Responsive image

Wednesday, 04 Jun 2025

หน้าแรก > SOCIETY / ภาพข่าว - CSR - ข่าวการเมือง


เอไอเอ ผนึกกำลัง กลุ่มบริษัทพราว และ จังหวัดนครราชสีมา จัดงาน “AIA ONE BILLION DAY 2025” ครั้งแรกกับการวิ่งเทรลบนเส้นทางมรดกโลก เพื่อให้คนไทยมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น

Tue 03/06/2568


เอไอเอ ประเทศไทย ร่วมกับ กลุ่มบริษัทพราว มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา และจังหวัดนครราชสีมา จัดกิจกรรม “เอไอเอ วัน บิลเลียน เดย์ สองศูนย์สองห้า” (AIA ONE BILLION DAY 2025) เตรียมเนรมิตสนามวิ่งเทรลระดับชาติในอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา เพื่อส่งเสริมสุขภาพแบบองค์รวม พร้อมกิจกรรมที่ให้ทุกเจนได้ออกมาสนุกร่วมกันตลอดทั้งวัน เพื่อมุ่งสร้างสังคมแห่งการมีสุขภาพดีอย่างยั่งยืน อีกทั้งยังตั้งเป้าช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการท่องเที่ยวเชิงกีฬาและวัฒนธรรม ตอกย้ำพันธกิจ AIA One Billion ที่ต้องการสนับสนุนผู้คนกว่าพันล้านคนให้มีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น ตามคำมั่นสัญญาของเอไอเอ ‘Healthier, Longer, Better Lives’

 

กิจกรรม AIA ONE BILLION DAY 2025 ถือเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างภาคเอกชนและภาคการศึกษา เพื่อปลุกพลังสุขภาพใน 3 มิติ ได้แก่ สุขภาพกาย สุขภาพใจ และสุขภาพทางการเงิน ควบคู่กับการประชาสัมพันธ์แหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดนครราชสีมา ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น “ดินแดน 3 มรดกโลก” (Triple Heritage City) จังหวัดแรกในประเทศไทย และหนึ่งใน 4 แห่งของโลก ที่มีพื้นที่ได้รับการขึ้นทะเบียนจากยูเนสโกถึง 3 แห่ง ได้แก่

  • อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ มรดกโลกทางธรรมชาติ (2005)
  • พื้นที่สงวนชีวมณฑลสะแกราช (1976)
  • และ โคราชจีโอพาร์ค อุทยานธรณีโลกแห่งใหม่ (2023)

สำหรับเส้นทางวิ่งเทรลในครั้งนี้ นักวิ่งเทรลจะได้วิ่งบนเส้นทางธรรมชาติจากอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ถึงโบนันซ่า เขาใหญ่ ผ่านเส้นทางที่ถือเป็นมรดกโลก ซึ่งไม่เพียงสะท้อนความงดงามของภูมิประเทศ แต่ยังตอกย้ำความภาคภูมิใจในคุณค่าเชิงมรดกของพื้นที่ ตลอดจนฉายภาพประวัติศาสตร์อันน่าจดจำ และการเป็นต่อยอดศักยภาพด้านการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์อย่างแท้จริง

 

คุณนิคฮิล แอดวานี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอไอเอ ประเทศไทย กล่าวว่า “AIA ONE BILLION DAY 2025 ถือเป็นหนึ่งในพันธกิจสำคัญของเอไอเอ ที่มุ่งมั่นในการส่งเสริมให้ผู้คนกว่าพันล้านคนมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้น โดยในปีนี้เรายังคงสานต่อกิจกรรม AIA One Billion Trail การแข่งขันวิ่งเทรล ประเภททีม 4 คน เพื่อชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งเอไอเอ เป็นผู้ริเริ่มขึ้นในประเทศไทย ตั้งแต่ปี 2022 เพื่อเป้าหมายหลักในการสนับสนุนด้านสุขภาพ รวมถึงปลุกพลังความสามัคคี ความแข็งแรง มิตรภาพ และพลังใจอันเป็นหนึ่งเดียวกันของนักวิ่งแต่ละทีม พร้อมกับร่วมระดมทุนเพื่อสนับสนุนโครงการเพื่อสังคมผ่านสภากาชาดไทย ซึ่งงานในปีที่ 4 นี้ เราได้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบให้ทุกคนได้มีส่วนร่วมมากขึ้น รวมถึงเส้นทางวิ่งเทรล เพื่อให้นักวิ่งเทรลทั้งไทยและเทศได้สัมผัสประสบการณ์ที่ท้าทายและประทับใจยิ่งกว่าเดิม โดยเราได้เปิดการแข่งขันเทรลประเภทเดี่ยวเพิ่มเติมขึ้น เพื่อเปิดโอกาสให้นักวิ่งทั้งที่เป็นมืออาชีพและมือสมัครเล่นได้ร่วมประสบการณ์งานเทรลระดับโลก โดยงาน AIA ONE BILLION DAY 2025 เอไอเอ ได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรอย่างกลุ่มบริษัทพราว และมหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา สร้างสรรค์กิจกรรมวิ่งเทรล ณ อุทยานแห่งชาติ เขาใหญ่ จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งไม่เพียงแต่งานวิ่งเทรลเท่านั้น ในปีนี้ยังมาพร้อมกับกิจกรรมที่หลากหลายให้ทุกคนได้สนุกตลอดทั้งวัน ณ โบนันซ่า เขาใหญ่

 

“สำหรับกิจกรรมต่าง ๆ ภายในงานจะถูกสร้างสรรค์ขึ้นภายใต้แนวคิว ‘Rethink Healthy’ ที่เอไอเอ ต้องการสนับสนุนให้ทุกคนเริ่มต้นดูแลสุขภาพในแบบที่เป็นตัวเอง เพื่อการมีสุขภาพและชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ซึ่งนอกเหนือจากวิ่งเทรลแล้ว เรายังมีกิจกรรม Snoopy Fun Run ให้ทุกครอบครัวได้ออกมาวิ่งกับสัตว์เลี้ยงแสนรัก รวมถึง AOB Park ที่เราได้รวมบูทกิจกรรมสนุก ๆ มากมาย และอิ่มอร่อยกับ Food trucks ที่เราจะยกร้านเด็ดร้านดังมาไว้ที่งาน นอกจากนี้ในช่วงเย็นเรายังมีคอนเสิร์ตที่ได้รวมศิลปินในดวงใจของคนทุกวัยมาไว้บนเวทีเดียวกัน ซึ่งไม่เพียงแต่เป็นการส่งเสริมด้านสุขภาพกายแล้ว เรายังส่งเสริมสุขภาพใจ รวมไปถึงดูแลสุขภาพทางการเงินให้กับคนไทย เพื่อให้บรรลุเป้าหมายตามพันธกิจ AIA One Billion ตลอดจนสร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะยาวอย่างแท้จริง

“ทั้งนี้ เราหวังเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรม AIA ONE BILLION DAY 2025 จะไม่เพียงส่งเสริมให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของสุขภาพในทุกมิติ แต่ยังร่วมสนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวของชุมชนในท้องถิ่นอย่างยั่งยืน พร้อมจุดประกายให้ทุกก้าวของการวิ่งมีพลังและมีความหมายต่อสังคมโดยรวมต่อไป” คุณนิคฮิล กล่าวทิ้งท้าย

 

ฯพณฯ สุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรีและประธานที่ปรึกษาการจัดงาน กล่าวว่า “กิจกรรม AIA ONE BILLION DAY 2025 ถือเป็นบทพิสูจน์ถึงพลังความร่วมมือที่แข็งแกร่งระหว่างภาคเอกชน ภาครัฐ และภาคการศึกษา ในการยกระดับกิจกรรมส่งเสริมสุขภาพสู่เวทีระดับประเทศ พร้อมสร้างประโยชน์ทางเศรษฐกิจและสังคมได้อย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในพื้นที่เขาใหญ่ ซึ่งเป็นแหล่งทรัพยากรธรรมชาติอันทรงคุณค่า และมีศักยภาพในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ผมเชื่อมั่นว่า การจัดกิจกรรมวิ่งเทรลในครั้งนี้ จะไม่เพียงเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยหันมาใส่ใจสุขภาพมากขึ้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความภาคภูมิใจในความงดงามของธรรมชาติและวัฒนธรรมไทย ควบคู่กับการส่งเสริมการท่องเที่ยวในพื้นที่ให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพและยั่งยืน”

 

คุณพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทพราว กล่าวว่า “เรามุ่งมั่นในการใช้กีฬาและกิจกรรมสร้างสรรค์เป็นเครื่องมือผลักดันการท่องเที่ยวในพื้นที่ศักยภาพ โดยเฉพาะเขาใหญ่ซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติอันอุดมสมบูรณ์ กิจกรรมในครั้งนี้ไม่เพียงสร้างประสบการณ์ให้นักวิ่งเทรลจากทั่วโลก แต่ยังสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน กระจายโอกาสทางเศรษฐกิจ และยกระดับการท่องเที่ยวไทยให้ก้าวสู่ความยั่งยืน กลุ่มบริษัทพราว ผู้นำด้านการพัฒนา Lifestyle Destination ตอกย้ำบทบาทในฐานะผู้นำด้านการท่องเที่ยวระดับโลก ให้ความสำคัญกับการออกแบบประสบการณ์การท่องเที่ยวที่มีคุณค่า ทั้งในมิติของสุขภาพ ความยั่งยืน และการเชื่อมโยงกับชุมชนท้องถิ่น เราเชื่อว่า ‘กีฬา’ โดยเฉพาะกิจกรรมอย่างการวิ่งเทรล คือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง ทั้งต่อตัวผู้เข้าร่วม และต่อพื้นที่ที่จัดกิจกรรม ความงดงามของเขาใหญ่ไม่ใช่เพียงฉากหลังของการแข่งขัน แต่เป็นส่วนหนึ่งของการเล่าเรื่องของเมืองท่องเที่ยวคุณภาพที่เดินหน้าไปพร้อมกับชุมชนและสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง”

นายชัยวัฒน์ ชื่นโกสุม ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา กล่าวเสริมว่า “โคราชพร้อมต้อนรับนักวิ่งและนักท่องเที่ยวจากทั่วประเทศและนานาชาติ กิจกรรม AIA ONE BILLION DAY 2025 จะเป็นเวทีสำคัญในการแสดงศักยภาพของจังหวัด ทั้งด้านธรรมชาติ วัฒนธรรม และชุมชน ซึ่งล้วนเป็นรากฐานของการพัฒนาอย่างยั่งยืนในระยะยาว”

 

 

สำหรับ “AIA ONE BILLION DAY 2025” จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2568 ณ โบนันซ่า เขาใหญ่ อำเภอปากช่อง จังหวัดนครราชสีมา และไฮไลท์สำคัญคือ กิจกรรม AIA One Billion Trail 2025 ซึ่งสนามวิ่งเทรลในปีนี้เป็นสนามที่ออกแบบเส้นทางมาอย่างพิถีพิถัน ให้นักวิ่งได้สัมผัสกับธรรมชาติ วัฒนธรรม และวิถีชุมชนในพื้นที่ โดยเส้นทางได้ครอบคลุมความงดงามของอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ แหล่งมรดกโลกทางธรรมชาติของไทย นักวิ่งจะได้สัมผัสประสบการณ์วิ่งท่ามกลางผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ ภูมิประเทศที่หลากหลาย และวิถีชุมชนในพื้นที่อย่างใกล้ชิด

การแข่งขัน AIA One Billion Trail 2025 แบ่งออกเป็น 3 ประเภท ได้แก่

  • ระยะ 10 กิโลเมตร (TEAM OF 4: LIGHT TRAIL)
  • ระยะ 25 กิโลเมตร (TEAM OF 4: CHALLENGE TRAIL)
  • ระยะ 50 กิโลเมตร (TEAM OF 4: ENDURANCE TRAIL)

 

 

รูปแบบการแข่งขันเป็นการวิ่งแบบทีม ทีมละ 4 คน ที่ต้องเดินทางร่วมกันตั้งแต่ต้นจนถึงเส้นชัย ภายใต้แนวคิด “ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง” ซึ่งเน้นความสามัคคี ความอดทน และการช่วยเหลือกันระหว่างทาง นอกจากนั้น ในปีนี้ยังได้เปิดการแข่งขันวิ่งเทรลประเภทเดี่ยวเพื่อมอบประสบการณ์เทรลระดับโลกให้ทุกคนได้ร่วมเป็นส่วนหนึ่ง ที่สำคัญกิจกรรมในครั้งนี้ยังเปิดรับการบริจาคเพื่อร่วมจัดซื้อเครื่องเอกซเรย์สำหรับผู้สูงอายุและผู้พิการ ผ่านสภากาชาดไทย หรือบริจาคเพื่อช่วยสร้างโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนบ้านป่าหมาก จังหวัดประจวบคิรีขันธ์ เพื่อให้เด็ก ๆ ในพื้นที่ห่างไกลได้มีโอกาสทางการศึกษา

ผู้สนใจสามารถติดตามรายละเอียดกิจกรรม AIA ONE BILLION DAY 2025 เพิ่มเติมได้ที่ www.aiaonebillionday.com

รับชมวิดีโอเปิดตัวงาน AIA ONE BILLION DAY 2025 ได้ที่ https://youtu.be/wj433-b7u3k

 


Tags : เอไอเอ เอไอเอ ประเทศไทย กลุ่มบริษัทเอไอเอ เอไอเอ ผนึกกำลัง กลุ่มบริษัทพราวจัดงาน AIA ONE BILLION DAY 2025 นิคฮิล แอดวานี AIA One Billion Trail 2025


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) ขานรับนโยบายนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เตรียมกรอบวงเงิน 30,000 ล้านบาท จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) เพื่อช่วยเหลือลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ให้กลับมามีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวดได้ตามปกติ เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป ด้วยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและเงินงวด นานสูงสุด 1 ปี ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL BFRIEND และสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน – 31 ธันวาคม 2568   นายกมลภพ วีระพละ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เปิดเผยว่า จากการที่ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ ช่วยเหลือภาคธุรกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา พร้อมทั้งจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 256 และมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ ให้มีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวด เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป ดังนั้น ธอส. ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐ ที่มีพันธกิจ “ทำให้คนไทยมีบ้าน” จึงขานรับนโยบายดังกล่าว โดยการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ให้กับลูกค้าธนาคาร จัดทำมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) สำหรับลูกค้ากลุ่มที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ (SM) ที่กู้เงินกับธนาคารมาแล้วไม่น้อยกว่า 1 ปีให้กลับมามีความสามารถในการผ่อนชำระเงินงวดได้ตามปกติ เพื่อรักษาบ้านของตนเองไว้ได้ต่อไป โดยมีรายละเอียด ดังนี้             เดือนที่ 1 – 6      : คิดอัตราดอกเบี้ย 6 เดือนแรก 0% ต่อปี โดยผ่อนชำระเงินงวดเพียง 1,000 บาทต่อเดือน             เดือนที่ 7 - 9      : ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 1.90 % +100 บาท             เดือนที่ 10 -12   : ผ่อนชำระเงินงวดคำนวณจากอัตราดอกเบี้ย 3.90 % +100 บาท                                       กรณีลูกค้าชำระเกินที่ธนาคารกำหนดให้นำไปตัดดอกเบี้ยค้างชำระ (หากมี) “การจัดทำมาตรการ DC3 ของ ธอส. ในครั้งนี้ นอกจากจะช่วยลูกค้ารักษาบ้านของตนเองแล้ว ยังเป็นการช่วยแก้ไขปัญหาหนี้ครัวเรือนของไทยให้ปรับตัวลดลงได้ด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องที่รัฐบาลและกระทรวงการคลังให้ความสำคัญ ในการแก้ไขปัญหาดังกล่าวควบคู่ไปกับการจัดทำมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อรองรับผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ ฯ ซึ่ง ธอส. ได้จัดทำสินเชื่อบ้านอัตราดอกเบี้ยต่ำรองรับการปล่อยสินเชื่อใหม่ให้ได้ไม่น้อยกว่า 240,000 ล้านบาทในปีนี้” นายกมลภพ กล่าว   อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน ธอส. มีมาตรการช่วยเหลือลูกค้าที่ได้รับผลกระทบด้านรายได้ กลุ่มลูกค้า NPL อีกจำนวน  4 มาตรการ นอกจากนี้ ธอส. ยังดำเนินการตามนโยบายกระทรวงการคลัง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ในการเปิดขยายเวลาการเข้าร่วม “โครงการคุณสู้ เราช่วย” ถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2568 เพื่อช่วยลูกหนี้ที่มีวงเงินสินเชื่อไม่เกิน 5 ล้านบาท ทำสัญญาก่อนวันที่ 1 มกราคม 2567 ซึ่งเป็นกลุ่มลูกหนี้ที่ไม่ค้างชำระหรือค้างชำระไม่เกิน 30 วัน แต่เคยมีประวัติการค้างชำระเกิน 30 วัน ก่อนวันที่ 1 พฤศจิกายน  2567 และได้รับการปรับโครงสร้างหนี้ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2565 ให้ได้รับความช่วยเหลือต่อเนื่อง และยังจัดทำมาตรการช่วยเหลือเพื่อบรรเทา ความเดือดร้อนให้กับลูกค้าที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคม 2568 ที่ผ่านมาด้วย ลูกค้าที่สนใจเข้าร่วมมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจ (DC3) สามารถลงทะเบียนแจ้งความประสงค์เข้าร่วมมาตรการผ่าน Application : GHB ALL BFRIEND และสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่วันที่ 4 มิถุนายน – 31 ธันวาคม 2568 โดยแสดงหลักฐานการได้รับผลกระทบจากการประกอบอาชีพ / ธุรกิจ / การค้า หรือจากสภาวะทางเศรษฐกิจ เพื่อประกอบการพิจารณา สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ ธอส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ G H Bank Call Center โทร.0-2645-9000 หรือ Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์ และติดตามข่าวสารของธนาคารได้ที่ Application : GHB ALL GEN และ www.ghbank.co.th  

02 Jun 2025

...

ตามที่รัฐบาลโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ ช่วยเหลือภาคธุรกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ผ่านการลดเป้าหมายกำไรทางธุรกิจเพื่อนำเม็ดเงินงบประมาณมาจัดทำโครงการ/มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการนั้น   นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารจึงได้เร่งรัดดำเนินการ ประกาศลดดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการกลุ่มสินเชื่อธุรกิจที่เป็นลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร ในอัตรา 2 - 3% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกธุรกิจ Supply Chain และผู้ผลิตสินค้าที่ต้องมีการแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ เนื่องจากนโยบายกำแพงภาษีฯ ส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนสินค้าไทยเพิ่มขึ้น การส่งออกชะลอตัว และอาจทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงจนนำไปสู่ปัญหาการขาดสภาพคล่อง และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงิน เสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจสามารถประคองตัวและดำเนินกิจการต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย มาตรการลดดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ครอบคลุมลูกค้าปัจจุบันกลุ่มสินเชื่อธุรกิจธนาคารออมสินทุกประเภทที่มีสถานะบัญชีปกติ โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่ได้รับผลกระทบ ธุรกิจ Supply Chain และผู้ผลิตที่ต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ ลดดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 3% ต่อปี จากอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิม ระยะเวลาการลดดอกเบี้ย ไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่จัดทำนิติกรรมสัญญา ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด ลูกค้าที่เข้าหลักเกณฑ์สามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่ สาขาธนาคารออมสินที่มีบัญชีเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2568 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115  

25 May 2025

...

SME D Bank เผยผลตรวจสุขภาพธุรกิจผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านระบบ Business Health Check ในแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” (dx.smebank.co.th)   พบจุดอ่อนสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านบริหารการเงิน  ด้านจัดการนวัตกรรม-เทคโนโลยี และด้านการตลาด  ประกาศเดินหน้าช่วย “เติมความรู้คู่เงินทุน” เสริมศักยภาพให้เข้มแข็ง ปิดจุดอ่อน สามารถก้าวผ่านอุปสรรคได้ในทุกสถานการณ์   นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากที่ SME D Bank มีบริการ “ตรวจสุขภาพทางธุรกิจ” หรือ “Business Health Check”  แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th)  เพื่อให้รับรู้ข้อมูลและเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนในกิจการตัวเอง ก่อนนำไปสู่การเติมทักษะ ปิดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งได้ตรงกับความต้องการของแต่ละกิจการ  ทั้งนี้  ระยะเวลาประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้ารับบริการตรวจสุขภาพทางธุรกิจ รวมกว่า 9,200 กิจการ  พบทักษะ 3 ด้านที่เป็นจุดอ่อนสำคัญ ได้แก่  อันดับ 1  ด้านการบริหารจัดการเงิน  ระดับคะแนนประเมินผลอยู่ที่ 1.8 จากคะแนนเต็ม 5 ตามด้วย อันดับ 2  ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี (2.6 คะแนน) และอันดับ 3 ด้านการสื่อสารการตลาด (3.6 คะแนน) โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในทุกขนาดธุรกิจ ล้วนมีจุดอ่อนใน 3 ด้านนี้เหมือนกัน แตกต่างกันในรายละเอียดและความซับซ้อนในทักษะที่ต้องพัฒนา   สำหรับด้านการบริหารจัดการเงิน กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) มีคะแนนต่ำที่สุด ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นความสำคัญของการทำบัญชี ไม่แยกเงินส่วนตัวกับธุรกิจ ไม่เข้าใจหลักการบัญชีเบื้องต้น ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการคำนวณกำไรขาดทุน รวมถึงความสามารถในการเข้าถึงแหล่งทุน  ส่วนกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก (Small) มีการบันทึกข้อมูลทางการเงิน แต่ขาดเครื่องมือหรือการลงทุนในระบบบัญชีที่เป็นมาตรฐาน รวมถึงขาดการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อวางแผนระยะยาว ขณะที่ ผู้ประกอบการขนาดกลาง (Medium) ต้องการทักษะการวิเคราะห์ทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น และในหลายกิจการขาดการบูรณาการข้อมูล ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ผู้ประกอบการรายย่อย ไม่รู้ว่ามีเทคโนโลยีอะไรที่ช่วยธุรกิจเล็กๆ ได้บ้าง และยังไม่สามารถเชื่อมโยงการใช้เทคโนโลยีด้านการตลาดได้อย่างเต็มศักยภาพ ส่วนผู้ประกอบการขนาดเล็ก ไม่รู้ว่าเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมรูปแบบใดเหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง และไม่มีแผนหรือนโยบายที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายของธุรกิจ รวมถึงไม่กล้ารับความเสี่ยงที่จะล้มเหลวจากการลงทุนในนวัตกรรม  สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง ไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมนวัตกรรมได้อย่างแท้จริง ด้านการสื่อสารการตลาด ผู้ประกอบการรายย่อย  ขาดทักษะในการใช้ Social Media ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับการตลาด รวมถึงไม่เข้าใจการตลาดพื้นฐาน ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดเล็ก  ขาดทักษะในการใช้เครื่องมือและการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด ไม่รู้วิธีวัดผลลัพธ์จากการทำการตลาด ทำให้กระทบต่อการวางแผนการตลาดอย่างเป็นระบบ ส่วนผู้ประกอบการขนาดกลาง ขาดการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดเชิงลึกและการบูรณาการข้อมูลจากทุกช่องทาง ทั้งนี้ ผลการตรวจสุขภาพทางธุรกิจ พบว่า ในภาพรวม ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยมีทักษะที่เข้มแข็ง  2 ด้าน ได้แก่ การบริหารประสิทธิภาพการผลิตหรือบริการ และการบริหารจัดการองค์กร ซึ่งเป็นศักยภาพที่ควรเสริมให้แกร่งขึ้นในยุคที่ความไม่แน่นอนสูง การบริหารจัดการต้นทุนทำได้ยากขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการประสิทธิภาพตามแนวทางธุรกิจสีเขียว เพื่อให้กำไรสูงสุดภายใต้เงื่อนไขการปล่อยคาร์บอนต่ำสุด   นายพิชิต กล่าวต่อว่า  จากที่เห็นจุดอ่อนสำคัญของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย  SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐเดินหน้ายกระดับพัฒนาศักยภาพให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ผ่านบริการ “เติมความรู้คู่เงินทุน” ช่วยเสริมศักยภาพในหลากหลายรูปแบบ เพื่อช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ปิดจุดอ่อนใน 3 ด้านดังกล่าว สำหรับด้านการพัฒนาผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน จัดโครงการพัฒนาทั้งออนไซต์ควบคู่ออนไลน์ เช่น โครงการ “ทุนก็มี ภาษีก็รู้ ก้าวสู่ความยั่งยืน” จับมือกรมสรรพากร   ให้ความรู้ด้านการเงิน ในรูปแบบ One Stop Service ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โครงการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยี โครงการสนับสนุนด้านการตลาด เช่น สอนการสร้างคอนเทนต์ด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ กิจการ SME D Market รวมถึง Business Matching ช่วยเพิ่มรายได้ขยายตลาด เป็นต้น อีกทั้ง มีบริการแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th) ช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจครบวงจร ใช้บริการได้สะดวกสบาย ตลอด 24 ชม. เช่น  E-Learning รวบรวมหลักสูตรความรู้เพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ ทั้งการบริหารจัดการธุรกิจ นวัตกรรม เทคโนโลยี มาตรฐาน การตลาด การเงิน และเตรียมพร้อมเข้าถึงแหล่งเงินทุน  , SME D Coach ที่ปรึกษาและให้คำแนะนำธุรกิจจากโค้ชมืออาชีพ  , E-marketplace ช่วยขยายช่องทางขยายตลาด และเชื่อมโยงจับคู่ธุรกิจ และ Privilege สิทธิประโยชน์เพื่อยกระดับธุรกิจ เป็นต้น ควบคู่กับให้บริการด้านการเงิน ช่วยให้มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อลงทุน ปรับปรุง ขยายกิจการ  หมุนเวียน หรือลดต้นทุนทางการเงิน เป็นต้น  จุดเด่นอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปี  คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน  ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถแจ้งความประสงค์ใช้บริการด้านการพัฒนาและการเงินได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น  แพลตฟอร์ม DX by SME D Bank , LINE Official Account : SME Development Bank และเว็บไซต์ www.smebank.co.th  เป็นต้น  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357   

24 May 2025

...

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดย นางสาวอรนาฎ นชะพงษ์ (ที่ 4 จากขวา) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า พร้อมด้วยนายแพทย์วิรุณ เกียรติคุณรัตน์ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์บริการการแพทย์ ร่วมงานแถลงข่าว “BDMS Preventive Vaccine” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลในเครือ BDMS กับบริษัทประกันชีวิตชั้นนำในการจัด “โครงการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในราคาพิเศษ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันอย่างยั่งยืนในกลุ่มผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพ ณ ห้องประชุมเรเดียน โรงแรมเมอวินพิค บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท เมื่อเร็ว ๆ นี้ กรุงเทพประกันชีวิต ใส่ใจและมีเป้าหมายในการสนับสนุนให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนเพื่อลดความรุนแรงของโรค ภาวะแทรกซ้อน และลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในระยะยาว จึงเข้าร่วม “โครงการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในราคาพิเศษ” โดยลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพของกรุงเทพประกันชีวิต สามารถขอรับการบริการฉีดวัคซีนจากโรงพยาบาลเครือบีดีเอ็มเอสได้ในราคาเดียวทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล โดยวัคซีนที่ให้บริการประกอบด้วย วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์  สำหรับผู้ใหญ่อายุ 15 ปีขึ้นไป             ราคา      500       บาท วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์  สำหรับเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 15 ปี         ราคา      700       บาท วัคซีนงูสวัด (2 เข็ม)                                                                             ราคา  11,500      บาท วัคซีนปอดอักเสบ 1 เข็ม (Prevnar20)                                                 ราคา    3,500      บาท วัคซีนไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ (2 เข็ม) สำหรับผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป    ราคา    3,900     บาท ทั้งนี้ ราคาดังกล่าวรวมค่าแพทย์ และค่าบริการโรงพยาบาล แต่ไม่รวมค่ายาอื่นๆ และค่ารักษาพยาบาล หรือค่าบริการปรึกษาทางการแพทย์เพิ่มเติม ผู้สนใจสามารถรับบริการได้ที่โรงพยาบาลในเครือ BDMS โดยโทรนัดหมายที่โรงพยาบาลที่ต้องการรับบริการล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน และแสดงหลักฐานกรมธรรมประกันสุขภาพ หรือ บัตรผู้เอาประกันภัยแก่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก่อนรับบริการ โดยมีระยะเวลาการรับสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568

16 May 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner