช้บริการได้สะดวกสบาย ตลอด 24 ชม. เช่น  E-Learning รวบรวมหลักสูตรความรู้เพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ ทั้งการบริหารจัดการธุรกิจ นวัตกรรม เทคโนโลยี มาตรฐาน การตลาด การเงิน และเตรียมพร้อมเข้าถึงแหล่งเงินทุน  , SME D Coach ที่ปรึกษาและให้คำแนะนำธุรกิจจากโค้ชมืออาชีพ  , E-marketplace ช่วยขยายช่องทางขยายตลาด และเชื่อมโยงจับคู่ธุรกิจ และ Privilege สิทธิประโยชน์เพื่อยกระดับธุรกิจ เป็นต้น ควบคู่กับให้บริการด้านการเงิน ช่วยให้มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อลงทุน ปรับปรุง ขยายกิจการ  หมุนเวียน หรือลดต้นทุนทางการเงิน เป็นต้น  จุดเด่นอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปี  คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน  ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถแจ้งความประสงค์ใช้บริการด้านการพัฒนาและการเงินได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น  แพลตฟอร์ม DX by SME D Bank , LINE Official Account : SME Development Bank และเว็บไซต์ www.smebank.co.th  เป็นต้น  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357   

24 May 2025

...

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดย นางสาวอรนาฎ นชะพงษ์ (ที่ 4 จากขวา) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า พร้อมด้วยนายแพทย์วิรุณ เกียรติคุณรัตน์ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์บริการการแพทย์ ร่วมงานแถลงข่าว “BDMS Preventive Vaccine” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลในเครือ BDMS กับบริษัทประกันชีวิตชั้นนำในการจัด “โครงการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในราคาพิเศษ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันอย่างยั่งยืนในกลุ่มผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพ ณ ห้องประชุมเรเดียน โรงแรมเมอวินพิค บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท เมื่อเร็ว ๆ นี้ กรุงเทพประกันชีวิต ใส่ใจและมีเป้าหมายในการสนับสนุนให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนเพื่อลดความรุนแรงของโรค ภาวะแทรกซ้อน และลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในระยะยาว จึงเข้าร่วม “โครงการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในราคาพิเศษ” โดยลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพของกรุงเทพประกันชีวิต สามารถขอรับการบริการฉีดวัคซีนจากโรงพยาบาลเครือบีดีเอ็มเอสได้ในราคาเดียวทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล โดยวัคซีนที่ให้บริการประกอบด้วย วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์  สำหรับผู้ใหญ่อายุ 15 ปีขึ้นไป             ราคา      500       บาท วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์  สำหรับเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 15 ปี         ราคา      700       บาท วัคซีนงูสวัด (2 เข็ม)                                                                             ราคา  11,500      บาท วัคซีนปอดอักเสบ 1 เข็ม (Prevnar20)                                                 ราคา    3,500      บาท วัคซีนไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ (2 เข็ม) สำหรับผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป    ราคา    3,900     บาท ทั้งนี้ ราคาดังกล่าวรวมค่าแพทย์ และค่าบริการโรงพยาบาล แต่ไม่รวมค่ายาอื่นๆ และค่ารักษาพยาบาล หรือค่าบริการปรึกษาทางการแพทย์เพิ่มเติม ผู้สนใจสามารถรับบริการได้ที่โรงพยาบาลในเครือ BDMS โดยโทรนัดหมายที่โรงพยาบาลที่ต้องการรับบริการล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน และแสดงหลักฐานกรมธรรมประกันสุขภาพ หรือ บัตรผู้เอาประกันภัยแก่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก่อนรับบริการ โดยมีระยะเวลาการรับสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568

16 May 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner