Responsive image

Thursday, 21 Aug 2025

หน้าแรก > INSURANCE / ประกันภัย - ประกันชีวิต


ไทยประกันชีวิต เผยผลงาน 6 เดือนแรกของปี 68 กำไรของธุรกิจใหม่อยู่ที่ 4,258 ล้านบาท เติบโต 28% ยังคงเดินหน้าเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน

Thu 21/08/2568


ไทยประกันชีวิตเผยผลประกอบการ 6 เดือนแรกปี 2568 มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่ (VONB) อยู่ที่ 4,258 ล้านบาท เติบโต 28.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ผลจากยอดขายที่เติบโตทุกช่องทางการขาย ภายใต้มาตรฐานบัญชีใหม่ กำไรสุทธิยังคงแข็งแกร่งที่ 6,328 ล้านบาท โดยมูลค่าพื้นฐานของกิจการเติบโตอีก 9.9% ปรับตัวสูงขึ้นเป็น 198,701 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17.4 บาทต่อหุ้น

 

บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน) หรือ TLI รายงานผลประกอบการเปิดเผยถึงผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรก ของปี 2568 มูลค่ากำไรของธุรกิจใหม่อยู่ที่ 4,258 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้นในทุกช่องทางการขาย จากการวางกลยุทธ์ด้านผลิตภัณฑ์ที่มีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพ แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากภาวะอัตราดอกเบี้ยขาลง ทั้งนี้ ภายใต้มาตรฐานบัญชีใหม่ กำไรสุทธิยังคงแข็งแกร่งที่ 6,328 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) 23.0%

นายไชย ไชยวรรณ กรรมการและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เปิดเผยว่า การเติบโตของ VONB มาจากการเติบโตของการขายของทุกช่องทางการขาย โดยเบี้ยประกันภัยรับปีแรกแบบคำนวณรายปี (APE) ในช่วง 6 เดือนแรกอยู่ที่ 6,725 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยการขายผ่านช่องทางตัวแทนประกันชีวิตซึ่งเป็นช่องทางการขายหลักของบริษัทฯ ยังคงเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะการขายสัญญาเพิ่มเติมประกันสุขภาพที่ยังคงมีความต้องการจากผู้บริโภค สำหรับช่องทางพันธมิตรการเติบโตของ APE มาจากการร่วมมือกับพันธมิตรในการพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี

สำหรับกำไรในส่วนที่ไม่รวมรายการพิเศษและผลกระทบจากความผันผวนของตลาด สูงถึง 5,955 ล้านบาท เติบโต 11.3% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัท ฯ ยังมีกำไรจากการรับประกันภัยเป็นหลัก อยู่ที่ 5,069 ล้านบาท ขณะที่กำไรจากการลงทุนที่ไม่รวมรายการพิเศษและผลกระทบจากความผันผวนของตลาด มีการเติบโตสอดคล้องกับการเติบโตของพอร์ตลงทุนและธุรกิจประกันภัย

ทั้งนี้พอร์ตการลงทุนของบริษัทฯ มีการกระจายความเสี่ยงทั้งในและนอกประเทศ ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 มากกว่า 85% ของสินทรัพย์ลงทุนทั้งหมด อยู่ในรูปแบบตราสารหนี้ที่มีการจัดอันดับความน่าเชื่อถือระดับที่น่าลงทุน

ผลการดำเนินงานที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มูลค่าพื้นฐานของกิจการ (Embedded Value) ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 เพิ่มขึ้น 9.9% จากสิ้นปี 2567 เป็น 198,701 ล้านบาท หรือคิดเป็น 17.4 บาทต่อหุ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯ มีอัตราส่วนความเพียงพอของเงินกองทุน หรือ CAR Ratio ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2568 อยู่ที่ 577.9% ซึ่งสูงกว่าเกณฑ์ที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) กำหนดไว้อยู่ที่ 140% สะท้อนสถานะเงินทุนที่แข็งแกร่งอันเป็นรากฐานของการเติบโตอย่างยั่งยืน

ไทยประกันชีวิต ยังคงเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ควบคู่ไปกับการพัฒนานวัตกรรมผลิตภัณฑ์ และพัฒนาประสิทธิภาพการบริการเพื่อส่งมอบประสบการณ์ที่ดีและไร้รอยต่อให้กับลูกค้า ผ่าน “แอปพลิเคชัน ไทยประกันชีวิต” อย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นช่องทางหลักในการให้บริการลูกค้าในการเข้าถึงข้อมูลกรมธรรม์และความคุ้มครองได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมขยายบริการด้านสุขภาพ ไทยประกันชีวิต Health Care Solutions อาทิ  บริการไทยประกันชีวิต Telemedicine และ ไทยประกันชีวิต ฮอตไลน์ บนแอปพลิเคชัน

ขณะเดียวกัน ไทยประกันชีวิต ได้เปิดตัวแพลตฟอร์มดิจิทัลสำหรับตัวแทนฯ Agency Super Application (TL SMART) เพื่อยกระดับการทำงานด้วยประสบการณ์ที่สะดวกรวดเร็ว ผ่านระบบบริหารจัดการแบบครบวงจรในรูปแบบ Dashboard ซึ่งช่วยให้กระบวนการสรรหาตัวแทนฯ มีความคล่องตัว ตั้งแต่การสร้างโอกาสทางธุรกิจ การวางแผนอาชีพ การจำลองสถานการณ์การขาย จนถึงการขอใบอนุญาตตัวแทนฯ พร้อมฟีเจอร์ด้านการเรียนรู้และพัฒนาศักยภาพเพื่อการเติบโตในสายอาชีพอย่างต่อเนื่อง

นายไชยกล่าวว่า จากวิสัยทัศน์ของไทยประกันชีวิตที่มุ่งสู่การเป็นบริษัทประกันชีวิตแห่งความยั่งยืนที่ส่งมอบคุณค่าให้กับผู้มีส่วนได้เสีย บริษัทฯ จึงได้นำแนวทาง ESG ผนวกเข้ากับกลยุทธ์ทางธุรกิจ ครอบคลุมทั้งในมิติเศรษฐกิจ มิติสังคม มิติสิ่งแวดล้อม และธรรมาภิบาล สะท้อนจากรางวัลและการคัดเลือกต่างๆ ที่บริษัทฯ ได้รับ อาทิ การคัดเลือกให้อยู่ในทำเนียบหลักทรัพย์ ESG100 ประจำปี 2568 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 โดยสถาบันไทยพัฒน์ รางวัล Asia Responsible Enterprise Awards (AREA) 2568 ในหมวด Investment in People จัดโดยสถาบัน Enterprise Asia จากการดำเนินโครงการ “ไทยประกันชีวิต เสริมโอกาส สร้างอาชีพ” ภายใต้แนวคิด “สอนให้รู้ สู่อาชีพที่ยั่งยืน” รวมถึงรางวัลระดับภูมิภาคจาก Alpha Southeast Asia Awards 2025 ประกอบด้วย รางวัล Strongest Adherence to Corporate Governance Award รางวัล Most Organized Investor Relations Award และรางวัล Best Senior Management Investor Relations Support Award สะท้อนการดำเนินธุรกิจของไทยประกันชีวิตที่ยึดมั่นในบรรษัทภิบาลและความโปร่งใส รวมถึงความเป็นเลิศในการบริหารจัดการและสร้างความสัมพันธ์อันดีกับนักลงทุน ซึ่งช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือ และเสริมสร้างความมั่นใจให้แก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนในระดับสากล


Tags : ไทยประกันชีวิต ไชย ไชยวรรณ ไทยประกันชีวิตเผยผลประกอบการ 6 เดือนแรกปี 2568


Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner

...

ธนาคารพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อมแห่งประเทศไทย (ธพว.) หรือ SME D Bank ขับเคลื่อนนโยบายรัฐ เดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ยกขบวนบริการ “พัฒนาคู่เติมทุน” เสิร์ฟผู้ประกอบการเอสเอ็มอีพื้นที่ภาคใต้ ในงาน “พาแบงก์รัฐ มาช่วยราษฎร์”   ในวันที่ 30 สิงหาคม 2568 เวลา 09.00-12.30 น. ณ  โรงแรมดารา จ.ภูเก็ต ภายในงานพบบริการสินเชื่อเพื่อเอสเอ็มอี อัตราดอกเบี้ยพิเศษเพียง 3% ต่อปี  คงที่ตลอด 3 ปีแรก ผ่อนชำระนานสูงสุด 10 ปี ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจและทุกความต้องการของเอสเอ็มอี พร้อมทีมให้คำปรึกษา  ยื่นกู้ได้ทันทีภายในงาน  อีกทั้ง รับโปรโมชันเสริมพิเศษ อีก 2 ต่อ ได้แก่ ต่อที่ 1 เมื่อยื่นขอสินเชื่อและได้รับอนุมัติ รับบัตรกำนัล มูลค่า 500 บาท และ ต่อที่ 2 รับสิทธิ์สมัครใช้บริการแพลตฟอร์ม “DX by SME D Bank” เพื่อยกระดับธุรกิจครบวงจร ฟรี! ห้ามพลาด ขอเชิญผู้ประกอบการ จ.ภูเก็ต และใกล้เคียง เข้าร่วมงานโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น  ลงทะเบียนเข้าร่วมโดยสแกน QR Code ในโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์  สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม Call Center 1357

21 Aug 2025

...

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน เปิดเผยว่า ธนาคารออมสินพร้อมเดินหน้าเคียงข้างประชาชนและภาคธุรกิจไทย โดยประกาศปรับลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง 0.25% ต่อปี สอดคล้องกับมติคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) เพื่อช่วยลดภาระทางการเงิน เพิ่มสภาพคล่อง และสนับสนุนการปรับตัวของผู้ประกอบการและประชาชน การปรับลดครั้งนี้เป็นการสานต่อมาตรการช่วยเหลือที่ธนาคารได้ริเริ่มมาก่อนหน้านี้ ซึ่งได้เคยนำร่องลดดอกเบี้ยเงินกู้มาแล้ว 2 ครั้ง ในปี 2568 เพื่อบรรเทาผลกระทบจากต้นทุนทางการเงินและกระตุ้นการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในวงกว้าง ทั้งยังสะท้อนการยึดมั่นในแนวทาง “ธนาคารเพื่อสังคม” ที่พร้อมปรับลดกำไรให้อยู่ในระดับเหมาะสม เพื่อขยายความสามารถในการช่วยเหลือภารกิจทางสังคมได้มากขึ้น ธนาคารออมสินจึงประกาศลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทุกประเภท ดังนี้ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้ารายย่อย (MRR) ลดเหลือ 6.295% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าสินเชื่อรายใหญ่ (MLR) ลดเหลือ 6.325% ต่อปี อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ขั้นต่ำสำหรับลูกค้าใช้วงเงินเบิกเกินบัญชี (MOR) ลดเหลือ 6.095% ต่อปี ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ทั้ง 3 ประเภทของธนาคาร (MRR / MLR / MOR) ยังคงต่ำที่สุดในระบบ เมื่อเทียบกับอัตราดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ ทั้งนี้ ธนาคารจะยังคงตรึงอัตราดอกเบี้ยเงินฝากเดิม เพื่อให้ผู้ฝากยังได้รับผลตอบแทนที่เหมาะสมตามภารกิจส่งเสริมการออม ควบคู่กับการสนับสนุนให้เศรษฐกิจปรับตัวรับมือกับความผันผวนของเศรษฐกิจโลก และแก้ปัญหาเชิงโครงสร้างภายในประเทศที่กระทบกำลังซื้อและความสามารถในการแข่งขัน โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 15 สิงหาคม 2568 เป็นต้นไป หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง    

18 Aug 2025

...

เมื่อวันที่ 7 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) พร้อมด้วย นายไพศาล หงษ์ทอง รองผู้จัดการ ธ.ก.ส. ลงพื้นที่เยี่ยมและให้กำลังใจ 2 ครอบครัววีรชนทหารกล้าที่เสียชีวิตระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ปกป้องแผ่นดินไทยจากสถานการณ์ความไม่สงบชายแดนไทย – กัมพูชา ได้แก่ นางกฤษณา น้อยโคตร มารดาของ ส.อ. กฤษฎา น้อยโคตร สังกัดกองร้อยลาดตระเวนระยะไกลที่ 6 กองพลทหารราบที่ 6 เสียชีวิตเมื่อวันที่ 25 กรกฎาคม 2568 และ นายจันดา ป้องแก้ว บิดาของ จ.ส.อ. อโณทัย ป้องแก้ว สังกัดกองพันปฏิบัติการพิเศษ กรมรบพิเศษที่ 3 (ฉก.90) หน่วยบัญชาการสงครามพิเศษ เสียชีวิตเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 โดย ธ.ก.ส. ได้มอบความช่วยเหลือแก่ครอบครัวทหารตามมติที่ประชุมคณะกรรมการธนาคาร เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 ที่เห็นชอบการให้ความช่วยเหลือลูกหนี้ กรณีบุตร หรือคู่สมรส ของลูกค้า ธ.ก.ส. เป็นทหาร หรือ ตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) ที่เสียชีวิตจากการปฏิบัติหน้าที่ในเหตุการณ์ความไม่สงบระหว่างประเทศไทย – กัมพูชา โดยยกหนี้ในส่วนของต้นเงินกู้ทุกสัญญา และยกหนี้ในส่วนของดอกเบี้ยทั้งจำนวน ภายใต้สัญญาที่ใช้แหล่งเงินทุน ธ.ก.ส. เป็นกรณีพิเศษ เพื่อให้ความช่วยเหลือ และลดภาระให้ทั้ง 2 ครอบครัววีรชนทหารที่เสียสละชีวิตเพื่อภารกิจสำคัญในการปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของชาติให้สามารถดำรงชีพต่อไปได้อย่างมั่นคงต่อไป   ฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) โดย ผู้จัดการ ธ.ก.ส. ได้กล่าวแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งกับทั้ง 2 ครอบครัววีรชนทหารกล้าที่ต้องสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก ซึ่งความกล้าหาญเหล่านี้จะถูกจารึกไว้ในความทรงจำของคนไทยตลอดไป โดย ธ.ก.ส. รู้สึกเป็นเกียรติที่ได้มีโอกาสมาให้กำลังใจให้แก่ครอบครัววีรชนผู้เสียสละเพื่อส่งมอบความช่วยเหลือกรณีพิเศษในครั้งนี้ และพร้อมให้การสนับสนุนดูแลในด้านต่าง ๆ ตามภารกิจของธนาคารต่อไป   ในโอกาสนี้ ธ.ก.ส. ยังได้มอบข้าวพร้อมทาน ตราอุ่นอิ่ม ทั้งข้าวหอมมะลิ ข้าวกล้องหอมมะลิ และข้าวไรซ์เบอร์รี ที่สามารถรับประทานได้ทันที สะดวก สะอาด ปลอดภัย พกพาง่าย โดยไม่ต้องอุ่น และสามารถเก็บรักษาได้ในอุณหภูมิห้องนานถึง 18 เดือน ให้แก่กองทัพภาคที่ 2 สำหรับเป็นเครื่องบริโภคให้กับกำลังพลในพื้นที่ เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของทหารและเจ้าหน้าที่ ในการปฏิบัติหน้าที่เพื่อรักษาอธิปไตยและความสงบสุขให้กับประชาชนและประเทศชาติของชาติในพื้นที่ชายแดน หรือในภารกิจบรรเทาทุกข์ให้กับประชาชน โดยมี พ.อ. ฐาพล อ้อชัยภูมิ รองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน จังหวัดอำนาจเจริญ (ฝ่ายทหาร) เป็นผู้แทนในการรับมอบ นอกจากนี้ ผู้จัดการ ธ.ก.ส. ยังได้พบปะพูดคุยกับเกษตรกรลูกค้าของธนาคารในพื้นที่ตำบลลือ อำเภอปทุมราชวงศา จังหวัดอำนาจเจริญ ที่มาเข้าร่วมเป็นสักขีพยานภายในงาน   ธ.ก.ส. ขอเชิญชวนประชาชนผู้ที่สนใจสามารถสั่งซื้อ “ข้าวพร้อมทาน ตราอุ่นอิ่ม” จาก สกต. ร้อยเอ็ด เพื่อสนับสนุนเกษตรกรผู้ผลิตโดยตรง และเป็นส่วนหนึ่งในการส่งขวัญและกำลังใจให้กับทหารแนวหน้าในการปฏิบัติหน้าที่ โดยสามารถติดต่อได้ที่ สกต.ร้อยเอ็ด จำกัด โทร. 088 338 2572 ทั้งนี้ ธ.ก.ส. ขอแสดงความห่วงใยต่อประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ความไม่สงบในบริเวณพื้นที่ชายแดนไทย – กัมพูชา ซึ่งในขณะนี้พี่น้องประชาชนในหลายพื้นที่ยังไม่สามารถกลับเข้าที่พักอาศัยหรือใช้ชีวิตได้ตามปกติ โดย ธ.ก.ส. พร้อมอยู่เคียงข้างเพื่อก้าวผ่านวิกฤติครั้งนี้ไปด้วยกัน สอบถามรายละเอียดมาตรการช่วยเหลือของ ธ.ก.ส. ได้ที่ ธ.ก.ส. ทุกสาขาทั่วประเทศ หรือ Call Center 02 555 0555 ตลอด 24 ชั่วโมง  

12 Aug 2025

...

นายวีระชัย อมรถกลสุเวช รองผู้อำนวยการธนาคารออมสินอาวุโส รักษาการผู้อำนวยการธนาคารออมสิน กล่าวในการประชุมผู้บริหารสายงานกิจการสาขา ซึ่งมีผู้บริหารธนาคารทั้งจากส่วนกลาง และสายงานกิจการสาขา กว่า 1,600 คนทั่วประเทศเข้าร่วมงาน เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2568 ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติเชียงใหม่ จ. เชียงใหม่ เพื่อกำหนดทิศทางการดำเนินงานในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 เดินหน้าทำธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ธนาคารเพื่อสังคมต่อเนื่อง มั่นใจว่าภายในสิ้นปี 2568 ธนาคารจะสามารถสร้าง Social Impact ได้มากขึ้นตามเป้าหมายเป็นเม็ดเงินไม่ต่ำกว่า 17,000 ล้านบาท   สำหรับนวัตกรรมการเงินเพื่อสังคมในช่วงครึ่งปีหลัง เน้นให้ความช่วยเหลือผู้ประกอบการและลูกค้ารายย่อย สามารถเข้าถึงแหล่งทุนที่ช่วยประคับประคองธุรกิจ และทำให้มีสภาพคล่องเพียงพอรองรับสภาวะเศรษฐกิจที่ผันผวนไม่แน่นอนจากปัจจัยภายในและภายนอก ผ่านการให้สินเชื่อที่มอบเงื่อนไขพิเศษเพื่อผู้ประกอบการ ได้แก่ สินเชื่อ GSB Smooth Biz, GSB D-VERs, GSB D-Home และมาตรการลดดอกเบี้ยสูงสุด 3% ต่อปี แก่ลูกค้าธนาคารที่เป็นผู้ส่งออก และ Supply Chain ของผู้ส่งออกที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรง/ทางอ้อม จากมาตรการภาษี Trump Tariff ซึ่งเร็ว ๆ นี้ ธนาคารเตรียมออกมาตรการช่วยเหลือเพิ่มเติมเพื่อลดภาระผู้ประกอบการในเรื่องนี้ พร้อมกับช่วยกระตุ้นภาคธุรกิจที่สำคัญเพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจโดยรวมอีกด้วย   นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์สินเชื่อเพื่อช่วยลดภาระรายย่อย ได้แก่ สินเชื่อเคหะรีไฟแนนซ์ อัตราดอกเบี้ย 0% 3 เดือน (เฉลี่ย 3 ปีแรก ดอกเบี้ยต่ำสุดที่ 2.85% ต่อปี) สินเชื่อบ้านเติมตังค์ อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปี ต่ำสุด 4.99% ต่อปี และ สินเชื่อบ้านแลกเงิน คิดอัตราดอกเบี้ยต่ำสุด 3.59% ต่อปี (6 เดือนแรก) ตลอดจนการเร่งปล่อยสินเชื่อเพื่อช่วยเหลือกลุ่มฐานราก อาทิ สินเชื่อโครงการธนาคารประชาชน สินเชื่อสร้างเครดิตสร้างโอกาส สินเชื่อสำหรับผู้ไม่เคยมีประวัติเครดิต สินเชื่อส่งดีมีเติมพลัส สนับสนุนลูกค้าดีให้กู้เพิ่มได้ ซึ่งธนาคารคาดว่าตลอดปี 2568 จะสามารถช่วยเติมเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ และเพิ่มสภาพคล่องแก่ผู้ประกอบการ รวมถึงลูกค้ารายย่อย ผ่านการปล่อยสินเชื่อวงเงินรวมกว่า 2 แสนล้านบาท     ส่วนด้านเงินฝาก เน้นส่งเสริมการออมแบบมีระยะเวลาและเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็นสลากออมสินพิเศษ เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษแบบมีระยะเวลา เงินฝากเผื่อเรียกพิเศษเพื่อการเกษียณ 10 ปี เงินฝาก Smart Junior เพื่อส่งเสริมการออมในเยาวชน เป็นต้น ตั้งเป้าหมายเม็ดเงินการออมโดยมีเงินฝากเพิ่มสุทธิไม่ต่ำกว่า 65,000 ล้านบาท ภายในปี 2568 ทั้งนี้ ธนาคารออมสินดำเนินธุรกิจเป็นธนาคารเพื่อสังคม หรือ Social Bank ด้วยบทบาทหลัก 4 ด้าน คือ 1) การเปิดโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินในระบบสถาบันการเงิน 2) การแก้ไขปัญหาหนี้ 3) บทบาทการพัฒนาสังคมและชุมชน และ 4) การสนับสนุนนโยบายรัฐบาลในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ด้วยการสร้างสรรค์และขับเคลื่อนงานทั้ง 4 ด้าน โดยอิงแนวคิด Creating Shared Value (CSV) เพื่อให้ธนาคารสามารถทำกำไรทางธุรกิจในระดับที่เหมาะสม ควบคู่กับการสร้างผลกระทบเชิงบวกต่อสังคม ที่นำไปสู่การพัฒนาที่ยั่งยืนของธุรกิจและสังคมอย่างเป็นรูปธรรม    

08 Aug 2025

Banner Banner Banner Banner

Banner
  เทียบจุดแข็งแกร่ง “วิริยะ-ทิพย-กรุงเทพ” ประกันภัย   เมื่อพูดถึงวงการประกันภัย-วินาศภัยเมืองไทย มี 3 บริษัทใหญ่ของวงการและของประเทศไทย ที่ถือว่าเป็น”ขาใหญ่”หรือขาประจำที่แต่ละปี บริษัททั้ง 3 บริษัท มีกลยุทธ์การตลาด และจุดแข็งที่แตกต่างกันของแต่ละบริษัท และบริษัททั้ง 3 บริษัทนี้กำลังจะแย่งชิงเบี้ยประกันภัยเพื่อเป็นอันดับ 1 ของประเทศไทย เมื่อเทียบสัดส่วนในเรื่องยอดขาย และในแง่ของผลกำไร            ในแง่ยอดขายต่อปี          เบอร์ 1 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการทำประกันภัยรถยนต์ ที่มีเบี้ยประกันภัยสูงขายง่าย แต่ละปีสร้างยอดขายได้มีเบี้ยประกันภัยรับตรงรวม 40,879 ล้านบาท          เบอร์ 2 บริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งงานประกันภัย Non Motor ประเภทขนส่งสินค้า Marin รวมทั้งลูกค้าของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่าง ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ทำให้มียอดขายรับประกันภัยตรงอยู่ที่ 31,736.1 ล้านบาทแซงหน้าบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ไปเรียบร้อย          เบอร์ 3 บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยจุดแข็งการเป็นบริษัท ที่มีกระทรวงการคลังถือหุ้นใหญ่ สามารถขยายตลาดผ่านพันธมิตรหรือผู้ถือหุ้นได้ง่าย และทำตลาดประกันภัยโครงสร้างพื้นฐาน โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ของรัฐจึงทำให้มีเบี้ยประกันภัยต่อปี มีเบี้ยประกันภัยรวม 22,439 ล้านบาท จะกลับไล่บี้เบอร์ 1และ 2 ได้ต่อไป         ในแง่ผลกำไรต่อปี         เบอร์ 1 คงต้องให้บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) เนื่องจากได้งานจากหน่วยงานภาครัฐ และมีพันธมิตรที่หลากหลาย ด้วยยอดขายที่สูง และมีการบริหารการลงทุนที่พร้อม เพราะมีธนาคารออมสิน, กบข. , ธนาคารกรุงไทย, ปตท., บางจาก  ทำให้มีผลกำไรมาเป็นอันดับ 1  ทำให้บริษัทสามารถทำกำไรจากการรับประกันได้ 2,631 ล้านบาท        เบอร์ 2  ต้องยกให้เป็นของบริษัท กรุงเทพประกันภัย จำกัด (มหาชน) ด้วยการรับประกันภัยที่มีความเสี่ยงภัยต่ำ รวมทั้งความเชี่ยวชาญในการบริหารเงินลงทุนโดยธนาคารกรุงเทพ ทำให้มีผลกำไรมาเป็นที่ 2 และมีเบี้ยประกันภัยเป็นอันดับที่ 2        เบอร์ 3 บริษัท วิริยะประกันภัย จำกัด (มหาชน) มียอดขายเป็นอันดับ 1 มาอย่างต่อเนื่อง แต่ด้วยเน้นประกันภัยรถยนต์ยอดขายสูงก็มีความเสี่ยงสูง ผลกำไรน้อย จึงวางไว้เป็นเบอร์ 3 ในด้านผลกำไร                                                 นายเอกวรพงศ์ อำนวยทรัพย์ (เอก-วรา)                                               บรรณาธิการบริหาร สื่อ CEO THAILAND  
อ่านต่อ...
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner
Banner