Responsive image

Thursday, 29 May 2025

หน้าแรก > INSURANCE / ประกันภัย - ประกันชีวิต


ไทยประกันชีวิต จับมือพันธมิตร สร้าง Ecosystem ดูแลลูกค้ากลุ่ม Silver Age ครบวงจร ภายใต้ผลิตภัณฑ์ Health Fit Senior CI ตอบโจทย์ผู้สูงอายุพร้อมใช้ชีวิตอย่างไร้กังวล

Tue 27/05/2568


ไทยประกันชีวิต ผนึกพันธมิตร เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง ผู้นำด้านการวิจัยและพัฒนายาชั้นนำของโลก ร่วมด้วยเนอร์สซิ่งโฮมชั้นนำ 16 แห่ง สร้าง Ecosystem ในการดูแลและให้บริการลูกค้ากลุ่ม Silver Age หรือกลุ่มผู้สูงอายุแบบครบวงจร ผ่านผลิตภัณฑ์ประกันชีวิต บริการ และสิทธิพิเศษ ภายใต้ผลิตภัณฑ์ “ไทยประกันชีวิต Health Fit Senior CI” มุ่งเตรียมความพร้อมให้คนไทยใช้ชีวิตสูงวัยแบบไร้กังวล

นายเด่นพงษ์ เจษฎาวิริยะ ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI เปิดเผยว่า จากข้อมูลของสำนักงานสถิติแห่งชาติพบว่า ในปี 2567 ประเทศไทยมีจำนวนผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไป ประมาณ 14 ล้านคน หรือคิดเป็น 20% ของประชากรทั้งประเทศ และมีแนวโน้มเพิ่มจำนวนขึ้นต่อเนื่อง ทำให้ประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ “สังคมสูงอายุระดับสุดยอด” (Hyper Aged Society) ซึ่งกลุ่ม Silver Age หรือกลุ่มผู้สูงอายุที่มีอายุตั้งแต่ 55 ปีขึ้นไป เป็นกลุ่มที่มีความต้องการในการเตรียมความพร้อมเพื่อดูแลให้ครอบคลุมการใช้ชีวิต ทั้งด้านร่างกาย สุขอนามัย และจิตใจ เพื่อให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างไม่ต้องกังวัล และไม่เป็นภาระของครอบครัวในอนาคต

ผนวกกับเจตนารมณ์การดำเนินธุรกิจ (Business Propose) ของไทยประกันชีวิตที่มุ่งเป็นทุกคำตอบของการประกันชีวิต การประกันสุขภาพ และการวางแผนทางการเงินส่วนบุคคล หรือ Life Solutions Provider ซึ่งไทยประกันชีวิตได้กำหนด Roadmap การดำเนินงานเพื่อให้บรรลุ Business Propose ดังกล่าว โดยแบ่งออกเป็น 2 ช่วง คือ Transforming Tomorrow โดยบริษัทฯ Transform การดำเนินธุรกิจในทุกด้านมาตั้งแต่ปี 2565 จนปัจจุบันสามารถกำหนดกลยุทธ์และการดำเนินงานที่ชัดเจน พร้อมก้าวสู่ช่วงที่สองในการดำเนินธุรกิจที่เข้มแข็งและยั่งยืน หรือ Sustainable Tomorrow

การเป็น Life Solutions Provider ของไทยประกันชีวิต ด้านหนึ่งจะเป็นการมุ่งสร้าง Ecosystem ในการดูแลลูกค้าอย่างครบวงจร ทั้งในด้าน Health - Wealth - Life เพื่อส่งมอบสุขภาพที่ดี  ชีวิตที่ดี และความมั่นคงมั่งคั่งให้กับลูกค้า บริษัทฯ จึงพัฒนาผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตและการบริการที่รองรับการเปลี่ยนแปลงทุกช่วงชีวิต (Life Stage) ทุกจังหวะชีวิต (Life Event) และทุกการใช้ชีวิต (Lifestyle)

ดังนั้นเพื่อสร้างการดูแลในลักษณะ Ecosystem และเป็น Solutions ในการดูแลชีวิตและสุขภาพของกลุ่ม Silver Age หรือผู้สูงอายุ ไทยประกันชีวิตจึงได้ประสานความร่วมมือกับหลากหลายพันธมิตร พัฒนาผลิตภัณฑ์ บริการ และสิทธิพิเศษแบบครบวงจรให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ ภายใต้ผลิตภัณฑ์ “ไทยประกันชีวิต Health Fit Senior CI”

โดยพันธมิตรของบริษัทฯ ประกอบด้วย บริษัท เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง จำกัด ผู้นำด้านการพัฒนายารักษาโรคอัลไซเมอร์และโรคระบบประสาท และผู้ประกอบธุรกิจเนอร์สซิ่งโฮมหรือโรงพยาบาลผู้สูงอายุชั้นนำ 16 แห่ง เพื่อมอบการดูแลแบบองค์รวมสำหรับลูกค้าที่ซื้อผลิตภัณฑ์ ไทยประกันชีวิต Health Fit Senior CI ครอบคลุมตั้งแต่การตรวจคัดกรองภาวะสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ ไปจนถึงการรับบริการจากเนอร์สซิ่งโฮม โดยแบบประกันดังกล่าวจะมอบเงินผลประโยชน์เป็นรายเดือนระยะยาว สำหรับเป็นค่าใช้จ่ายในการรับบริการจากเนอร์สซิ่งโฮมที่เป็นเครือข่ายพันธมิตรกับไทยประกันชีวิต ซึ่งสามารถเลือกแจ้งความประสงค์ให้บริษัทฯ จ่ายผลประโยชน์รายเดือนไปยังเนอร์สซิ่งโฮมภายใต้เครือข่ายพันธมิตรกับไทยประกันชีวิต เพื่อรับบริการ

สำหรับรายละเอียดของ ไทยประกันชีวิต Health Fit Senior CI เป็นแบบประกันที่ให้ความคุ้มครองชีวิต การเจ็บป่วยด้วยโรคร้ายแรง และอุบัติเหตุ สมัครได้ตั้งแต่อายุ 40-80 ปี โดยมอบผลประโยชน์ตามกรมธรรม์ที่ครอบคลุมความต้องการของกลุ่มผู้สูงอายุ ได้แก่

  • ครอบคลุมการตรวจคัดกรองภาวะสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์ โดยแพทย์
  • รับผลประโยชน์รายเดือนในกรณีป่วยด้วยโรคร้ายแรงทุกระยะ เช่น โรคสมองเสื่อมชนิดอัลไซเมอร์, โรคหลอดเลือดสมองแตกหรืออุดตัน, โรคพาร์กินสัน เป็นต้น สูงสุด 6 ล้านบาท ระยะเวลาสูงสุด 120 เดือน
  • คุ้มครองการป่วยโรคเรื้อรังจากการดำเนินชีวิต  4 โรค ได้แก่ โรคเกาต์ระยะเรื้อรังที่มีก้อนโทฟัส, โรคแผลในกระเพาะอาหารขั้นรุนแรง, โรคจอตาเสื่อมในผู้สูงอายุที่มีความบกพร่องทางการมองเห็น และโรคประสาทหูเสื่อมขั้นรุนแรง
  • รับค่าชดเชยกรณีกระดูกแตกหักจากอุบัติเหตุ รวมถึงค่าพยาบาลดูแลฟื้นฟูสุขภาพ ค่ากายภาพบำบัด และกิจกรรมบำบัด

“ไทยประกันชีวิตมุ่งมั่นพัฒนาผลิตภัณฑ์ ไทยประกันชีวิต Health Fit Senior CI เพื่อให้สอดคล้องกับภาวการณ์ของประเทศไทยที่เข้าสู่สังคมสูงอายุอย่างสมบูรณ์ ตอบโจทย์ผู้สูงวัยยุคใหม่ ให้สามารถใช้ชีวิตได้อย่างไร้กังวล พร้อมรับมือกับปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้น เหมาะกับผู้ที่ต้องการสร้างหลักประกันทางการเงินและสุขภาพ รวมถึงลดความกังวลด้านค่าใช้จ่ายของลูกหลานในการเตรียมความพร้อมสำหรับการดูแลรักษา และเป็นหลักประกันค่าใช้จ่ายระยะยาวแก่ผู้สูงอายุ” นายเด่นพงษ์กล่าว

ด้าน เภสัชกร ณัฐพันธุ์ นิมมานพัชรินทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง จำกัด“เอไซ เชื่อมั่นว่าการดูแลสุขภาพผู้สูงวัยอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ควรจำกัดอยู่เพียงแค่การรักษาเมื่อเจ็บป่วยเท่านั้น แต่ต้องเริ่มตั้งแต่การป้องกันและคัดกรองความเสี่ยงตั้งแต่เนิ่น ๆ เพื่อให้สามารถตรวจพบความผิดปกติได้ทันท่วงที และชะลอการเกิดโรคได้ทันเวลา แนวคิด “ป้องกันก่อนเกิดโรค” จึงไม่ใช่เพียงทางเลือก แต่ถือเป็นความจำเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในกลุ่มผู้สูงอายุที่มีความเปราะบาง ทั้งทางร่างกายและจิตใจ ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรมการรักษาโรคสมองเสื่อมและยาสำหรับผู้สูงอายุ เอไซ มีความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างระบบนิเวศสุขภาพ (Health Ecosystem) ให้แข็งแกร่งและสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น บริษัทฯ ไม่เพียงแค่มุ่งเน้นด้านการวิจัยและการผลิตยาเท่านั้น แต่ยังให้ความสำคัญกับการสร้างความร่วมมือกับพันธมิตรที่มีเป้าหมายร่วมกัน

การร่วมมือกับไทยประกันชีวิตในครั้งนี้ จึงถือเป็นการบูรณาการระบบการดูแลสุขภาพเข้ากับความมั่นคงทางการเงินอย่างแท้จริง โดยเริ่มตั้งแต่การคัดกรองสุขภาพที่ได้รับความคุ้มครองจากประกันชีวิต ไปจนถึงการดูแลรักษาอย่างต่อเนื่องในกรณีที่ตรวจพบภาวะโรค เช่น ภาวะสมองเสื่อม โดยเฉพาะชนิดอัลไซเมอร์ และโรคอื่น ๆ ที่เกี่ยวกับผู้สูงวัย

เอไซ ไม่ได้มองเพียงแค่การดูแลในวันนี้ แต่เรากำลังร่วมสร้าง Ecosystem หรือระบบนิเวศสุขภาพที่ยั่งยืนเพื่อสนับสนุนให้ผู้สูงอายุได้รับการคัดกรอง ป้องกัน และดูแลรักษาอย่างต่อเนื่อง หนึ่งในเครื่องมือสำคัญ คือ  CogMate™  ซึ่งได้รับการออกแบบมาเพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจเช็กสุขภาพสมองได้ด้วยตนเองจากที่บ้าน ช่วยให้สามารถประเมินภาวะการทำงานของสมองได้ตั้งแต่ระยะเริ่มต้น ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการชะลอการเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับสมองในผู้สูงอายุ เครื่องมือนี้จึงมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีอย่างยั่งยืนตลอดเส้นทางชีวิต (Life Journey)” เภสัชกร ณัฐพันธุ์ กล่าว

นายแพทย์ เก่งพงศ์ ตั้งอรุณสันติ นายกสมาคมการค้าและการบริการสุขภาพ ผู้สูงอายุไทย (SHSTA) ผู้แทนผู้ประกอบธุรกิจเนอร์สซิ่งโฮมหรือโรงพยาบาลผู้สูงอายุชั้นนำ กล่าวว่า “สมาคมการค้าและการบริการสุขภาพผู้สูงอายุไทย มุ่งมั่นยกระดับมาตรฐานการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวของประเทศไทยอย่างยั่งยืน โดยเล็งเห็นถึงความสำคัญของการสร้างระบบการดูแลที่มีคุณภาพ ครอบคลุม และตอบโจทย์ความต้องการของสังคมสูงวัยในปัจจุบันและอนาคต ด้วยความร่วมมือระหว่างภาครัฐ อาทิ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงพาณิชย์ หน่วยงานด้านสาธารณสุขในระดับพื้นที่ รวมถึงภาคประชาสังคม ผู้ประกอบการทั้งรายเล็กและรายใหญ่ ตลอดจนระบบประกันสุขภาพเอกชนชั้นนำอย่างไทยประกันชีวิต

สมาคมฯ เชื่อมั่นว่าการบูรณาการทุกภาคส่วนเข้าด้วยกัน จะเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาระบบการดูแลผู้สูงอายุระยะยาวที่มีคุณภาพ เข้าถึงได้ และสอดคล้องกับบริบทของประเทศไทย พร้อมทั้งยกระดับวิชาชีพด้านการดูแลผู้สูงอายุให้มีมาตรฐานสากล อันจะนำไปสู่การสร้างเสาหลักด้านสุขภาพผู้สูงวัยให้แข็งแรง เป็นพลังสำคัญของงานสาธารณสุขไทยในอนาคต และเป็นต้นแบบให้กับการพัฒนาระบบดูแลผู้สูงวัยในประเทศอย่างแท้จริง”

สำหรับสถานบริการเนอร์สซิ่งโฮมชั้นนำที่เข้าร่วมโครงการ ได้แก่ โรงพยาบาลผู้สูงอายุ เฌ้อสเซอรี่ โฮม, เฌ้อสเซอรี่ โฮม พรีเมี่ยม ซีเนียร์แคร์, เฌ้อสเซอรี่ โฮม ซีเนียร์แคร์ บางบอน, เฌ้อสเซอรี่ โฮม ซีเนียร์แคร์ แจ้งวัฒนะ, โรงพยาบาลกายภาพบำบัด เฌ้อสเซอรี่ โฮม บางนา-วงแหวน by Vimut, บ้านธรรมชาติ ซีเนียร์แคร์ แบริ่ง บาย เฌ้อสเซอรี่ โฮม, ซีเนียร์ เนอร์สซิ่งโฮม ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง (Senior nursing home), ซีเนียร์ เนอร์สซิ่งโฮม ศูนย์ดูแลผู้สูงอายุหรือผู้มีภาวะพึ่งพิง 1 (Senior nursing home 1), โรงพยาบาลเดอะซีเนียร์รัชโยธิน โรงพยาบาลกายภาพบำบัดขนาดกลาง, โรงพยาบาลเดอะซีเนียร์ โรงพยาบาลส่งเสริมฟื้นฟูผู้สูงอายุขนาดเล็ก, โรงพยาบาลเดอะซีเนียร์ โรงพยาบาลการพยาบาลและการผดุงครรภ์ขนาดเล็ก, ศูนย์ส่งเสริมและฟื้นฟูผู้สูงวัย The Senizens, ศิริอรุณแคร์ ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพและดูแลผู้สูงอายุ, ศิริอรุณเวลเนส ศูนย์ฟื้นฟูสุขภาพและดูแลผู้สูงอายุ, คิน รีแฮพ แอนด์ โฮมแคร์, คิน เนอร์สซิ่งโฮม และไทยประกันชีวิตยังมีแผนในการขยายเครือข่ายพันธมิตรเนอร์สซิ่งโฮม เพื่อให้บริการได้อย่างครอบคลุมทุกพื้นที่ทั่วประเทศอีกด้วย

นอกจากนี้ ลูกค้าไทยประกันชีวิตที่ซื้อผลิตภัณฑ์ ไทยประกันชีวิต Health Fit Senior CI ยังได้รับสิทธิพิเศษเพิ่มเติม ภายใต้แคมเปญ Senior Well Being ที่มุ่งยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงอายุ ให้มีทั้งสุขภาพที่ดี ทั้งร่างกายและจิตใจผ่านสิทธิพิเศษต่างๆ ทั้งบริการตรวจสุขภาพ ส่วนลดร้านค้า และอื่นๆ โดยกดรับสิทธิ์ผ่าน แอปพลิเคชัน ไทยประกันชีวิต อาทิ

สิทธิพิเศษ ณ โรงพยาบาลพญาไท 1

  • สมาชิกไทยประกันชีวิต INFINITE รับสิทธิตรวจความหนาแน่นมวลกระดูก 2 ส่วน (กระดูกสันหลังและสะโพก) ราคาพิเศษ 1,500 บาท, ตรวจโครงสร้างกระดูกสะโพกและขา (Orthroscanogram) ราคาพิเศษ 1,700 บาท
  • สมาชิกไทยประกันชีวิต Privilege ผ่าตัดเปลี่ยนข้อเข่าเทียม ราคาพิเศษ พร้อมรับเพิ่ม Voucher ตรวจความหนาแน่นมวลกระดูก พร้อมบัตรกำนัลห้างสรรพสินค้าชั้นนำ

 

สิทธิพิเศษจากพันธมิตร เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง

  • สมาชิกไทยประกันชีวิต INFINITE รับฟรี แพ็กเกจโปรแกรมตรวจสุขภาพสมอง CogMate™ ในการตรวจสุขภาพสมองต่อเนื่อง 3 ครั้งต่อ 1 ผู้ใช้งาน ผ่าน www.Cogmatethailand.com
  • สมาชิกไทยประกันชีวิต Privilege ส่วนลด 25% ในการซื้อแพ็กเกจโปรแกรมตรวจสุขภาพสมอง CogMate™
  • ลูกค้าไทยประกันชีวิตที่มีการลงทะเบียนใช้งานแอปพลิเคชัน ไทยประกันชีวิต สามารถร่วมทำแบบประเมินสุขภาพสมอง (1 สิทธิ์ / ท่าน / เดือน) พร้อมรับโค้ดส่วนลด 15% สำหรับตรวจสุขภาพสมองจาก CogMate™ เมื่อผลประเมินบ่งชี้ว่า คุณควรใส่ใจสุขภาพสมองมากขึ้น

สิทธิพิเศษ จาก Chersery Nursing Home

สมาชิกไทยประกันชีวิต Privilege รับสิทธิพิเศษ ส่วนลด 2,000 บาท เมื่อใช้บริการ Harmoni Homecare บริการดูแลผู้สูงวัยที่บ้านเป็นรายเดือน หรือกายภาพบำบัดเมื่อซื้อคอร์ส 10 ครั้ง รวมถึง ส่วนลดพิเศษ เมื่อใช้บริการ Daycare Service ดูแลผู้สูงวัยกิจกรรมระหว่างวัน

รวมถึงสิทธิพิเศษอื่นๆ อีกมากมาย โดยสามารถดูรายละเอียดสิทธิพิเศษได้ทาง แอปพลิเคชัน ไทยประกันชีวิต และลูกค้าไทยประกันชีวิตสามารถดาวน์โหลด แอปพลิเคชัน ไทยประกันชีวิต ได้ฟรี ทั้งจากระบบ IOS และ Android คลิกเพื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน https://thailifeapplication.page.link/home

รายละเอียดผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม คลิก Health Fit Senior CI หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ไทยประกันชีวิตแคร์เซ็นเตอร์ โทร.1124


Tags : ไทยประกันชีวิต TLI เด่นพงษ์ เจษฎาวิริยะ ไทยประกันชีวิต Health Fit Senior CI เอไซ (ประเทศไทย) มาร์เก็ตติ้ง


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

ตามที่รัฐบาลโดยนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้มอบนโยบายให้สถาบันการเงินของรัฐ ช่วยเหลือภาคธุรกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ผ่านการลดเป้าหมายกำไรทางธุรกิจเพื่อนำเม็ดเงินงบประมาณมาจัดทำโครงการ/มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และช่วยลดผลกระทบที่เกิดขึ้นแก่ผู้ประกอบการนั้น   นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารจึงได้เร่งรัดดำเนินการ ประกาศลดดอกเบี้ยให้แก่ผู้ประกอบการกลุ่มสินเชื่อธุรกิจที่เป็นลูกค้าปัจจุบันของธนาคาร ในอัตรา 2 - 3% ต่อปี สำหรับผู้ประกอบการธุรกิจส่งออกธุรกิจ Supply Chain และผู้ผลิตสินค้าที่ต้องมีการแข่งขันสูงกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ เนื่องจากนโยบายกำแพงภาษีฯ ส่งผลกระทบทำให้ต้นทุนสินค้าไทยเพิ่มขึ้น การส่งออกชะลอตัว และอาจทำให้ขีดความสามารถในการแข่งขันลดลงจนนำไปสู่ปัญหาการขาดสภาพคล่อง และกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม การลดดอกเบี้ยจะช่วยลดภาระต้นทุนทางการเงิน เสริมสภาพคล่องให้ธุรกิจสามารถประคองตัวและดำเนินกิจการต่อไปได้ในช่วงเวลาที่ท้าทาย มาตรการลดดอกเบี้ยสำหรับผู้ประกอบการที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายกำแพงภาษีนำเข้าของสหรัฐอเมริกา ครอบคลุมลูกค้าปัจจุบันกลุ่มสินเชื่อธุรกิจธนาคารออมสินทุกประเภทที่มีสถานะบัญชีปกติ โดยเฉพาะธุรกิจส่งออกที่ได้รับผลกระทบ ธุรกิจ Supply Chain และผู้ผลิตที่ต้องแข่งขันกับสินค้านำเข้าราคาถูกจากต่างประเทศ ลดดอกเบี้ยสูงสุดไม่เกิน 3% ต่อปี จากอัตราดอกเบี้ยตามสัญญาเดิม ระยะเวลาการลดดอกเบี้ย ไม่เกิน 1 ปี นับจากวันที่จัดทำนิติกรรมสัญญา ทั้งนี้ เป็นไปตามหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่ธนาคารกำหนด ลูกค้าที่เข้าหลักเกณฑ์สามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่ สาขาธนาคารออมสินที่มีบัญชีเงินกู้ ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2568 สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ GSB Contact Center โทร. 1115  

25 May 2025

...

SME D Bank เผยผลตรวจสุขภาพธุรกิจผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านระบบ Business Health Check ในแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” (dx.smebank.co.th)   พบจุดอ่อนสำคัญ 3 ด้าน ได้แก่ ด้านบริหารการเงิน  ด้านจัดการนวัตกรรม-เทคโนโลยี และด้านการตลาด  ประกาศเดินหน้าช่วย “เติมความรู้คู่เงินทุน” เสริมศักยภาพให้เข้มแข็ง ปิดจุดอ่อน สามารถก้าวผ่านอุปสรรคได้ในทุกสถานการณ์   นายพิชิต มิทราวงศ์ กรรมการผู้จัดการ ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank เปิดเผยว่า จากที่ SME D Bank มีบริการ “ตรวจสุขภาพทางธุรกิจ” หรือ “Business Health Check”  แก่ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีผ่านแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th)  เพื่อให้รับรู้ข้อมูลและเข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนในกิจการตัวเอง ก่อนนำไปสู่การเติมทักษะ ปิดจุดอ่อน เสริมจุดแข็งได้ตรงกับความต้องการของแต่ละกิจการ  ทั้งนี้  ระยะเวลาประมาณ 1 ปีที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้ารับบริการตรวจสุขภาพทางธุรกิจ รวมกว่า 9,200 กิจการ  พบทักษะ 3 ด้านที่เป็นจุดอ่อนสำคัญ ได้แก่  อันดับ 1  ด้านการบริหารจัดการเงิน  ระดับคะแนนประเมินผลอยู่ที่ 1.8 จากคะแนนเต็ม 5 ตามด้วย อันดับ 2  ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี (2.6 คะแนน) และอันดับ 3 ด้านการสื่อสารการตลาด (3.6 คะแนน) โดยผู้ประกอบการเอสเอ็มอีในทุกขนาดธุรกิจ ล้วนมีจุดอ่อนใน 3 ด้านนี้เหมือนกัน แตกต่างกันในรายละเอียดและความซับซ้อนในทักษะที่ต้องพัฒนา   สำหรับด้านการบริหารจัดการเงิน กลุ่มผู้ประกอบการรายย่อย (Micro) มีคะแนนต่ำที่สุด ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นความสำคัญของการทำบัญชี ไม่แยกเงินส่วนตัวกับธุรกิจ ไม่เข้าใจหลักการบัญชีเบื้องต้น ส่งผลกระทบอย่างมากต่อการคำนวณกำไรขาดทุน รวมถึงความสามารถในการเข้าถึงแหล่งทุน  ส่วนกลุ่มผู้ประกอบการขนาดเล็ก (Small) มีการบันทึกข้อมูลทางการเงิน แต่ขาดเครื่องมือหรือการลงทุนในระบบบัญชีที่เป็นมาตรฐาน รวมถึงขาดการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกเพื่อวางแผนระยะยาว ขณะที่ ผู้ประกอบการขนาดกลาง (Medium) ต้องการทักษะการวิเคราะห์ทางการเงินที่ซับซ้อนขึ้น และในหลายกิจการขาดการบูรณาการข้อมูล ด้านนวัตกรรมและเทคโนโลยี ผู้ประกอบการรายย่อย ไม่รู้ว่ามีเทคโนโลยีอะไรที่ช่วยธุรกิจเล็กๆ ได้บ้าง และยังไม่สามารถเชื่อมโยงการใช้เทคโนโลยีด้านการตลาดได้อย่างเต็มศักยภาพ ส่วนผู้ประกอบการขนาดเล็ก ไม่รู้ว่าเทคโนโลยีหรือนวัตกรรมรูปแบบใดเหมาะสมกับธุรกิจของตัวเอง และไม่มีแผนหรือนโยบายที่เชื่อมโยงกับเป้าหมายของธุรกิจ รวมถึงไม่กล้ารับความเสี่ยงที่จะล้มเหลวจากการลงทุนในนวัตกรรม  สำหรับผู้ประกอบการขนาดกลาง ไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ส่งเสริมนวัตกรรมได้อย่างแท้จริง ด้านการสื่อสารการตลาด ผู้ประกอบการรายย่อย  ขาดทักษะในการใช้ Social Media ให้เกิดประโยชน์สูงสุดกับการตลาด รวมถึงไม่เข้าใจการตลาดพื้นฐาน ขณะที่ผู้ประกอบการขนาดเล็ก  ขาดทักษะในการใช้เครื่องมือและการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาด ไม่รู้วิธีวัดผลลัพธ์จากการทำการตลาด ทำให้กระทบต่อการวางแผนการตลาดอย่างเป็นระบบ ส่วนผู้ประกอบการขนาดกลาง ขาดการวิเคราะห์ข้อมูลการตลาดเชิงลึกและการบูรณาการข้อมูลจากทุกช่องทาง ทั้งนี้ ผลการตรวจสุขภาพทางธุรกิจ พบว่า ในภาพรวม ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยมีทักษะที่เข้มแข็ง  2 ด้าน ได้แก่ การบริหารประสิทธิภาพการผลิตหรือบริการ และการบริหารจัดการองค์กร ซึ่งเป็นศักยภาพที่ควรเสริมให้แกร่งขึ้นในยุคที่ความไม่แน่นอนสูง การบริหารจัดการต้นทุนทำได้ยากขึ้น รวมถึงการบริหารจัดการประสิทธิภาพตามแนวทางธุรกิจสีเขียว เพื่อให้กำไรสูงสุดภายใต้เงื่อนไขการปล่อยคาร์บอนต่ำสุด   นายพิชิต กล่าวต่อว่า  จากที่เห็นจุดอ่อนสำคัญของผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทย  SME D Bank ในฐานะสถาบันการเงินของรัฐเดินหน้ายกระดับพัฒนาศักยภาพให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างเข้มแข็งและยั่งยืน ผ่านบริการ “เติมความรู้คู่เงินทุน” ช่วยเสริมศักยภาพในหลากหลายรูปแบบ เพื่อช่วยผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ปิดจุดอ่อนใน 3 ด้านดังกล่าว สำหรับด้านการพัฒนาผ่านความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนที่มีความชำนาญเฉพาะด้าน จัดโครงการพัฒนาทั้งออนไซต์ควบคู่ออนไลน์ เช่น โครงการ “ทุนก็มี ภาษีก็รู้ ก้าวสู่ความยั่งยืน” จับมือกรมสรรพากร   ให้ความรู้ด้านการเงิน ในรูปแบบ One Stop Service ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ โครงการสนับสนุนให้ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีเข้าถึงนวัตกรรมและเทคโนโลยี โครงการสนับสนุนด้านการตลาด เช่น สอนการสร้างคอนเทนต์ด้วยแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ กิจการ SME D Market รวมถึง Business Matching ช่วยเพิ่มรายได้ขยายตลาด เป็นต้น อีกทั้ง มีบริการแพลตฟอร์ม DX by SME D Bank (dx.smebank.co.th) ช่วยเพิ่มศักยภาพธุรกิจครบวงจร ใช้บริการได้สะดวกสบาย ตลอด 24 ชม. เช่น  E-Learning รวบรวมหลักสูตรความรู้เพิ่มศักยภาพการประกอบธุรกิจ ทั้งการบริหารจัดการธุรกิจ นวัตกรรม เทคโนโลยี มาตรฐาน การตลาด การเงิน และเตรียมพร้อมเข้าถึงแหล่งเงินทุน  , SME D Coach ที่ปรึกษาและให้คำแนะนำธุรกิจจากโค้ชมืออาชีพ  , E-marketplace ช่วยขยายช่องทางขยายตลาด และเชื่อมโยงจับคู่ธุรกิจ และ Privilege สิทธิประโยชน์เพื่อยกระดับธุรกิจ เป็นต้น ควบคู่กับให้บริการด้านการเงิน ช่วยให้มีสภาพคล่องเพียงพอต่อการดำเนินธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อลงทุน ปรับปรุง ขยายกิจการ  หมุนเวียน หรือลดต้นทุนทางการเงิน เป็นต้น  จุดเด่นอัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3%ต่อปี  คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ปลอดชำระหนี้เงินต้นสูงสุด 12 เดือน  ทั้งนี้ ผู้ประกอบการเอสเอ็มอีสามารถแจ้งความประสงค์ใช้บริการด้านการพัฒนาและการเงินได้ผ่านช่องทางต่าง ๆ เช่น  แพลตฟอร์ม DX by SME D Bank , LINE Official Account : SME Development Bank และเว็บไซต์ www.smebank.co.th  เป็นต้น  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357   

24 May 2025

...

บริษัท กรุงเทพประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) นำโดย นางสาวอรนาฎ นชะพงษ์ (ที่ 4 จากขวา) ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ สายกลยุทธ์การตลาดและบริหารจัดการลูกค้า พร้อมด้วยนายแพทย์วิรุณ เกียรติคุณรัตน์ (ที่ 3 จากซ้าย) ผู้ช่วยผู้อำนวยการ ศูนย์บริการการแพทย์ ร่วมงานแถลงข่าว “BDMS Preventive Vaccine” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างโรงพยาบาลในเครือ BDMS กับบริษัทประกันชีวิตชั้นนำในการจัด “โครงการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในราคาพิเศษ” โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการดูแลสุขภาพเชิงป้องกันอย่างยั่งยืนในกลุ่มผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพ ณ ห้องประชุมเรเดียน โรงแรมเมอวินพิค บีดีเอ็มเอส เวลเนส รีสอร์ท เมื่อเร็ว ๆ นี้ กรุงเทพประกันชีวิต ใส่ใจและมีเป้าหมายในการสนับสนุนให้ประชาชนตระหนักถึงความสำคัญของการฉีดวัคซีนเพื่อลดความรุนแรงของโรค ภาวะแทรกซ้อน และลดค่าใช้จ่ายด้านการรักษาพยาบาลในระยะยาว จึงเข้าร่วม “โครงการฉีดวัคซีนเพื่อป้องกันโรคในราคาพิเศษ” โดยลูกค้าผู้ถือกรมธรรม์ประกันสุขภาพของกรุงเทพประกันชีวิต สามารถขอรับการบริการฉีดวัคซีนจากโรงพยาบาลเครือบีดีเอ็มเอสได้ในราคาเดียวทั่วประเทศ ซึ่งประกอบด้วย กลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ กลุ่มโรงพยาบาลสมิติเวช โรงพยาบาลบีเอ็นเอช กลุ่มโรงพยาบาลพญาไท กลุ่มโรงพยาบาลเปาโล โดยวัคซีนที่ให้บริการประกอบด้วย วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์  สำหรับผู้ใหญ่อายุ 15 ปีขึ้นไป             ราคา      500       บาท วัคซีนไข้หวัดใหญ่ 4 สายพันธุ์  สำหรับเด็กอายุ 6 เดือน ถึง 15 ปี         ราคา      700       บาท วัคซีนงูสวัด (2 เข็ม)                                                                             ราคา  11,500      บาท วัคซีนปอดอักเสบ 1 เข็ม (Prevnar20)                                                 ราคา    3,500      บาท วัคซีนไข้เลือดออก 4 สายพันธุ์ (2 เข็ม) สำหรับผู้ที่มีอายุ 15 ปีขึ้นไป    ราคา    3,900     บาท ทั้งนี้ ราคาดังกล่าวรวมค่าแพทย์ และค่าบริการโรงพยาบาล แต่ไม่รวมค่ายาอื่นๆ และค่ารักษาพยาบาล หรือค่าบริการปรึกษาทางการแพทย์เพิ่มเติม ผู้สนใจสามารถรับบริการได้ที่โรงพยาบาลในเครือ BDMS โดยโทรนัดหมายที่โรงพยาบาลที่ต้องการรับบริการล่วงหน้าอย่างน้อย 3 วัน และแสดงหลักฐานกรมธรรมประกันสุขภาพ หรือ บัตรผู้เอาประกันภัยแก่เจ้าหน้าที่โรงพยาบาลก่อนรับบริการ โดยมีระยะเวลาการรับสิทธิ์ตั้งแต่วันที่ 16 พฤษภาคม – 30 มิถุนายน 2568

16 May 2025

...

  ตามที่รัฐบาลโดย นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี และ นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง มอบหมายให้สถาบันการเงินเข้าช่วยเหลือประชาชนโดยเฉพาะ กลุ่มผู้ปกครองที่ต้องแบกรับภาระค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาของบุตรหลานในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ทั้งค่าชุดเครื่องแบบนักเรียน หนังสือ อุปกรณ์การเรียน และอื่น ๆ ด้วยการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบ เพื่อเสริมสภาพคล่อง ลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ และส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนไทยได้เข้าถึงการศึกษาอย่างต่อเนื่อง นายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารได้ออกมาตรการ “สินเชื่อธนาคารประชาชนต้อนรับเปิดเทอม” ที่ผ่อนเกณฑ์อนุมัติให้สามารถเข้าถึงสินเชื่อได้ง่ายขึ้น และเป็นการเดินหน้าภารกิจเชิงสังคมในการสนับสนุนการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบด้วยอัตราดอกเบี้ยที่เป็นธรรม สำหรับผู้ปกครองที่มีความจำเป็นต้องใช้เงินทุนในการเตรียมความพร้อมแก่บุตรหลานในช่วงเปิดภาคเรียนใหม่ ด้วยอัตราดอกเบี้ยต่ำคงที่เพียง 0.60% ต่อเดือน วงเงินกู้ตามความจำเป็นสูงสุดไม่เกิน 10,000 บาทต่อราย ระยะเวลาผ่อนชำระไม่เกิน 1 ปี (12 งวด) ผ่อนชำระประมาณ 894 บาทต่อเดือน (รวมเงินต้นและดอกเบี้ย) ทั้งนี้ สำหรับผู้มีอาชีพ รายได้ และที่อยู่อาศัยแน่นอน สามารถยื่นขอสินเชื่อโดยไม่ต้องมีหลักประกัน ผ่านแอปพลิเคชัน MyMo หรือติดต่อธนาคารออมสินสาขาเพื่อขอคำแนะนำในการสมัครสินเชื่อ ได้ตั้งแต่วันที่ 8 พฤษภาคม – 31 กรกฎาคม 2568  

08 May 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner